ธรรม คือความดำรงอยู่ของกฎธรรมชาติบนความสัมพันธ์ระหว่าง อสังขตธรรม คือธรรมที่ไม่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง มีความสมบูรณ์ในตัวเอง (Absolute truth) พ้นจากกฎไตรลักษณ์ จึงเป็นศูนย์กลางหรือเอกภาพของสรรพสิ่งเป็นธรรมาธิปไตย ส่วนสังขตธรรม คือ ธรรมที่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง (Relative truth) มีลักษณะแตกต่างหลากหลาย (สิ่งไม่มีชีวิต, สิ่งมีชีวิต) เกิดขึ้นโดยการผสม ปรุงแต่ง วิวัฒนาการเกิดขึ้นในเบื้องต้น แปรปรวนในท่ามกลาง และดับไปในที่สุด ตามกฎไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา)
1. หลักธรรมาธิปไตย (Supremacy of the Dharma)
พระพุทธเจ้า ตรัสให้ภิกษุทั้งหลายฟัง เกี่ยวกับการปกครองบ้านเมือง อันเป็นวัตรของพระเจ้าจักรพรรดิอันประเสริฐ (จักรวรรดิวัตร 12) หรือหน้าที่ของนักปกครองผู้ยิ่งใหญ่ โดยให้ถือธรรมาธิปไตย และให้ภิกษุนำ ผู้นำโดยธรรมไปสอนสืบต่อไม่ให้ขาดสาย (ที.ปา. 11/35) ความย่อดังนี้
ธรรมาธิปไตย คือ (1) จงอาศัยธรรมเท่านั้น, (2) สักการธรรม, (3) ทำความเคารพธรรม, (4) นับถือธรรม, (5) บูชาธรรม, (6) ยำเกรงธรรม, (7) มีธรรมเป็นธงชัย, (8) มีธรรมเป็นยอด, (9) มีธรรมเป็นใหญ่... (ธรรมาธิปไตย คือศูนย์กลาง หรือเอกภาพของสรรพสิ่ง)
2. หลักพระมหากษัตริย์ประมุขแห่งรัฐ (The King as the head of State or The King as the head of the Kingdom of Thailand)
ประเทศไทยทุกยุคทุกสมัยแต่โบราณกาลมา มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ ไม่ว่าสภาวการณ์ทางประวัติศาสตร์การเมือง และทางสังคมของประเทศไทยจะเป็นไปในทางทิศใด พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแห่งรัฐคู่กับปวงชนชาติไทยเสมอไป และได้พัฒนาขึ้นเป็นอุดมการณ์ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการสร้างสรรค์สู่หลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 อันยิ่งใหญ่
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช พระราชสมภารเจ้า พระผู้ทรงคุณอันประเสริฐ ทรงปฏิบัติธรรม ตรงวิถีธรรมอันเป็นหนึ่งเดียวกับกฎธรรมชาติ พิสูจน์ได้ดังนี้
(1)พระเจ้าอยู่หัว ดำรงอยู่ในฐานะเป็นเอกภาพหรือศูนย์รวมของชาติ ส่วนพสกนิกรเป็นด้านความแตกต่างหลากหลาย
(2)พระเจ้าอยู่หัว ทรงแผ่พระเมตตาด้วยโครงการพระราชดำริกว่า 3,000 โครงการ เป็นปัจจัยให้พสกนิกรซาบซึ้ง จงรักภักดีขึ้นตรงต่อพระเจ้าอยู่หัว เกิดความสัมพันธ์โดยธรรมคือแผ่กระจาย กับ รวมศูนย์ เป็นปัจจัยให้เกิดดุลยภาพตามกฎธรรมชาติ รักในหลวงจริงต้องเชิดชูธรรมาธิปไตย
(3)สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันแห่งธรรม ทรงธรรม เป็นธรรมาธิปไตย จึงมีลักษณะแผ่ความเป็นธรรม แผ่พระบรมเดชานุภาพ แผ่ความถูกต้อง แผ่ความเมตตา กรุณา ออกไปสู่ส่วนที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมดทั้งในและต่างประเทศ
(4)สถาบันพระมหากษัตริย์ คืออำนาจแห่งปฐมภูมิ คือ มีอำนาจเหนืออำนาจอื่นใดทั้งหมด เช่น อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร อำนาจตุลาการ เป็นต้น
(5) พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่เสื่อมคลาย หรือสูญหายไปไหน หรือไม่มีใครจะแย่งชิงไปได้ ย่อมมีอำนาจเหนืออำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ หรืออำนาจอื่นใดในประเทศ และอำนาจนั้นๆ จะต้องขึ้นตรงต่อพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์เสมอไป ดุจดาวเคราะห์ต้องขึ้นต่อดวงอาทิตย์เสมอไป หรือชาวพุทธต้องขึ้นตรงต่อพระรัตนตรัยเสมอไป จะเห็นได้ว่า ปัญญา หลักการ วิธีคิดโดยธรรมาธิปไตยในกฎธรรมชาติ เป็นปัจจัยให้สถาบันพระมหากษัตริย์ดำรงอยู่อย่างมั่นคงดุจเดียวกับธรรมาธิปไตยในกฎธรรมชาติ
3. หลักอำนาจอธิปไตยของปวงชน (Popular Sovereignty) หลักการปกครองแบบสมัยใหม่ และรัฐสมัยใหม่ที่เรียกว่ารัฐชาติ (Nation state) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงสถาปนาความเป็นรัฐชาติไทยขึ้นในรัชสมัยของพระองค์ (พ.ศ. 2434) เพื่อสร้างความเป็นปึกแผ่น ความมั่นคงให้เกิดเอกภาพขึ้นแก่ประเทศ อำนาจอธิปไตยเป็นอำนาจสูงสุดในการปกครองของประเทศหรือรัฐ แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ
(1) อำนาจอธิปไตยด้านชาติ คืออำนาจในการปกครองประเทศของตนอย่างอิสระ ไม่ถูกครอบงำจากต่างประเทศ เป็นอำนาจที่สัมพันธ์อย่างอิสระระหว่างรัฐหรือประเทศต่างๆ
(2) อำนาจอธิปไตยของปวงชน อำนาจอธิปไตยด้านชาติจะเข็มแข็งหรือไม่เพียงไรขึ้นอยู่กับอำนาจอธิปไตยของปวงชน อำนาจอธิปไตยของปวงชนเข้มแข็ง อำนาจอธิปไตยด้านชาติก็จะเข้มแข็งด้วยอย่างเป็นเหตุเป็นผลซึ่งกันและกัน เพื่อให้ประเทศชาติเข้มแข็งไม่ถูกแทรกแซงจากประเทศมหาอำนาจได้โดยง่าย และนานาประเทศต้องเกรงขาม ในความเป็นเอกภาพของชนในชาติ
ในทางตรงกันข้าม ประเทศไทยเรา อำนาจอธิปไตยไม่เป็นของปวงชน หรือเป็นของชนส่วนน้อย จะทำให้อำนาจอธิปไตยด้านชาติอ่อนแอ จะถูกแทรกแซงได้ง่ายจากนานาประเทศ จะเสียเปรียบประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะประเทศมหาอำนาจ และจะเต็มไปด้วยผู้ปกครอง ขี้โกง คิดคดทรยศต่อชาติ
ความสัมพันธ์ระหว่างประมุขแห่งรัฐ กับอำนาจอธิปไตยของปวงชน ย่อมเป็นไปในทิศทางเดียวกันเป็นหนึ่งเดียวกัน คือเป็นลักษณะทั่วไป (Comprehensiveness) คือครอบคลุมองค์รวมทั้งประเทศ และมีความเด็ดขาด (Absoluteness) มีความถาวร (Permanence) แบ่งแยกมิได้ (Indivisibility) และมีลักษณะทั่วไป (General power) คือครอบคลุมอำนาจอื่นที่ต่ำกว่าอำนาจอธิปไตยทั้งหมด เช่น อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร อำนาจตุลาการ อันเป็นอำนาจลักษณะเฉพาะ ที่แตกต่างหลากหลาย และเป็นอำนาจชั่วคราวตามวาระ เป็นต้น
ประมุขแห่งรัฐ ย่อมมีความชอบธรรมในการใช้อำนาจอธิปไตยเพื่อแก้ไขเหตุวิกฤตสำคัญๆ ของชาติ ซึ่งองค์กรอำนาจอื่นไม่สามารถแก้ไขได้ เช่น อำนาจในการยุติการจลาจลทางการเมือง อำนาจในการยุติสงครามกลางเมืองหรือสงครามระหว่างประเทศ และการใช้อำนาจในการแก้ไขเหตุวิกฤตแห่งชาติ ทั้งนี้โดยองค์ประมุขแห่งรัฐทรงใช้อำนาจในลักษณะเป็นธรรมสูงสุด เป็นธรรมาธิปไตย โดยคำนึงถึงความมั่นคงแห่งชาติและประชาชนเป็นสิ่งสูงสุด
4. หลักเสรีภาพของบุคคล (Freedom of person)
หมายถึงเสรีภาพบริบูรณ์ของบุคคล คือเสรีภาพทางความคิด เสรีภาพทางการเมือง และเสรีภาพส่วนบุคคลเอกชน เป็นเสรีภาพที่บุคคล นิติบุคคลและรัฐ ไม่ควรละเมิดเสรีภาพของประชาชน 5. หลักความเสมอภาค (Equality)
หมายถึงความเสมอภาคทางโอกาส คือ (1) ความเสมอภาคโดยธรรม (2) ความเสมอภาคโดยหลักการปกครอง (3) ความเสมอภาคทางการเมือง คือ ความเสมอภาคในการแสดงพฤติกรรม ต่อสังคมในการอุทิศตนเพื่อประเทศชาติ อันเป็นกิจกรรมกุศลสาธารณะ (4) ความเสมอภาคทางกฎหมาย ฯลฯ
6. หลักภราดรภาพ (Fraternity)
คือการถือว่ามวลมนุษยชาติและสรรพสัตว์ทั้งผองเป็นพี่น้องกัน เป็นเพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ถ้อยที ถ้อยอาศัย บนรากฐานของความเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา และการให้โอกาส ไม่เลือกปฏิบัติ ไม่แบ่งชนชั้นวรรณะทางอาชีพ วุฒิการศึกษา ศาสนา ความเชื่อต่างๆ (ทุกวันนี้สังคมไทยขาดความเป็นภราดรภาพเพราะระบอบการเมืองเป็นเผด็จการ 2 ขั้ว)
7. หลักเอกภาพหรือรู้รักสามัคคีธรรม (Unity of law)
การถือหลักเอกภาพของความแตกต่างหลากหลาย (Unity of diversity) ความเป็นเอกภาพคือความสามัคคีธรรมและความสันติสุขของคนในชาติ บนความแตกต่างทางอายุ วุฒิการศึกษา อาชีพ ศาสนา ลัทธิฯ ลัทธิการเมือง ความเชื่อ ค่านิยม จะเกิดขึ้นเป็นรูปธรรมได้นั้น ก็ต่อเมื่อประเทศนั้นมีหลักการปกครองที่ถือธรรมเป็นใหญ่ คือ ธรรมาธิปไตย 9 เท่านั้น
8. หลักดุลยภาพ (Balance law)
ดุลยภาพเป็นอีกมิติหนึ่งของกฎธรรมชาติ บนความสัมพันธ์ทั้งองค์รวมหรือทั้งระบบในส่วนที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมด การตั้งอยู่ ทรงอยู่ ดำรงอยู่อย่างดุลยภาพได้นั้น เป็นความสัมพันธ์ระหว่างด้านเอกภาพมีลักษณะแผ่กระจาย กับ ด้านความแตกต่างหลากหลาย มีลักษณะรวมศูนย์ จึงมีลักษณะดุลยภาพ ดุจดังพระธรรมจักร พระพุทธเจ้าสอนให้เห็นความถูกต้อง หรือสัมมาทิฐิ (Right view) เกิดขึ้นได้จากการตั้งปณิธานปรารถนาอย่างแรงกล้า แน่วแน่ เพื่อประโยชน์สุขแห่งมวลมนุษยชาติ จะเป็นพลังผลักดันให้เกิดความเพียรในการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา (Insight Meditation) กระทั่งรู้แจ้งสภาวธรรมตามเป็นจริง อันพิสูจน์ได้ซึ่งดำรงอยู่แล้วในมนุษยชาติทุกคน
9. หลักนิติธรรม (Rule of law)
หลักกฎหมายหรือหลักนิติธรรมอันเป็นหลัก เป็นกฎเกณฑ์แห่งความยุติธรรม ในอดีตยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์นับแต่ พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ทรงถือหลักทศพิธราชธรรมมาประยุกต์ใช้ปกครองบ้านเมืองสืบต่อกันเรื่อยมาโดยพระมหากษัตริย์
ยุคสมัยใหม่จะต้องมีหลักการปกครอง รูปแบบและวิธีการปกครองบ้านเมืองสมัยใหม่ จำเป็นอย่างยิ่งยวดในความเป็นธรรมของปวงชนในทุกมิติ และหลักนิติธรรมนี้กำหนดขึ้นจากหลักคำสอนพระพุทธเจ้าและกฎธรรมชาติ โดยได้คล้องกับลักษณะพิเศษของประเทศไทย คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ได้พัฒนายกขึ้นเป็นหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 ดังกล่าวนี้
การแก้เหตุวิกฤตชาติง่ายนิดเดียว โดย องค์พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 นัยหนึ่ง ก็คือการสถาปนารากฐาน แก่นแท้ อันเป็นความมั่นคงแห่งชาติอย่างยั่งยืน ลำดับต่อมา ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ปรับปรุงรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติต่างๆ คำสั่ง ประกาศ กฎกระทรวง ฯลฯ ให้สอดคล้อง โดยไม่ขัดต่อหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 เพียงเท่านี้ ประเทศไทยก็จะผ่านพ้นจากเหตุแห่งความชั่วร้ายของประเทศลงโดยพลัน เริ่มนับหนึ่งสู่ความศิวิไลซ์อย่างยิ่งใหญ่ สู่อารยธรรมใหม่ ก้าวไกลกว่าประเทศอื่นใดในโลก ท่านสาธุที่รักทั้งหลาย ไม่มีบารมีอื่นใดที่ยิ่งใหญ่ไปกว่าการได้รัก เชิดชู สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อย่างมีปัญญาอันยิ่ง ร่วมกันนำประเทศชาติและประชาชนไปสู่ชัยชนะ สันติสุข มั่นคงอย่างแท้จริง.
1. หลักธรรมาธิปไตย (Supremacy of the Dharma)
พระพุทธเจ้า ตรัสให้ภิกษุทั้งหลายฟัง เกี่ยวกับการปกครองบ้านเมือง อันเป็นวัตรของพระเจ้าจักรพรรดิอันประเสริฐ (จักรวรรดิวัตร 12) หรือหน้าที่ของนักปกครองผู้ยิ่งใหญ่ โดยให้ถือธรรมาธิปไตย และให้ภิกษุนำ ผู้นำโดยธรรมไปสอนสืบต่อไม่ให้ขาดสาย (ที.ปา. 11/35) ความย่อดังนี้
ธรรมาธิปไตย คือ (1) จงอาศัยธรรมเท่านั้น, (2) สักการธรรม, (3) ทำความเคารพธรรม, (4) นับถือธรรม, (5) บูชาธรรม, (6) ยำเกรงธรรม, (7) มีธรรมเป็นธงชัย, (8) มีธรรมเป็นยอด, (9) มีธรรมเป็นใหญ่... (ธรรมาธิปไตย คือศูนย์กลาง หรือเอกภาพของสรรพสิ่ง)
2. หลักพระมหากษัตริย์ประมุขแห่งรัฐ (The King as the head of State or The King as the head of the Kingdom of Thailand)
ประเทศไทยทุกยุคทุกสมัยแต่โบราณกาลมา มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ ไม่ว่าสภาวการณ์ทางประวัติศาสตร์การเมือง และทางสังคมของประเทศไทยจะเป็นไปในทางทิศใด พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแห่งรัฐคู่กับปวงชนชาติไทยเสมอไป และได้พัฒนาขึ้นเป็นอุดมการณ์ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการสร้างสรรค์สู่หลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 อันยิ่งใหญ่
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช พระราชสมภารเจ้า พระผู้ทรงคุณอันประเสริฐ ทรงปฏิบัติธรรม ตรงวิถีธรรมอันเป็นหนึ่งเดียวกับกฎธรรมชาติ พิสูจน์ได้ดังนี้
(1)พระเจ้าอยู่หัว ดำรงอยู่ในฐานะเป็นเอกภาพหรือศูนย์รวมของชาติ ส่วนพสกนิกรเป็นด้านความแตกต่างหลากหลาย
(2)พระเจ้าอยู่หัว ทรงแผ่พระเมตตาด้วยโครงการพระราชดำริกว่า 3,000 โครงการ เป็นปัจจัยให้พสกนิกรซาบซึ้ง จงรักภักดีขึ้นตรงต่อพระเจ้าอยู่หัว เกิดความสัมพันธ์โดยธรรมคือแผ่กระจาย กับ รวมศูนย์ เป็นปัจจัยให้เกิดดุลยภาพตามกฎธรรมชาติ รักในหลวงจริงต้องเชิดชูธรรมาธิปไตย
(3)สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันแห่งธรรม ทรงธรรม เป็นธรรมาธิปไตย จึงมีลักษณะแผ่ความเป็นธรรม แผ่พระบรมเดชานุภาพ แผ่ความถูกต้อง แผ่ความเมตตา กรุณา ออกไปสู่ส่วนที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมดทั้งในและต่างประเทศ
(4)สถาบันพระมหากษัตริย์ คืออำนาจแห่งปฐมภูมิ คือ มีอำนาจเหนืออำนาจอื่นใดทั้งหมด เช่น อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร อำนาจตุลาการ เป็นต้น
(5) พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่เสื่อมคลาย หรือสูญหายไปไหน หรือไม่มีใครจะแย่งชิงไปได้ ย่อมมีอำนาจเหนืออำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ หรืออำนาจอื่นใดในประเทศ และอำนาจนั้นๆ จะต้องขึ้นตรงต่อพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์เสมอไป ดุจดาวเคราะห์ต้องขึ้นต่อดวงอาทิตย์เสมอไป หรือชาวพุทธต้องขึ้นตรงต่อพระรัตนตรัยเสมอไป จะเห็นได้ว่า ปัญญา หลักการ วิธีคิดโดยธรรมาธิปไตยในกฎธรรมชาติ เป็นปัจจัยให้สถาบันพระมหากษัตริย์ดำรงอยู่อย่างมั่นคงดุจเดียวกับธรรมาธิปไตยในกฎธรรมชาติ
3. หลักอำนาจอธิปไตยของปวงชน (Popular Sovereignty) หลักการปกครองแบบสมัยใหม่ และรัฐสมัยใหม่ที่เรียกว่ารัฐชาติ (Nation state) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงสถาปนาความเป็นรัฐชาติไทยขึ้นในรัชสมัยของพระองค์ (พ.ศ. 2434) เพื่อสร้างความเป็นปึกแผ่น ความมั่นคงให้เกิดเอกภาพขึ้นแก่ประเทศ อำนาจอธิปไตยเป็นอำนาจสูงสุดในการปกครองของประเทศหรือรัฐ แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ
(1) อำนาจอธิปไตยด้านชาติ คืออำนาจในการปกครองประเทศของตนอย่างอิสระ ไม่ถูกครอบงำจากต่างประเทศ เป็นอำนาจที่สัมพันธ์อย่างอิสระระหว่างรัฐหรือประเทศต่างๆ
(2) อำนาจอธิปไตยของปวงชน อำนาจอธิปไตยด้านชาติจะเข็มแข็งหรือไม่เพียงไรขึ้นอยู่กับอำนาจอธิปไตยของปวงชน อำนาจอธิปไตยของปวงชนเข้มแข็ง อำนาจอธิปไตยด้านชาติก็จะเข้มแข็งด้วยอย่างเป็นเหตุเป็นผลซึ่งกันและกัน เพื่อให้ประเทศชาติเข้มแข็งไม่ถูกแทรกแซงจากประเทศมหาอำนาจได้โดยง่าย และนานาประเทศต้องเกรงขาม ในความเป็นเอกภาพของชนในชาติ
ในทางตรงกันข้าม ประเทศไทยเรา อำนาจอธิปไตยไม่เป็นของปวงชน หรือเป็นของชนส่วนน้อย จะทำให้อำนาจอธิปไตยด้านชาติอ่อนแอ จะถูกแทรกแซงได้ง่ายจากนานาประเทศ จะเสียเปรียบประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะประเทศมหาอำนาจ และจะเต็มไปด้วยผู้ปกครอง ขี้โกง คิดคดทรยศต่อชาติ
ความสัมพันธ์ระหว่างประมุขแห่งรัฐ กับอำนาจอธิปไตยของปวงชน ย่อมเป็นไปในทิศทางเดียวกันเป็นหนึ่งเดียวกัน คือเป็นลักษณะทั่วไป (Comprehensiveness) คือครอบคลุมองค์รวมทั้งประเทศ และมีความเด็ดขาด (Absoluteness) มีความถาวร (Permanence) แบ่งแยกมิได้ (Indivisibility) และมีลักษณะทั่วไป (General power) คือครอบคลุมอำนาจอื่นที่ต่ำกว่าอำนาจอธิปไตยทั้งหมด เช่น อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร อำนาจตุลาการ อันเป็นอำนาจลักษณะเฉพาะ ที่แตกต่างหลากหลาย และเป็นอำนาจชั่วคราวตามวาระ เป็นต้น
ประมุขแห่งรัฐ ย่อมมีความชอบธรรมในการใช้อำนาจอธิปไตยเพื่อแก้ไขเหตุวิกฤตสำคัญๆ ของชาติ ซึ่งองค์กรอำนาจอื่นไม่สามารถแก้ไขได้ เช่น อำนาจในการยุติการจลาจลทางการเมือง อำนาจในการยุติสงครามกลางเมืองหรือสงครามระหว่างประเทศ และการใช้อำนาจในการแก้ไขเหตุวิกฤตแห่งชาติ ทั้งนี้โดยองค์ประมุขแห่งรัฐทรงใช้อำนาจในลักษณะเป็นธรรมสูงสุด เป็นธรรมาธิปไตย โดยคำนึงถึงความมั่นคงแห่งชาติและประชาชนเป็นสิ่งสูงสุด
4. หลักเสรีภาพของบุคคล (Freedom of person)
หมายถึงเสรีภาพบริบูรณ์ของบุคคล คือเสรีภาพทางความคิด เสรีภาพทางการเมือง และเสรีภาพส่วนบุคคลเอกชน เป็นเสรีภาพที่บุคคล นิติบุคคลและรัฐ ไม่ควรละเมิดเสรีภาพของประชาชน 5. หลักความเสมอภาค (Equality)
หมายถึงความเสมอภาคทางโอกาส คือ (1) ความเสมอภาคโดยธรรม (2) ความเสมอภาคโดยหลักการปกครอง (3) ความเสมอภาคทางการเมือง คือ ความเสมอภาคในการแสดงพฤติกรรม ต่อสังคมในการอุทิศตนเพื่อประเทศชาติ อันเป็นกิจกรรมกุศลสาธารณะ (4) ความเสมอภาคทางกฎหมาย ฯลฯ
6. หลักภราดรภาพ (Fraternity)
คือการถือว่ามวลมนุษยชาติและสรรพสัตว์ทั้งผองเป็นพี่น้องกัน เป็นเพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ถ้อยที ถ้อยอาศัย บนรากฐานของความเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา และการให้โอกาส ไม่เลือกปฏิบัติ ไม่แบ่งชนชั้นวรรณะทางอาชีพ วุฒิการศึกษา ศาสนา ความเชื่อต่างๆ (ทุกวันนี้สังคมไทยขาดความเป็นภราดรภาพเพราะระบอบการเมืองเป็นเผด็จการ 2 ขั้ว)
7. หลักเอกภาพหรือรู้รักสามัคคีธรรม (Unity of law)
การถือหลักเอกภาพของความแตกต่างหลากหลาย (Unity of diversity) ความเป็นเอกภาพคือความสามัคคีธรรมและความสันติสุขของคนในชาติ บนความแตกต่างทางอายุ วุฒิการศึกษา อาชีพ ศาสนา ลัทธิฯ ลัทธิการเมือง ความเชื่อ ค่านิยม จะเกิดขึ้นเป็นรูปธรรมได้นั้น ก็ต่อเมื่อประเทศนั้นมีหลักการปกครองที่ถือธรรมเป็นใหญ่ คือ ธรรมาธิปไตย 9 เท่านั้น
8. หลักดุลยภาพ (Balance law)
ดุลยภาพเป็นอีกมิติหนึ่งของกฎธรรมชาติ บนความสัมพันธ์ทั้งองค์รวมหรือทั้งระบบในส่วนที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมด การตั้งอยู่ ทรงอยู่ ดำรงอยู่อย่างดุลยภาพได้นั้น เป็นความสัมพันธ์ระหว่างด้านเอกภาพมีลักษณะแผ่กระจาย กับ ด้านความแตกต่างหลากหลาย มีลักษณะรวมศูนย์ จึงมีลักษณะดุลยภาพ ดุจดังพระธรรมจักร พระพุทธเจ้าสอนให้เห็นความถูกต้อง หรือสัมมาทิฐิ (Right view) เกิดขึ้นได้จากการตั้งปณิธานปรารถนาอย่างแรงกล้า แน่วแน่ เพื่อประโยชน์สุขแห่งมวลมนุษยชาติ จะเป็นพลังผลักดันให้เกิดความเพียรในการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา (Insight Meditation) กระทั่งรู้แจ้งสภาวธรรมตามเป็นจริง อันพิสูจน์ได้ซึ่งดำรงอยู่แล้วในมนุษยชาติทุกคน
9. หลักนิติธรรม (Rule of law)
หลักกฎหมายหรือหลักนิติธรรมอันเป็นหลัก เป็นกฎเกณฑ์แห่งความยุติธรรม ในอดีตยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์นับแต่ พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ทรงถือหลักทศพิธราชธรรมมาประยุกต์ใช้ปกครองบ้านเมืองสืบต่อกันเรื่อยมาโดยพระมหากษัตริย์
ยุคสมัยใหม่จะต้องมีหลักการปกครอง รูปแบบและวิธีการปกครองบ้านเมืองสมัยใหม่ จำเป็นอย่างยิ่งยวดในความเป็นธรรมของปวงชนในทุกมิติ และหลักนิติธรรมนี้กำหนดขึ้นจากหลักคำสอนพระพุทธเจ้าและกฎธรรมชาติ โดยได้คล้องกับลักษณะพิเศษของประเทศไทย คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ได้พัฒนายกขึ้นเป็นหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 ดังกล่าวนี้
การแก้เหตุวิกฤตชาติง่ายนิดเดียว โดย องค์พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 นัยหนึ่ง ก็คือการสถาปนารากฐาน แก่นแท้ อันเป็นความมั่นคงแห่งชาติอย่างยั่งยืน ลำดับต่อมา ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ปรับปรุงรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติต่างๆ คำสั่ง ประกาศ กฎกระทรวง ฯลฯ ให้สอดคล้อง โดยไม่ขัดต่อหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 เพียงเท่านี้ ประเทศไทยก็จะผ่านพ้นจากเหตุแห่งความชั่วร้ายของประเทศลงโดยพลัน เริ่มนับหนึ่งสู่ความศิวิไลซ์อย่างยิ่งใหญ่ สู่อารยธรรมใหม่ ก้าวไกลกว่าประเทศอื่นใดในโลก ท่านสาธุที่รักทั้งหลาย ไม่มีบารมีอื่นใดที่ยิ่งใหญ่ไปกว่าการได้รัก เชิดชู สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อย่างมีปัญญาอันยิ่ง ร่วมกันนำประเทศชาติและประชาชนไปสู่ชัยชนะ สันติสุข มั่นคงอย่างแท้จริง.