19 กันยายน 2549 บรรดาขุนทหารทุกเหล่าทัพได้ทำท่ากล้าหาญ ด้วยการออกมาทำรัฐประหารประเทศไทย จนเป็นข่าวดังครึกโครมไปทั้งโลก
ท่าทีที่ทำเป็นขึงขังน่ากลัวของบรรดาขุนทหาร กับบรรยากาศรัฐประหารในช่วงแรกทำเอา ทักษิณ ชินวัตร และแกนนำบางคนหัวใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม จนถึงกับร้องว่า.. “เฮ้ย..พวกเราตายแน่..”
หลังจากนั้นไม่นาน..บรรดาขุนทหาร ที่รู้ๆ กันอยู่ว่าทั้งในชาตินี้และชาติหน้า พวกเขาไม่มีวันจะชะล้างธาตุแท้แห่งการเป็นเผด็จการ เพราะเขาได้ใช้ปืนและลากรถถังออกมายึดอำนาจ ทำรัฐประหารในครั้งนี้ แทนที่คณะขุนทหารเหล่านั้นจะใช้อำนาจเผด็จการ ทำการขุดรากถอนโคนระบอบทักษิณที่แสนอันตราย และทำการปฏิรูปบ้านเมืองให้ดีขึ้นกว่าในอดีต
นับเป็นเรื่องน่าเสียดายกับต้นทุนชาติทั้งชาติ ที่ต้องสูญเสียไปกับการทำรัฐประหารคราครั้งนี้ เพราะพวกขุนทหารเหล่านั้นกลับตาลปัตร ด้วยการแสร้งทำตนเป็นคณะนักประชาธิปไตยกำมะลออย่างหน้าตาเฉย จนวงการเผด็จการรัฐประหารพากันหัวเราะ ด้วยความตลกขบขันครึกครื้นกันไปทั้งโลก
ในขณะที่..ทักษิณ ชินวัตร และพลพรรคที่เคยร้องว่า..“เฮ้ย..พวกเราตายแน่” กลับพากันร้องว่า “พวกเรารอดแล้วโว้ย” ก่อนจะยกนิ้วโป้งชูให้กับคณะขุนทหารที่ทำรัฐประหารอย่างชื่นชม เพราะพวกขุนทหารที่ทำรัฐประหารได้กระทำแต่เรื่องราวแสนหน่อมแน้ม ซึ่งรวมทั้งการตั้งนายกรัฐมนตรีที่ทั้งอ่อนแอและไร้ประสิทธิภาพอีกด้วย
แต่ที่สำคัญ..บรรดาขุนทหารที่ทำรัฐประหาร ได้สร้างมรดกชิ้นหนึ่งไว้บนผืนแผ่นดินไทย นั่นคือ..เที่ยววิ่งเต้นขอร้องบุคลากรที่น่าเชื่อถือในสังคมกลุ่มหนึ่ง ให้รับหน้าที่ทั้งตรวจสอบ-สืบสวน-สอบสวนบรรดานักการเมืองที่ฉ้อโกงบ้านเมือง ในนาม “คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ” หรือมีชื่อย่อเรียกกันติดปากว่า..“คตส.”
การตั้งคณะทำงานเช่น คตส.ของคณะรัฐประหารนั้น มีทั้งน่าชื่นชมและควรตำหนิยิ่งนัก เพราะมีข้อบกพร่องจากความไม่รอบคอบรอบด้านเท่าที่ควร ยิ่งคณะรัฐประหารและนายกรัฐมนตรี ที่คุมอำนาจรัฐในห้วงนั้นอ่อนแอ มุ่งแต่จะสมานฉันท์ทั้งทางลับและเปิดเผย โดยไม่แยกแยะผิดชอบชั่วดีที่บรรดานักการเมืองฉ้อฉลทำชั่วไว้
ทำให้โอกาสทองในการชะล้างนักการเมืองชั่วๆ ของชาติ ต้องสูญสลายหายไปอย่างน่าเสียดาย ด้วยองค์กร คตส.ต้องเผชิญกับการทำงานที่ลำบากยากเข็ญยิ่งขึ้น เพราะไม่ได้รับความร่วมมือทั้งจากข้าราชการ และองค์กรของรัฐทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับการโกงบ้านกินเมือง ของนักการเมืองผู้มีอำนาจล้นฟ้าในอดีต คดีความที่ควรเสร็จได้เร็ว-กลับต้องล่าช้า หลักฐานบางคดีความที่ควรได้รับ-ก็กลับไม่ได้รับ เป็นต้น ฯลฯ
ทั้งหมดล้วนเป็นข้อบกพร่องที่ไม่ควรเกิด และส่งผลในด้านลบต่อคดีความของกลุ่มนักการเมืองชั่ว ที่กำลังเดินทางเข้าสู่หรืออยู่ในระหว่างการพิจารณาของกระบวนการยุติธรรมทั้งขณะนี้และในอนาคตทั้งสิ้น
ที่สำคัญ..ผลจากการที่คณะขุนทหารซึ่งทำการรัฐประหาร รวมทั้งรัฐบาลที่มาจากเผด็จการทหาร นอกจากมิได้ดำเนินการปฏิรูปการเมืองให้เข้มแข็ง ปลอดจากอำนาจครอบงำของระบอบทักษิณแล้ว ผลงานการบริหารประเทศในทุกด้านก็ไม่เป็นโล้เป็นพายอีกต่างหาก มิหนำยังซ้ำเติมด้วยการปล่อยให้ประชาชนทั้งชาติ จมอยู่กับความทุกข์ยากทางเศรษฐกิจอย่างแสนสาหัสอีกด้วย
ทั้งๆ ที่รู้ว่า..กลไกมากมายยังไม่พร้อม ที่จะจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปให้บริสุทธิ์ยุติธรรมได้ แต่แทนที่รัฐบาลจะเลื่อนการเลือกตั้งออกไป รัฐบาลเผด็จการทหารกลับเร่งให้วันที่ 23 ธันวาคม 2550 เป็นวันเลือกตั้งทั่วไปของประเทศไทย
นั่นทำให้ ทักษิณ ชินวัตร ใช้เงินทองมหาศาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ เริ่มด้วยการซื้อพรรคและนักการเมืองน้ำเน่ามากมาย เข้ามาอยู่ในเครือข่ายนอมินีหรือตัวแทนของตระกูลชินวัตร อีกทั้งเข้าซื้อผู้คนในกลไกสำคัญๆ ต่างๆ ที่มีผลต่อการเลือกตั้งทั้งในส่วนขององค์กรอิสระ รวมทั้งองค์กรของรัฐและเอกชนอย่างครบถ้วน
ห้วงการเลือกตั้ง..ทักษิณและพลพรรค ได้ใช้ทุกกลเม็ดที่ได้เปรียบทั้งถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย เอาชนะการเลือกตั้งจนได้ครองเสียงข้างมาก ในสภาผู้แทนราษฎรไว้ได้อีกครั้งหนึ่ง
ในที่สุด..ด้วยข้อผิดพลาดของขุนทหารที่ทำรัฐประหาร และรัฐบาลที่เป็นเผด็จการแต่ดัดจริตจะเป็นนักประชาธิปไตย รวมทั้งนโยบายสมานฉันท์ที่ไร้การแยกแยะ และจุดยืนแห่งชั่ว-ดี-ถูก-ผิดผสมผสานกับอำนาจเงินล้นฟ้า ที่ ทักษิณ ชินวัตร ทุ่มสู่สังคมการเมืองที่ไร้คุณภาพ
ทักษิณ ชินวัตร จึงได้ตั้งรัฐบาลนอมินีหุ่นเชิดที่มี นายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี ให้เขาชักใยเล่นตามใจปรารถนา กุมอำนาจแทบจะเบ็ดเสร็จอยู่ในทุกวันนี้
ธาตุแท้งูเห่า “ทักษิณ” ที่ไม่สนใจบุญคุณของชาวนาใจดี ซึ่งอุ้มชูงูกับอกเพื่อให้ไออุ่นจนรอดตายจากความหนาวเหน็บ ทักษิณผู้กำอำนาจไว้ในมือผ่านรัฐบาลหุ่นเชิด ได้ใช้ความเหี้ยมกำจัดปราบปรามบุคคล และองค์กรที่เป็นปฏิปักษ์หรือเห็นต่างทางการเมือง โดยไม่สนใจใครหน้าไหนในแผ่นดินนี้
เริ่มโยกย้ายข้าราชการในตำแหน่งสำคัญๆ ที่กำลังทำคดีความของตนในทุกจุดของกระบวนการยุติธรรม โดยไม่แยแสว่าการกระทำนั้นจะชอบธรรมหรือไม่? ก่อนจะนำพรรคพวกของตนขึ้นมาคุมอำนาจแทน
โดยเฉพาะการตั้งรัฐตำรวจ..ด้วยการเอาพรรคพวกของตนขึ้นสู่ตำแหน่งสำคัญๆ ทั้งในกองบัญชาการตำรวจแห่งชาติ และในองค์กรอื่นๆ ของรัฐอย่างโจ๋งครึ่ม จากนั้นก็ใช้ตำรวจที่ได้รับลาภยศออกข่มขู่คุกคามกลั่นแกล้งฝ่ายตรงข้ามทุกวิถีทาง ชนิดไร้ความยุติธรรมอย่างโจ่งแจ้งทันที
ตามด้วยพลพรรคนักการเมืองนอมินีในสภา ก็ดาหน้าล้มรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 โดยไม่แยแสต่อประชามติผู้คนถึง 14,700,000 เสียง หวังเพียงแค่จะนำรัฐธรรมนูญฉบับ 2540 เข้าแทนที่ เพื่อให้ตนและพรรคพวกหลุดพ้นจากคดีความ ที่โกงบ้านโกงเมืองทั้งหมดโดยปริยาย
สถานการณ์เลวร้ายดังกล่าว ทำให้บรรดาพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ผนึกกำลังกับประชาชนผู้รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ จำต้องออกมาชุมนุมต่อสู้กับทักษิณ และรัฐบาลนอมินีหุ่นเชิดสมัครอย่างกล้าหาญ สู้กันอย่างยืดเยื้อต่อเนื่องบนถนนราชดำเนิน ณ สะพานมัฆวานฯ อยู่ในขณะนี้
ภารกิจสกัด-ขจัด-ทำลายคนชั่วที่เป็นอันตรายร้ายแรง ต่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ จริงๆ แล้วต้องเป็นหน้าที่ของตำรวจ ทหาร รวมทั้งหน่วยงานความมั่นคงทั้งหลาย แต่เมืองไทยกลับเกิดเหตุการณ์วิปริตผิดอาเพศในปี 2551 ครับ
การณ์กลับกลายเป็นแกนนำพันธมิตรฯ และประชาชนตาดำๆ ที่เสียภาษีอากรให้เป็นเงินเดือนและสวัสดิการกับทหาร ตำรวจ หน่วยงานความมั่นคง และข้าราชการทุกกระทรวงทบวงกรม ต้องออกมาตากแดด ตากฝน อดตาหลับขับตานอน นั่ง-นอนกันกลางถนนระอุอ้าว ด้วยสองมือเปล่าเสี่ยงอันตรายต่อสู้อย่างกล้าหาญกับทักษิณ และพลพรรคที่กุมอำนาจรัฐอยู่ในขณะนี้
พูดตรงๆ พันธมิตรฯ และมหาชน ณ สะพานมัฆวานฯ คือ นักรบกองหน้ากล้าตายของพระราชาและพระราชินี ที่ปักหลักสู้ทรราชย์แทนทหารหาญไปเสียแล้ว
ทำให้ฉงนว่า..ทำไม..พวกข้าราชการ ข้าราชบริพารในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถึงปล่อยให้กลุ่มแก๊งกเฬวรากเหล่านั้นกำเริบเสิบสาน เที่ยวใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์เว็บไซต์ และสื่อสิ่งพิมพ์อย่างวารสาร ใบปลิว ฯลฯ
โจมตีทำร้ายทำลายสถาบันหลักของชาติอย่างเปิดเผย เป็นระบบต่อเนื่องชนิดที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติไทย
ทำไม..ประชาชนผู้รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ทั้งชาติ โดยเฉพาะพันธมิตรฯ และประชาชนที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ ถึงไม่กลัวอันตราย-ไม่กลัวตาย-กล้าสู้-กล้าตาย-กล้ายืนหยัดอย่างสง่างาม ฯลฯ มากกว่าทหาร ตำรวจ หน่วยความมั่นคง และข้าราชการทุกกระทรวงทบวงกรม ซึ่งมีหน้าที่โดยตรงที่จะต้องพิทักษ์ปกป้องสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ล่ะ?
ไหง-ประชาชนสู้? เอ๊ะ..ไฉน-ทหารกล้าหายจ้อย?
ถามซ้ำ..ไหง-ประชาชนมือเปล่าๆ กลับต้องตากหน้าออกมาสู้กับคนทำลายชาติ ศาสน์ กษัตริย์ แทนทหารกล้าที่หายจ๋อยไปจากหน้าที่หลักของพวกเขา? พวกทหารกล้าทำราวกับประเทศนี้ ไม่มีอันตรายใดๆ เกิดขึ้นต่อสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์แม้นกระผีกริ้น
ทว่า..โชคดีที่ผมค้นพบคำพูดหนึ่ง ที่แสนสะเทือนใจ ณ สะพานมัฆวานฯ นั่นคือ
หลับเถิดทหารกล้า...ปวงประชาจะคุ้มภัย!
ตีกอล์ฟแล้วหลับอีกเถิดทหารกล้า อย่าห่วง..ปวงประชาจะยังคงคุ้มภัยให้อีก!!
ตีกอล์ฟ-ร้องรำทำเพลง แล้วหลับต่อไปเถิดทหารกล้า อย่ากลัวอะไร..ปวงประชาจะยังคุ้มภัยให้อีก คุ้มภัยให้ทหารกล้าจนกว่า..ปวงประชาจะตายไปหมดทั้งชาติครับ!!!
ท่าทีที่ทำเป็นขึงขังน่ากลัวของบรรดาขุนทหาร กับบรรยากาศรัฐประหารในช่วงแรกทำเอา ทักษิณ ชินวัตร และแกนนำบางคนหัวใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม จนถึงกับร้องว่า.. “เฮ้ย..พวกเราตายแน่..”
หลังจากนั้นไม่นาน..บรรดาขุนทหาร ที่รู้ๆ กันอยู่ว่าทั้งในชาตินี้และชาติหน้า พวกเขาไม่มีวันจะชะล้างธาตุแท้แห่งการเป็นเผด็จการ เพราะเขาได้ใช้ปืนและลากรถถังออกมายึดอำนาจ ทำรัฐประหารในครั้งนี้ แทนที่คณะขุนทหารเหล่านั้นจะใช้อำนาจเผด็จการ ทำการขุดรากถอนโคนระบอบทักษิณที่แสนอันตราย และทำการปฏิรูปบ้านเมืองให้ดีขึ้นกว่าในอดีต
นับเป็นเรื่องน่าเสียดายกับต้นทุนชาติทั้งชาติ ที่ต้องสูญเสียไปกับการทำรัฐประหารคราครั้งนี้ เพราะพวกขุนทหารเหล่านั้นกลับตาลปัตร ด้วยการแสร้งทำตนเป็นคณะนักประชาธิปไตยกำมะลออย่างหน้าตาเฉย จนวงการเผด็จการรัฐประหารพากันหัวเราะ ด้วยความตลกขบขันครึกครื้นกันไปทั้งโลก
ในขณะที่..ทักษิณ ชินวัตร และพลพรรคที่เคยร้องว่า..“เฮ้ย..พวกเราตายแน่” กลับพากันร้องว่า “พวกเรารอดแล้วโว้ย” ก่อนจะยกนิ้วโป้งชูให้กับคณะขุนทหารที่ทำรัฐประหารอย่างชื่นชม เพราะพวกขุนทหารที่ทำรัฐประหารได้กระทำแต่เรื่องราวแสนหน่อมแน้ม ซึ่งรวมทั้งการตั้งนายกรัฐมนตรีที่ทั้งอ่อนแอและไร้ประสิทธิภาพอีกด้วย
แต่ที่สำคัญ..บรรดาขุนทหารที่ทำรัฐประหาร ได้สร้างมรดกชิ้นหนึ่งไว้บนผืนแผ่นดินไทย นั่นคือ..เที่ยววิ่งเต้นขอร้องบุคลากรที่น่าเชื่อถือในสังคมกลุ่มหนึ่ง ให้รับหน้าที่ทั้งตรวจสอบ-สืบสวน-สอบสวนบรรดานักการเมืองที่ฉ้อโกงบ้านเมือง ในนาม “คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ” หรือมีชื่อย่อเรียกกันติดปากว่า..“คตส.”
การตั้งคณะทำงานเช่น คตส.ของคณะรัฐประหารนั้น มีทั้งน่าชื่นชมและควรตำหนิยิ่งนัก เพราะมีข้อบกพร่องจากความไม่รอบคอบรอบด้านเท่าที่ควร ยิ่งคณะรัฐประหารและนายกรัฐมนตรี ที่คุมอำนาจรัฐในห้วงนั้นอ่อนแอ มุ่งแต่จะสมานฉันท์ทั้งทางลับและเปิดเผย โดยไม่แยกแยะผิดชอบชั่วดีที่บรรดานักการเมืองฉ้อฉลทำชั่วไว้
ทำให้โอกาสทองในการชะล้างนักการเมืองชั่วๆ ของชาติ ต้องสูญสลายหายไปอย่างน่าเสียดาย ด้วยองค์กร คตส.ต้องเผชิญกับการทำงานที่ลำบากยากเข็ญยิ่งขึ้น เพราะไม่ได้รับความร่วมมือทั้งจากข้าราชการ และองค์กรของรัฐทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับการโกงบ้านกินเมือง ของนักการเมืองผู้มีอำนาจล้นฟ้าในอดีต คดีความที่ควรเสร็จได้เร็ว-กลับต้องล่าช้า หลักฐานบางคดีความที่ควรได้รับ-ก็กลับไม่ได้รับ เป็นต้น ฯลฯ
ทั้งหมดล้วนเป็นข้อบกพร่องที่ไม่ควรเกิด และส่งผลในด้านลบต่อคดีความของกลุ่มนักการเมืองชั่ว ที่กำลังเดินทางเข้าสู่หรืออยู่ในระหว่างการพิจารณาของกระบวนการยุติธรรมทั้งขณะนี้และในอนาคตทั้งสิ้น
ที่สำคัญ..ผลจากการที่คณะขุนทหารซึ่งทำการรัฐประหาร รวมทั้งรัฐบาลที่มาจากเผด็จการทหาร นอกจากมิได้ดำเนินการปฏิรูปการเมืองให้เข้มแข็ง ปลอดจากอำนาจครอบงำของระบอบทักษิณแล้ว ผลงานการบริหารประเทศในทุกด้านก็ไม่เป็นโล้เป็นพายอีกต่างหาก มิหนำยังซ้ำเติมด้วยการปล่อยให้ประชาชนทั้งชาติ จมอยู่กับความทุกข์ยากทางเศรษฐกิจอย่างแสนสาหัสอีกด้วย
ทั้งๆ ที่รู้ว่า..กลไกมากมายยังไม่พร้อม ที่จะจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปให้บริสุทธิ์ยุติธรรมได้ แต่แทนที่รัฐบาลจะเลื่อนการเลือกตั้งออกไป รัฐบาลเผด็จการทหารกลับเร่งให้วันที่ 23 ธันวาคม 2550 เป็นวันเลือกตั้งทั่วไปของประเทศไทย
นั่นทำให้ ทักษิณ ชินวัตร ใช้เงินทองมหาศาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ เริ่มด้วยการซื้อพรรคและนักการเมืองน้ำเน่ามากมาย เข้ามาอยู่ในเครือข่ายนอมินีหรือตัวแทนของตระกูลชินวัตร อีกทั้งเข้าซื้อผู้คนในกลไกสำคัญๆ ต่างๆ ที่มีผลต่อการเลือกตั้งทั้งในส่วนขององค์กรอิสระ รวมทั้งองค์กรของรัฐและเอกชนอย่างครบถ้วน
ห้วงการเลือกตั้ง..ทักษิณและพลพรรค ได้ใช้ทุกกลเม็ดที่ได้เปรียบทั้งถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย เอาชนะการเลือกตั้งจนได้ครองเสียงข้างมาก ในสภาผู้แทนราษฎรไว้ได้อีกครั้งหนึ่ง
ในที่สุด..ด้วยข้อผิดพลาดของขุนทหารที่ทำรัฐประหาร และรัฐบาลที่เป็นเผด็จการแต่ดัดจริตจะเป็นนักประชาธิปไตย รวมทั้งนโยบายสมานฉันท์ที่ไร้การแยกแยะ และจุดยืนแห่งชั่ว-ดี-ถูก-ผิดผสมผสานกับอำนาจเงินล้นฟ้า ที่ ทักษิณ ชินวัตร ทุ่มสู่สังคมการเมืองที่ไร้คุณภาพ
ทักษิณ ชินวัตร จึงได้ตั้งรัฐบาลนอมินีหุ่นเชิดที่มี นายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี ให้เขาชักใยเล่นตามใจปรารถนา กุมอำนาจแทบจะเบ็ดเสร็จอยู่ในทุกวันนี้
ธาตุแท้งูเห่า “ทักษิณ” ที่ไม่สนใจบุญคุณของชาวนาใจดี ซึ่งอุ้มชูงูกับอกเพื่อให้ไออุ่นจนรอดตายจากความหนาวเหน็บ ทักษิณผู้กำอำนาจไว้ในมือผ่านรัฐบาลหุ่นเชิด ได้ใช้ความเหี้ยมกำจัดปราบปรามบุคคล และองค์กรที่เป็นปฏิปักษ์หรือเห็นต่างทางการเมือง โดยไม่สนใจใครหน้าไหนในแผ่นดินนี้
เริ่มโยกย้ายข้าราชการในตำแหน่งสำคัญๆ ที่กำลังทำคดีความของตนในทุกจุดของกระบวนการยุติธรรม โดยไม่แยแสว่าการกระทำนั้นจะชอบธรรมหรือไม่? ก่อนจะนำพรรคพวกของตนขึ้นมาคุมอำนาจแทน
โดยเฉพาะการตั้งรัฐตำรวจ..ด้วยการเอาพรรคพวกของตนขึ้นสู่ตำแหน่งสำคัญๆ ทั้งในกองบัญชาการตำรวจแห่งชาติ และในองค์กรอื่นๆ ของรัฐอย่างโจ๋งครึ่ม จากนั้นก็ใช้ตำรวจที่ได้รับลาภยศออกข่มขู่คุกคามกลั่นแกล้งฝ่ายตรงข้ามทุกวิถีทาง ชนิดไร้ความยุติธรรมอย่างโจ่งแจ้งทันที
ตามด้วยพลพรรคนักการเมืองนอมินีในสภา ก็ดาหน้าล้มรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 โดยไม่แยแสต่อประชามติผู้คนถึง 14,700,000 เสียง หวังเพียงแค่จะนำรัฐธรรมนูญฉบับ 2540 เข้าแทนที่ เพื่อให้ตนและพรรคพวกหลุดพ้นจากคดีความ ที่โกงบ้านโกงเมืองทั้งหมดโดยปริยาย
สถานการณ์เลวร้ายดังกล่าว ทำให้บรรดาพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ผนึกกำลังกับประชาชนผู้รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ จำต้องออกมาชุมนุมต่อสู้กับทักษิณ และรัฐบาลนอมินีหุ่นเชิดสมัครอย่างกล้าหาญ สู้กันอย่างยืดเยื้อต่อเนื่องบนถนนราชดำเนิน ณ สะพานมัฆวานฯ อยู่ในขณะนี้
ภารกิจสกัด-ขจัด-ทำลายคนชั่วที่เป็นอันตรายร้ายแรง ต่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ จริงๆ แล้วต้องเป็นหน้าที่ของตำรวจ ทหาร รวมทั้งหน่วยงานความมั่นคงทั้งหลาย แต่เมืองไทยกลับเกิดเหตุการณ์วิปริตผิดอาเพศในปี 2551 ครับ
การณ์กลับกลายเป็นแกนนำพันธมิตรฯ และประชาชนตาดำๆ ที่เสียภาษีอากรให้เป็นเงินเดือนและสวัสดิการกับทหาร ตำรวจ หน่วยงานความมั่นคง และข้าราชการทุกกระทรวงทบวงกรม ต้องออกมาตากแดด ตากฝน อดตาหลับขับตานอน นั่ง-นอนกันกลางถนนระอุอ้าว ด้วยสองมือเปล่าเสี่ยงอันตรายต่อสู้อย่างกล้าหาญกับทักษิณ และพลพรรคที่กุมอำนาจรัฐอยู่ในขณะนี้
พูดตรงๆ พันธมิตรฯ และมหาชน ณ สะพานมัฆวานฯ คือ นักรบกองหน้ากล้าตายของพระราชาและพระราชินี ที่ปักหลักสู้ทรราชย์แทนทหารหาญไปเสียแล้ว
ทำให้ฉงนว่า..ทำไม..พวกข้าราชการ ข้าราชบริพารในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถึงปล่อยให้กลุ่มแก๊งกเฬวรากเหล่านั้นกำเริบเสิบสาน เที่ยวใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์เว็บไซต์ และสื่อสิ่งพิมพ์อย่างวารสาร ใบปลิว ฯลฯ
โจมตีทำร้ายทำลายสถาบันหลักของชาติอย่างเปิดเผย เป็นระบบต่อเนื่องชนิดที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติไทย
ทำไม..ประชาชนผู้รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ทั้งชาติ โดยเฉพาะพันธมิตรฯ และประชาชนที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ ถึงไม่กลัวอันตราย-ไม่กลัวตาย-กล้าสู้-กล้าตาย-กล้ายืนหยัดอย่างสง่างาม ฯลฯ มากกว่าทหาร ตำรวจ หน่วยความมั่นคง และข้าราชการทุกกระทรวงทบวงกรม ซึ่งมีหน้าที่โดยตรงที่จะต้องพิทักษ์ปกป้องสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ล่ะ?
ไหง-ประชาชนสู้? เอ๊ะ..ไฉน-ทหารกล้าหายจ้อย?
ถามซ้ำ..ไหง-ประชาชนมือเปล่าๆ กลับต้องตากหน้าออกมาสู้กับคนทำลายชาติ ศาสน์ กษัตริย์ แทนทหารกล้าที่หายจ๋อยไปจากหน้าที่หลักของพวกเขา? พวกทหารกล้าทำราวกับประเทศนี้ ไม่มีอันตรายใดๆ เกิดขึ้นต่อสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์แม้นกระผีกริ้น
ทว่า..โชคดีที่ผมค้นพบคำพูดหนึ่ง ที่แสนสะเทือนใจ ณ สะพานมัฆวานฯ นั่นคือ
หลับเถิดทหารกล้า...ปวงประชาจะคุ้มภัย!
ตีกอล์ฟแล้วหลับอีกเถิดทหารกล้า อย่าห่วง..ปวงประชาจะยังคงคุ้มภัยให้อีก!!
ตีกอล์ฟ-ร้องรำทำเพลง แล้วหลับต่อไปเถิดทหารกล้า อย่ากลัวอะไร..ปวงประชาจะยังคุ้มภัยให้อีก คุ้มภัยให้ทหารกล้าจนกว่า..ปวงประชาจะตายไปหมดทั้งชาติครับ!!!