xs
xsm
sm
md
lg

นักธุรกิจ หัวใจมด? คำปรามาสจากพลเมืองไทย

เผยแพร่:   โดย: พลเมืองไทย

หลายวันก่อนผมมีโอกาสเจอคนคุ้นเคย คุณปรีดา เตียสุวรรณ เจ้าของแพรนด้า จิวเวลลี ที่หาญกล้าประกาศตัวแบบไม่อำพรางหลังเวทีพันธมิตรที่มหาวิทยาลัยราชดำเนิน เชิงสะพานมัฆวาน อดคันปากถามไม่ได้ว่า ทำไมหนอบรรดานักธุรกิจไทยถึงไม่คิดจะส่งสัญญาณดังๆให้รัฐบาลลูกกรอกรู้สึกเสียทีว่า “กูไม่ไหวแล้วโว๊ย” ถ้าขืนบริหารประเทศชาติกันแบบนี้ มีหวังหายนะมาเยือนแหงๆ

พี่ปรีดา หันมาสบตาผม ทำหน้าแบบเศร้าๆแล้วบอกว่า “ผมก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ส่วนใหญ่เขาคิดแค่ปัญหาเฉพาะหน้า ไม่มองยาวๆ กันหลายคนเขาคงไม่อยากเปลืองตัวมั้ง” ว่าแล้วก็ตบหลังตบไหล่ปลอบประโลมผมว่า “อดทนอีกนิดแล้วกัน นี่ผมช่วยได้แค่ไหนก็เอาทั้งนั้น”

ได้ยินอย่างนี้แล้วก็อดวังเวงในหัวใจไม่ได้ ผมเองถึงแม้จะไม่ได้เป็นตัวละครสลักสำคัญอะไรในสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นและดำรงอยู่ แต่ก็ต้องถือว่าใกล้ชิดกับบรรดาแกนนำในฐานะกองเชียร์ที่ส่งทั้งแรงกายแรงใจไปช่วย แต่ขณะเดียวกันก็อยู่ในสถานภาพที่ใกล้ชิดศูนย์อำนาจที่กำหนดความเป็นไปของเศรษฐกิจไทยอยู่พอสมควร

ผมเชื่อโดยไม่ลังเลเลยสักนิดว่า หากปล่อยให้รัฐบาลชุดนี้บริหารประเทศไปอีกไม่เกิน 3 เดือนข้างหน้าประเทศไทยจะต้องประสบหายนะเศรษฐกิจครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์อีกครั้งหนึ่งอย่างแน่นอน เพราะตลอด 4-5 เดือนที่ผ่านมา นอกจากทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดนี้จะไร้ความสามารถแล้ว ยังไม่มีความเป็นเอกภาพในการบริหารจัดการแม้สักนิดเดียว

ถามง่ายๆว่า คุณรู้ไหมว่า ใครคือหัวหน้าทีมเศรษฐกิจตัวจริงเสียจริงระหว่าง รองนายกฯ และรมว.คลัง หมอเลี้ยบ สุรพงษ์ สืบวงลี หรือ รองนายกฯ และรมว.พาณิชย์ เจ๊ มิ่ง มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ ผมว่าแม้แต่หัวหน้าทีมลูกกรอก นายกฯสมัคร สุนทรเวช ก็ยังตอบไม่ได้

ลองคิดดู วันดีคืนดี รองนายกคนแรก ก็เรียกประชุมข้าราชการ นักธุรกิจ นัยว่าจะระดมสมองเพื่อหาแนวทางและมาตรการแก้ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจ ราคาน้ำมัน และประกาศจะจัดมหกรรมขายสินค้าราคาถูก พร้อมกับ ออกมาสร้างภาพว่ากำลังพิจารณาแนวคิดเรื่องการออกคูปองสินค้าเพื่อช่วยคนจน แต่พอถามรายละเอียดที่เป็นรูปธรรมก็ได้แต่คำตอบวนไปวนมาหาแก่นสารอะไรไม่ได้ เพราะยังไม่ได้ศึกษา “เศร้าไหมครับ”

ผ่านไปอีกวัน รองนายกฯ คนที่สองกลัวจะน้อยหน้าก็ลุกขึ้นมาประกาศจะจัดงาน “เมดอินไทยแลนด์” ขายสินค้าราคาถูกให้ประชาชนเหมือนกัน

คิดดูแล้วกัน มันชวนให้อดสงสัยไม่ได้ว่า นั่งทำงานกันมา 4-5 เดือนนี่ สองรองนายกฯเคยนั่งจับเข่าคุยกันบ้างหรือเปล่า?

เพราะอย่างนี้ผมจึงเชื่อโดยสนิทใจเลยครับว่า จนถึงวันนี้รัฐบาลก็ยังไม่มีคำตอบว่าจะแก้ปัญหาวิกฤติราคาน้ำมันอย่างไร ? จะแก้ปัญหาเรื่องค่าครองชีพที่แพงขึ้นอย่างไร ? จะแก้ปัญหาเรื่องราคาข้าวอย่างไร ?

ที่หลุดๆออกมาจากปาก ก็สักแต่ว่าพูดไป เพื่อให้คนทั่วไปคิดว่า ไม่ได้นั่งเฉยๆ รอแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อช่วยนายใหญ่ แต่เอาเข้าจริงแต่ละคนก็ไม่มี “สติปัญญา” หรือ “สมาธิ” จะแก้ปัญหาอะไรให้ประเทศชาติ เพราะแม้แต่ตัวเองยังเอาตัวเองไม่ค่อยจะรอด “ดู ดู้ ดู มันทำกับเราได้”

หันกลับมาดูภาคเอกชน บรรดานักธุรกิจระดับบิ๊กๆ ทั้งหลาย ก็ต้องขอปรามาสเลยว่า แต่ละคนล้วนมี”หัวใจมด” จิตใจแข็งแกร่งไม่ได้ แม้แต่เสี้ยวหนึ่งของบรรดาผู้ชุมนุมตัวเล็กๆที่สะพานมัฆวาน เรือนหมื่นเรือนแสน ที่มุ่งมั่น และยืนหยัดกันอย่างไม่ท้อถอย

รู้ทั้งรู้ว่า บ้านเมืองกำลังจะหายนะ แต่พวกเขาก็อยู่กันแบบน้ำท่วมปาก ไม่กล้าส่งเสียงอะไร เพราะเกรงจะโดนกลั่นแกล้งทางธุรกิจ หากแสดงตนว่าไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล แต่พอคล้อยหลังออกมาจากห้องประชุมก็เห็นส่ายหัวกันเป็นแถว

ไม่ต่างอะไรกับข้าราชการประจำระดับสูงที่ต้องก้มหน้าก้มตาสนองนโยบายทั้งๆ ที่รู้ว่าไอเดียที่หลุดออกมาจากปากของรองนายกฯ ทั้งคู่ไม่ได้มีอะไรที่ “เฉียบ คม “สมกับที่ขึ้นมานั่งในตำแหน่งใหญ่โตถึงระดับนี้

ยิ่งส่วนมวลชน ยิ่งไปกันใหญ่ สื่อของรัฐ ทั้งทีวี วิทยุ ต่างเก็บอาการ สงบเสงี่ยม ซ้ำร้ายยังทำตัวเป็นกระบอกเสียง เหมือนสื่อสิ่งพิมพ์บางฉบับ ที่จำต้องทำ เพราะหากเห็นต่าง อาจจะส่งผลกระทบทางธุรกิจ ไม่มีใครกล้าลงโฆษณา หากเป็นปรปักษ์กับรัฐบาล

สองวันก่อนพันธมิตรเริ่มยุทธวิธีใหม่ ที่ประกาศขอให้คนไทยลุกขึ้นมาแสดงพฤติกรรมอารยะขัดขืน โดยเริ่มจากระดับเบาไปจนถึงระดับรุนแรง ที่อาจไปถึงขั้นหยุดงานประท้วง

ไม่ได้คัดค้านนะครับ เพราะผมคิดว่าเป็นสิทธิที่ประชาชนสามารถแสดงออกได้ว่า เราไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่รัฐบาลกำลังดำเนินการอยู่ แต่ผมอยากจะเสนอเพิ่มเติมให้แกนนำพันธมิตรลองนำไปพิจารณา

ผมคิดว่า อารยะขัดขืน ที่จะมีพลัง และได้ผลกระทบในเชิงลึก น่าจะมาจากกลุ่มที่มีพลังทางสังคม และเศรษฐกิจ อย่างบรรดาระดับบิ๊กๆในแวดวงธุรกิจทั้งหลาย

ความจริงหากเราสังเกตให้ดีในระยะหลังๆ บรรดาระดับบิ๊กในวงการธุรกิจหลายๆ คนก็เริ่มออกอาการอดรนทนไม่ไหวออกมา”สวน” เหมือนกันในปากฐกถาพิเศษต่างกรรมต่างวาระของเจ้าสัว ซีพี ธนินทร์ เจีนรวนนท์ ที่วิพากษ์วิจารณ์นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล เป็นกรณีตัวอย่างที่น่าศึกษา เพราะการปรากฏตัวแต่ละครั้งของคนระดับเจ้าสัวนั้นคงไม่ได้แค่เพียงนึกสนุก แต่มันบ่งบอก ”นัยยะสำคัญ” ที่ชัดเจนว่ายืนคนละฟากกับนายใหญ่ หน้าเหลี่ยมแน่ๆ

พันธมิตร น่าจะใช้กลุยทธ์ ล็อบบี้ไปยังบรรดานักธุรกิจให้เขารวมตัวกัน ส่งสัญญาณแรงๆออกมาให้รัฐบาลรู้สึก โดยข้อเสนอขั้นต้น อาจจะขอให้แสดงตนว่า สนับสนุนข้อเสนอของ คณะจารย์กว่า 200 คน จาก 32 มหาวิทยาลัยก็ยังได้

เชื่อเถอะครับ มีนักธุรกิจ ทั้งระดับบิ๊ก และไม่บิ๊ก อีกจำนวนมหาศาล ที่เขาส่งแรงใจเชียร์กลุ่มพันธมิตรอยู่ลึกๆ เพียงแต่จะให้ลุกขึ้นมาประกาศตัวขึ้นเวทีเหมือนคุณปรีดาคงหายากเสียยิ่งกว่ายาก แต่ถ้ามีแนวทางอะไรที่ไม่ถึงขนาดที่พวกเขาต้องเปลืองเนื้อเปลืองตัวมากนัก ผมเชื่อว่า พวกเขาพร้อมที่จะสนับสนุน

ถึงแม้หลายคนจะยังมีหัวใจมด แต่ถ้ามดเหล่านี้ร่วมแรงร่วมใจกัน ก็อาจมีพลังแบบที่เราคาดไม่ถึงเหมือนกัน ถึงแวลาแล้วครับที่ บรรดานักธุรกิจหัวใจมดทั้งหลายจะร่วมกันเปล่งเสียง “สู้โว๊ย” พร้อมๆกันให้นายใหญ่ หน้าเหลี่ยมเขารู้เสียทีว่า เอ็งไม่ใช่เจ้าของประเทศนะโว๊ย
กำลังโหลดความคิดเห็น