xs
xsm
sm
md
lg

นายกฯ ไม่เลื่อนบินออสซี่ โยน “สุเทพ” คุมม็อบ แนะสังคมจับตาแดงสยาม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
“มาร์ค” ลั่นเสื้อแดงจะทำผิดกฎหมายไม่ได้ วอนผู้ร่วมม็อบอย่าตกเป็นเหยื่อพวกป่วน ปัดรัฐขึ้นบัญชีดำพระ ไม่แน่ใจ “กี้ร์ อมฮอลล์” พูดเรื่องจริง วอนชาวบ้านให้ความร่วมมือรัฐ อย่าปะทุสถานการณ์ โยนไอซีทีดูแคมฟร็อกปลุกระดม ยังไม่ประกาศหยุดราชการ 12-14 มีนา แนะสังคมดูแดงสยามปูดอยากปกครองแบบเนปาลทำถูกหรือไม่ ยันรัฐไม่มีนโยบายปราบประชาชน ไม่เปลี่ยนแผนเยือนแดนจิงโจ้ 13-17 มี.ค. ให้ “สุเทพ” รักษาสถานการณ์ทุกอย่าง แต่ยังงงเจ้าตัวลงสุราษฎร์ฯ ช่วงม็อบ

วันนี้ (5 มี.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่ากลุ่มเสื้อแดงจะให้ ส.ส.พรรคเพื่อไทย 1 คน นำประชาชนเข้ามาร่วมชุมนุม 10,000 คน โดยใช้รถปิกอัพจำนวน 100 คันว่า ขณะนี้มีการประเมินกันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรัฐบาลจะพยายามบริหารให้การชุมนุมเป็นไปด้วยความเรียบร้อย และถือเป็นสิทธิในการเคลื่อนไหวชุมนุมโดยสงบ แต่การที่จะนำรถและยานพาหนะต่างๆ เข้ามา อยากขอว่าควรให้ความร่วมมือกับภาครัฐ ซึ่งนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง ได้พูดไปแล้วในเรื่องของการช่วยกันบริหารปัญหาเรื่องการจราจร เพราะถ้าคนเข้ามาจำนวนมาก รวมทั้งยานพาหนะต่างๆ ก็จะเกิดความไม่สะดวกแก่ทุกฝ่าย เพราะฉะนั้นก็ขอให้ช่วยกันให้ความร่วมมือ ซึ่งรัฐบาลจะมีแนวทางในการสื่อสารให้ทราบว่าแนวการบริหารจะขอความร่วมมือในเรื่องไหนอย่างไรต่อไป

เมื่อถามว่า กลุ่มคนเสื้อแดงประกาศใช้ยุทธศาสตร์ล้อมกรุง รัฐบาลจะป้องกันและแก้ไขปัญหาเรื่องของการจราจรอย่างไร นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ถ้าประกาศว่าจะทำในสิ่งที่ผิดกฎหมายคงไม่ได้ และตนยังเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ที่จะมาชุมนุมไม่ได้มีวัตถุประสงค์ที่จะทำผิดกฎหมาย จึงขอความร่วมมือจากกลุ่มคนส่วนใหญ่ที่จะเข้ามาชุมนุมว่าขอได้ให้ความร่วมมือ อย่าไปตกเป็นเหยื่อของคนที่ต้องการทำผิดกฎหมาย เพราะเขาต้องการเพียงเพื่อต้องการแสดงออกทางการเมือง แต่คนที่อยากจะให้มันเกิดความวุ่นวายโกลาหลขึ้นมันมีส่วนหนึ่ง ต้องช่วยกันอย่าให้คนเหล่านั้นมาเป็นผู้กำหนดทิศทางการชุมนุมหรือทิศทางของบ้านเมืองได้


ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่จะมีพระสงฆ์เข้ามาร่วมชุมนุมในกรณีนี้ มหาเถรสมาคมควรดำเนินการอย่างไร นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า อย่าไปย้ำว่าเรื่องของความพยายามที่จะทำให้เกิดความขัดแย้ง ซึ่งวานนี้ (4 มี.ค.) ก็พยายามบอกกันว่ารัฐบาลไปขึ้นบัญชีดำคนเสื้อเเดงและมีพระสงฆ์รวมอยู่ด้วยนั้น ยืนยันว่าไม่มี จึงอยากให้ระมัดระวัง เพราะถ้าหากตนไปพูดอะไรเดี๋ยวก็จะกลายเป็นว่ามีความขัดแย้ง ซึ่งในความเป็นจริงมันไม่มี ความจริงทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นกลุ่มใดก็ล้วนแต่มีสิทธิหน้าที่ที่มีขอบเขตชัดเจนตามกฎหมาย ก็ขอให้ยึดตามนั้น ขณะที่นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง แกนนำคนเสื้อแดง ระบุว่าจะมีพระสงฆ์ 2 หมื่นรูปออกมาร่วมชุมนุมด้วย ถือเป็นกิจของสงฆ์หรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตนไม่ค่อยแน่ใจว่าสิ่งที่นายอริสมันต์พูดกับความเป็นจริงจะเหมือนกันหรือไม่

เมื่อถามว่า มีแนวทางที่จะปลุกพลังเงียบออกมาดูแลพื้นที่ของตัวเองอย่างไรบ้าง นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตนไม่ขอใช้คำว่าพลังเงียบ แต่คนส่วนใหญ่ของสังคมซึ่งต้องการเห็นบ้านเมืองสงบก็ต้องช่วยกันทำความเข้าใจต่อทุกๆ คนในสังคมของเราว่าบ้านเมืองกำลังเดินหน้าไปได้ อย่าให้เกิดเหตุการณ์อะไรที่ทำให้บ้านเมืองสะดุด และช่วยกันให้ความร่วมมือกับภาครัฐในการสอดส่องดูแล เพราะอาจจะมีคนกลุ่มหนึ่งที่ต้องการให้เกิดความวุ่นวาย ความรุนแรง ก็ต้องขอความร่วมมือจากทุกฝ่าย แต่อย่าไปทำอะไรให้เกิดการปะทะหรือความขัดแย้งขึ้นในหมู่ประชาชนด้วยกัน เรื่องนี้ไม่มีความจำเป็นเพราะเราเป็นคนไทยด้วยกัน อารมณ์ความหงุดหงิดที่อาจเกิดขึ้นได้ แต่อย่าไปแสดงออกในลักษณะที่ทำให้เกิดความขัดแย้ง ขอให้ช่วยกันพูดกันเพื่อให้สถานการณ์เย็นลง ช่วยกันสอดส่องดูแลเป็นหูเป็นตา ถ้ามีอะไรผิดปกติก็ต้องช่วยกันแจ้งหน่วยงานภาครัฐ

ต่อข้อถามที่ว่า องค์กรต่างๆ ควรดูแลบุคคลากรของตัวเองอย่างไร เพราะล่าสุดเว็บไซต์แคมฟร็อกที่มีปัญหาเพราะมีบุคลากรของกองทัพเข้าไปเป็นเจ้าของในการให้เช่าสัญญาณ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า จริงๆ เจ้าของเว็บไซต์หรือคนที่บริหารเว็บไซต์มีความรับผิดชอบอยู่แล้ว จะต้องดูไม่ให้มีการเผยแพร่ข้อความที่ผิดกฎหมาย เช่น เชิญชวนให้คนไปทำผิดกฎหมาย ใช้ความรุนแรงถือเป็นความรับผิดชอบของผู้บริหารของเว็บไซต์ต่างๆ ส่วนบุคคลที่เช่าสัญญาณหรืออุปกรณ์ต่างๆ คงไม่ต้องดูว่าเป็นใคร แต่ต้องดูว่าทำอะไรถ้าทำในสิ่งที่ผิดกฎหมายก็ต้องดำเนินการ แต่ถ้าทำในสิ่งที่เป็นสิทธิก็สามารถทำได้ ไม่ได้อยู่ที่ว่าเป็นใคร อย่างไรก็ตาม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารก็ติดตามดูแลอยู่แล้ว ซึ่งคงต้องซักซ้อมทำความเข้าใจกัน

ผู้สื่อข่าวถามว่า กลุ่มคนเสื้อแดงประกาศชุมนุมระหว่างวันที่ 12-14 มี.ค.และอาจเดินขบวนไปตามสถานที่ราชการจำเป็นต้องประกาศให้เป็นวันหยุดราชการหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ยังไม่มีความคิดที่จะประกาศเป็นวันหยุดราชการ เมื่อถามว่าจากการประเมินล่าสุดสถานการณ์การชุมนุมจะรุนแรงมากหรือน้อยกว่า เหตุการณ์ในเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า มีความเคลื่อนไหวของคนบางกลุ่ม ซึ่งไม่ได้อยู่ที่จำนวนแต่อยู่ที่รูปแบบของการเคลื่อนไหว ซึ่งยังเชื่อกันว่าคนส่วนใหญ่ที่เข้ามาชุมนุมไม่ได้เกี่ยวข้องกับกระบวนการของคนบางกลุ่ม

“จึงอยากขอความร่วมมือว่าอย่าไปตกเป็นเหยื่อ เพราะที่สุดแล้วคนที่เขาต้องการความรุนแรง เขาต้องการที่จะให้มันวุ่นวายและเกิดการเปลี่ยนแปลงซึ่งผมบอกได้เลยว่าไม่เป็นประชาธิปไตย” นายอภิสิทธิ์กล่าว

เมื่อถามว่า ล่าสุดกลุ่มแดงสยามระบุว่าจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกับ ประเทศเนปาล ถือเป็นการส่งสัญญาณอะไรหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ก็ขอให้สังคมพิจารณาว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่ อย่างไรก็ตามในส่วนของรัฐบาลก็ทราบความเคลื่อนไหวอยู่และทำงานเพื่อไม่ให้คนเหล่านั้นประสบความสำเร็จ แต่ทั้งหมดก็ต้องขอความร่วมมือจากสังคมและกลุ่มผู้ชุมนุมด้วย เพราะมันไม่เป็นประโยชน์กับกลุ่มผู้ชุมนุมเลย เพราะผู้ชุมนุมที่เดินทางเข้ามาบนความเชื่อทางการเมืองอยากมาเรียกร้องความยุติธรรมหรือประชาธิปไตยต่างๆ ถ้าเข้ามาแล้วเกิดเหตุความรุนแรงมันไม่เป็นประโยชน์อะไรกับท่าน หรือทำให้สิ่งที่เรียกร้องหรืออยากจะต่อสู้เพื่อให้ได้มาในสิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นเลย แต่จะตรงข้ามด้วยซ้ำ จึงขอว่าอย่าไปเป็นเครื่องมือของคนที่นิยมความรุนแรงและต้องการให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงเพื่อประโยชน์ส่วนตัว

ต่อข้อถามที่ว่า จะดูแลคนจำนวนมากได้อย่างไร โดยเฉพาะกลุ่มมือที่ 3 นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เราจะมีการบริหารเพื่อให้เกิดการจัดระบบให้ดีที่สุดในการเคลื่อนไหวต่างๆ เพราะฉะนั้น เวลาที่เจ้าหน้าที่ของรัฐเข้ามา เช่น ตอนนี้อาจจะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร เข้ามาลาดตระเวน ประจำการหรือดูแลสอดส่องสถานที่ต่างๆ ก็ขอให้เข้าใจว่าคนเหล่านี้กำลังเข้าไป ดูแลความสงบเรียบร้อยเพื่อความสงบของผู้ชุมนุมเองด้วย อย่าไปหลงเชื่อว่าการที่เจ้าหน้าที่ออกมาอย่างนี้แปลว่าจะมาปราบปรามประชาชน ยืนยันว่าไม่มี เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงไม่มีใครที่ต้องการไปปราบปรามประชาชน มีแต่บางฝ่ายที่ต้องการยั่วยุให้เกิดความรุนแรงขึ้น แต่รัฐบาลจะไม่ทำเช่นนั้นจึงขอให้ทุกคนที่จะเข้ามาชุมนุมทราบว่ารัฐบาลไม่มีนโยบายไปปราบปรามเด็ดขาด แต่ต้องรักษากฎหมายเท่านั้น เหมือนกับการชุมนุมถ้าใครทำผิดกฎหมายต้องถูกดำเนินการ

ผู้สื่อข่าวถามว่า ช่วงที่นายกรัฐมนตรีเดินทางไปเยือนประเทศออสเตรเลีย ระหว่างวันที่ 13-17 มี.ค.จะมอบหมายอำนาจและสิทธิ์ขาดให้ใครดูแล นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เป็นไปตามระบบราชการ และขอชี้แจงว่ากำหนดการของตนที่จะเดินทางไปประเทศออสเตรเลียและประเทศต่างๆ ได้กำหนดไว้ล่วงหน้าและก็ไม่อยากเลื่อน ซึ่งการที่ตนมากำหนดการเดินทางช่วงนี้ค่อนข้างมากเพราะเดิมคิดว่า ช่วงเดือน ก.พ.จะมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ช่วงต้นปีจึงไม่ได้มีการทำเรื่องการเดินทางไปต่างประเทศเลย อย่างไรก็ตาม เมื่อมีภารกิจต้องเดินทางไปต่างประเทศก็มีการมอบอำนาจตามสายงานอยู่ โดยนายสุเทพจะเป็นผู้รักษาการ ซึ่งการใช้อำนาจตามกฎหมาย สมมติว่าจำเป็นต้องใช้กฎหมายพิเศษหรือไม่อย่างไรก็มีการระบุไว้ชัดเจน ยืนยันว่าไม่มีปัญหาหรือสุญญากาศในเรื่องของอำนาจ เมื่อถามย้ำว่านายสุเทพมีอำนาจในการตัดสินใจทุกอย่างใช่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ใช่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นตนก็ต้องติดตามสถานการณ์อยู่แล้ว เมื่อถามว่ายืนยันที่จะเดินทางไปเยือนประเทศออสเตรเลียใช่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ในขณะนี้ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงแผนการเดินทาง ส่วนที่น่าแปลกว่าทำไมนายสุเทพมีกำหนดการลงพื้นที่ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี 13-14 มี.ค. นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ยังไม่ได้คุย และจะขอสอบถามนายสุเทพอีกครั้งหนึ่งว่าอยู่ที่ จ.สุราษฎร์ฯ จริงหรือไม่ อาจจะมีการปรับได้เพราะไม่ยาก

เมื่อถามว่า ในการขอความร่วมมือจากทุกฝ่ายทำความเข้าใจเพื่อให้สถานการณ์เย็นลง จะมีการเตือนในส่วนของพรรคและซีกรัฐบาลด้วยหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ขณะนี้เราไม่มีการไปดำเนินการอะไร อย่างเรื่องของคดีความนั้นมันเป็นหน้าที่ของฝ่ายประจำที่จะต้องดูแลให้เป็นไปตามกฎหมายไม่ได้ เป็นนโยบายพิเศษ ถือเป็นเรื่องการปฏิบัติตามกฎหมายตามคำพิพากษาและตนได้ย้ำกับ ครม.ว่าเราไม่ได้เป็นคู่กรณีกับใคร แต่เรามีหน้าที่รักษาผลประโยชน์ส่วนรวมเท่านั้น ส่วนการตอบโต้ทางการเมืองก็พยายามจำกัดมากที่สุด แต่ต้องเข้าใจว่าทางการเมืองว่าเมื่อใครถูกกล่าวหาก็ต้องชี้แจงไม่เช่นนั้น จะเกิดความเสียหายได้

ผู้สื่อข่าวถามว่า จนถึงขณะนี้ประเมินหรือไม่ว่าจะพ้นสภาวะที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นทรราชย์ มือเปื้อนเลือดที่ปราบปรามประชาชนได้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เราต้องอยู่บนความเป็นจริง รัฐบาลนี้ไม่เคยไปปราบปรามประชาชน รัฐบาลนี้บริหารด้วยความอดทนอดกลั้น หลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรุนแรงที่สุดในเดือน เม.ย.52 ทุกอย่างเป็นไปตามหลักของกฎหมายและคำนึงถึงสิทธิของผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ก็จะเห็นว่าเป็นครั้งแรกที่มีเหตุการณ์ในลักษณะนี้ และหลังจากเกิดเหตุการณ์รัฐบาลก็เปิดโอกาสให้มีการตรวจสอบทั้งจากฝ่ายบริหาร และสภาอย่างเต็มที่และโปร่งใส และยืนยันออกมาแล้วว่าไม่มีอย่างที่มีการกล่าวหา และการดำเนินการกับผู้ที่เกี่ยวข้องก็เป็นไปตามปกติ ไม่มีการไปไล่ล่าใครอะไรต่างๆ เลย ก็เป็นการยืนยันว่า รัฐบาลนี้ไม่มีแนวคิดตามที่มีการกล่าวหาว่าเป็นคนที่จะไปลุแก่อำนาจเข้าไปปราบปรามประชาชน พฤติกรรมปีกว่าที่เข้ามาทำหน้าที่ชัดเจนและแตกต่างจากหลายรัฐบาลในอดีต

ต่อข้อถามที่ว่า ประเมินสถานการณ์ว่าอาจรุนแรง จำเป็นต้องประกาศใช้กฎหมายพิเศษหรือยัง นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่จำเป็น แต่ทางคณะกรรมการติดตามสถานการณ์ความมั่นคง (คตม.) จะประเมินอยู่ตลอดเวลา ถ้าจำเป็นก็จะประกาศ แต่การประกาศนั้นต้องมีการทำความเข้าใจว่าเป็นไปเพื่อความสะดวกในการบริหารสถานการณ์ การประกาศใช้กฎหมายพิเศษ ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นการปราบปราม อย่างไรก็ตาม จนถึงวันนี้รวมไปถึงในการประชุม ครม.วันที่ 9 มี.ค.นี้ ยังไม่มีใครเสนอที่จะให้ประกาศใช้กฎหมายพิเศษ แต่จะมีการหารือเป็นระยะๆ ถ้าจำเป็นก็ประกาศแต่จะไล่ไปตามลำดับ คือกฎหมายความมั่นคงซึ่งเราเคยประกาศแล้วหลายครั้งแล้วและก็เห็นชัดเจนว่า เมื่อประกาศแล้วรัฐบาลจะไปละเมิดสิทธิไปปราบปรามใครไม่มี เพราะการประกาศใช้กฎหมายพิเศษมา 4-5 ครั้งก็ไม่มีปัญหาอะไรกับใคร แต่ช่วยบริหารสถานการณ์ให้ผ่านไปด้วยความเรียบร้อย

ผู้สื่อข่าวถามว่า ถ้าเกิดปัญหาจากการชุมนุมจนนำไปสู่การสูญเสียและความรุนแรงใครจะเป็นคนรับผิดชอบ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไปพูดล่วงหน้าไม่ได้ สถานการณ์ยังไม่เกิด จึงไม่มีสูตรสำเร็จ ต้องดูตามเหตุผลข้อเท็จจริงว่าเกิดความสูญเสียขึ้นที่ไหนอย่างไร อย่างเหตุการณ์การสูญเสียที่นางเลิ้งช่วงเดือน เม.ย.2552 ก็ชัดเจนว่า ไม่เกี่ยวข้องกับภาครัฐเพราะไม่มีนโยบายด้านการปราบปราม รัฐบาลมีนโยบายเดียวคือการรักษาความสงบเรียบร้อย
กำลังโหลดความคิดเห็น