ตลอดหลายปีที่ผ่านมา “กระแสข่าวลือ” ที่เกี่ยวกับ “การล้มล้างสถาบันเบื้องสูง” ตลอดจน “การขายชาติ” ที่ต้องขอเรียกขานว่า “อกตัญญูแผ่นดินเกิด” ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์กันมาก จนในที่สุด ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา “ข่าวลือ” ในลักษณะนี้ค่อยๆ หนาหูมากยิ่งขึ้น จนสามารถที่จะเชื่อได้ว่า “จริง!”
สังคมไทย และโดยเฉพาะ “คนรุ่นใหม่” ที่ต้องแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งที่ต้องกล่าวว่า มีจำนวนมากที่อาจไม่ได้คิดถึง “ชาติบ้านเมือง” มากมายนัก เนื่องด้วยสารพัดสารพันปัญหาที่รุมเร้าชีวิตที่ต้อง “ดิ้นรน” เพื่อความอยู่รอด จนไม่มีเวลาคิดอะไรมากมายนัก พูดง่ายๆ ก็หมายความว่า “เอาตนเองให้รอดเสียก่อน ชาติบ้านเมืองค่อยมาว่ากันทีหลัง”
ถามว่า กลุ่มคนไทยจำนวนมากเป็นเช่นว่าดังกล่าวหรือไม่ ก็ต้องตอบว่า “เป็นกันเยอะ!” แต่ถามว่าโดย “จิตสำนึก” และ “จิตวิญญาณ” นั้น ก็ต้องขอบอกตรงๆ ว่า “อย่างน้อยที่สุด ความรักชาตินั้นมีแน่นอน” เพียงแต่ว่าไม่มีโอกาสที่จะแสดงออกหรือไม่ก็ยังไม่ถึงเวลา!
ทั้งนี้ คนไทยจำนวนมากเท่าที่สังเกตมานั้น ต่างรักชาติบ้านเมืองและเทิดทูนสถาบันสำคัญๆ ของชาติ โดยเฉพาะ “ความจงรักภักดี” ต่อ “สถาบันพระมหากษัตริย์” เราจะสังเกตได้จาก “วันสำคัญ” ทางสถาบันฯ ที่จะมีการนำ “ธงชาติไทย” และ “ธงประจำพระองค์” มาติดอยู่หน้าบ้านอย่างดาษดื่น
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ช่วงเฉลิมฉลอง กับปีสำคัญทางพระชนมายุและการครองราชย์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะมีการติด “ธงพระราชสัญลักษณ์” อยู่หน้าบ้าน หน้าสำนักงานตลอดปี พร้อมกับสวมใส่เสื้อผ้าสีเหลืองกันพร้อมเพรียง “พรึบ” ทั่วประเทศ หรือแม้กระทั่ง “สีชมพู” ให้สอดคลองกับสูทฉลองพระองค์ที่ฮิตกันมากเมื่อ พ.ศ.2550
จริงๆ แล้วคนไทยจำนวนมากทั้งในชนบทและเมืองสำคัญๆ เมืองใหญ่ต่างประเทศ คนไทยทุกคน “รัก-ห่วงใย” ชาติบ้านเมืองกันแทบทั้งนั้น เพียงแต่ยังไม่สบโอกาสที่จะแสดงออก ส่วน “การจงรักภักดี” ต่อ “สถาบันพระมหากษัตริย์” นั้น ขอย้ำว่า “มีแน่นอน” เพราะจะสังเกตได้ว่า แทบทุกบ้าน ทุกสำนักงาน จะมีพระบรมมหาทิสลักษณ์ของทั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ติดประจำ กอปรกับพระบรมฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
อย่างไรก็ตาม “ความรู้สึกรักชาติรักแผ่นดิน” ของคนไทยนั้น ต้องขอย้ำเช่นเดียวกันว่า “มีแน่นอน” แต่เลยเถิดไปจนถึง “รำลึก” และคิดว่า “เป็นหนี้แผ่นดิน” จนต้อง “ตอบแทนหนี้บุญคุณแผ่นดิน” หรือไม่นั้น อาจจะยังไม่ใคร่มีการคิดไกลถึงขนาดนั้น แต่ถ้าเมื่อใด “วิกฤตชาติ” เกิดขึ้น ตอนนั้นล่ะ เราจะได้เห็นอย่างชัดเจนว่า “ใครคิดอย่างไร?” กับประเทศชาติ
การที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น ได้โปรดอย่าเข้าใจผิดเด็ดขาด อย่าเหมารวมว่า “คนไทยไม่รักชาติ-คนไทยไม่รู้จักหนี้บุญคุณแผ่นดิน” หรือ “คนไทยอกตัญญู” กับชาติบ้านเมือง และ/หรือ เลยเถิดไปจนถึง “ไม่จงรักภักดีสถาบันกษัตริย์” เพราะไม่ได้คิดเช่นนั้น เพียงแต่ว่าจากสภาพความเป็นจริง ที่ได้ยินได้ฟังมา กอปรกับ “การประมวล-ประเมิน” ข้อมูลจากสำนักข่าวต่างๆ ทั้งจาก “ภาคสื่อสารมวลชน” และ “ภาครัฐ” แล้ว ต้องขอเรียนตามตรงว่า “น่าห่วงใย” อย่างมาก ที่แทบไม่น่าเชื่อว่า “กลุ่มบุคคล” ที่มีจำนวนไม่น่าจะเกิน 10-20 คิดที่จะ “ล้มล้าง-ขายชาติ” และโดยเฉพาะ “ไม่จงรักภักดี” จนเข้าขั้น “ล้มล้างสถาบันฯ”
“ข่าวอัปมงคล” เช่นนี้ ต้องขอยอมรับว่า “ยากต่อการพิสูจน์!” แต่เราต้องรับความจริงเป็น “สัจธรรม” ว่า “ไม่มีไฟ ก็ไม่มีควัน!” หรือ “ไม่มีขยะ หมาไม่คุ้ย!” ดังนั้น “เสียงซุบซิบนินทา” กับกรณีดังกล่าว น่าเชื่อว่ามี “ขบวนการเกิดขึ้นจริง!”
คนไทยแทบทุกคน “เกิดบนผืนแผ่นดินไทย” นี้เกือบร้อยละ 95-98 ถามต่อว่า “บุพการี” และ/หรือ เลยเถิดไปจนถึง “โคตรเหง้าศักราช” ซึ่งหมายถึง “ปู่ย่าตาทวด” ล้วนเกิดบนผืนแผ่นดินไทยหรือไม่ ก็ต้องตอบว่าร้อยละ 50-70 เกิดบนผืนแผ่นดินนี้ ถามต่อว่า “แล้วลูกหลานเหลนของเราจะเกิดบนผืนแผ่นดินนี้หรือไม่” ก็ต้องตอบว่า “ร้อยละ 100” หรือจะตอบแบบสะใจ ก็ต้องตอบว่า “ชัวร์ 500 ล้านเปอร์เซ็นต์!”
ในเมื่อคำตอบเป็นเช่นนั้น คนไทยโดยส่วนใหญ่และส่วนมากจะไม่มีใครเลยหรือที่จะนึกถึง “บุญคุณแผ่นดินเกิด” และที่แน่นอนที่สุดต่อ “ประวัติศาสตร์” ความเป็นมาของประเทศชาตินี้ที่มีสถาบันสำคัญ “ค้ำจุน” เป็นโครงสร้างหลักของประเทศมาตลอดยาวนานถึง 700 กว่าปี กล่าวคือ “สถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์” จนปัจจุบัน เนื่องด้วยระบบการเมืองการปกครองพัฒนามาสู่ระบบการเมืองที่เป็นประชาธิปไตย จนเกิด “สถาบันประชาชน” ขึ้น แต่ก็มิได้หมายความว่า “ประเทศไทยต้องเป็นสถาบันประชาชน” แต่เพียงอย่างเดียว!
เราได้โปรดพินิจพิเคราะห์อย่างลึกซึ้งให้ดีๆ กับประโยคที่ว่า การเมืองไทยมี “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ขอย้ำว่า “ประมุข” คือ “พระมหากษัตริย์” มิใช่ “ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี” หรือ “ประธานสภาฯ” อื่นๆ หรือ “หัวหน้าพรรคการเมือง” หรือ “นายทุน-นักธุรกิจ” คนไหน!?!
การที่สภาวะสังคมไทยปัจจุบันที่ปริมาณคนไทยจำนวนมาก ทั้งในระดับล่างและระดับกลาง ต่างตกอยู่ในสภาพ “ปากกัดตีนถีบ!” จนเลยเถิดถึงขั้นที่ “มือใครยาวสาวได้สาวเอา-เอารัดเอาเปรียบ” โดยเฉพาะจาก “กลุ่มคนระดับสูง-กลุ่มนายทุน-กลุ่มผู้มีอำนาจ” มักจะ “มือยาว-เอาเปรียบ” ผู้ที่ด้อยกว่าด้วยประการทั้งปวง จนในที่สุดก็สามารถ “ซื้อหา-ลงทุนได้!” เพื่อให้ดิ้นรนได้ต่อไป โดยอาจหารู้ไม่ว่า “เป็นเหยื่อ-ตกเป็นทาส” ของบรรดา “กลุ่มทุนอำนาจ” กลุ่มนี้โดยใช้ “เส้นทางการเมือง” กับ “ธุรกิจการเมือง” กรุยทางสู่ “อำนาจ-ผลประโยชน์”
เราต้องยอมรับความจริงว่า มีประชาชนระดับล่างจำนวนมากที่ประสบปัญหาทางด้าน “สถานะทางสังคม-เศรษฐกิจ (Socio-Economic Status)” เนื่องด้วย “ความยากจน-การศึกษา” ที่ “ขาดตกบกพร่อง-ด้อยโอกาส” จึงอาจไม่รู้อีโหน่อีเหน่ และ “ซื่อใส!” จน “ถูกหลอก-ถูกซื้อ” ได้จาก “นักเลือกตั้ง” ดังนั้น การเลือกตั้งทุกครั้ง “เงิน-กระสุน” เป็นปัจจัยหลักมาโดยตลอด แต่มีบทบาทและทวีคูณการทุ่มอย่างมากในช่วงการเลือกตั้งตั้งแต่ปี 2544 เป็นต้นมา
กลุ่มประชาชนระดับนี้ อาจจะไม่สนใจ “การเมือง” มากเท่ากับ “การเงิน” จนยอม “ถูกซื้อ-ถูกจัดตั้ง” พูดง่ายๆ ก็หมายความว่า “ยอมตกเป็นทาสน้ำเงิน” กอปรกับ “อิทธิพลบารมี” ของ “นักการเมืองระดับชาติ-ระดับท้องถิ่น” ตลอดจน “เจ้าหน้าที่ของรัฐ” จนมีการกล่าวกันว่า “เงินไม่มา กาไม่เป็น!” ทั้งนี้ “การบังคับขู่เข็ญ” ก็มีบทบาทสูงเช่นเดียวกัน
ประชาชนในกลุ่มนี้ อาจไม่เข้าใจว่าในปัจจุบันได้มี “ขบวนการใหม่” เกิดขึ้นแล้ว กับทั้งสองปัญหาหลักที่เขาเหล่านั้นอาจไม่ตระหนักเลยว่า หนึ่ง “ชาติบ้านเมือง” กำลังจะถูก “กลืน” โดย “กลุ่มทุนการเมือง” และสำคัญที่สุด สอง “สถาบันกษัตริย์” อันเป็นที่รักเทิดทูนยิ่ง กำลังถูกความพยายามในการ “ล้มล้าง!”
ปัญหาทั้งหลายทั้งปวงข้างต้น ปัจจุบันประชาชนระดับบนและกลางเริ่มเข้าถึงข้อมูลและตระหนักดีแล้วว่า “ขบวนการ” ดังกล่าวกำลัง “ก่อตัว-สุมทุม” มาหลายปีแล้ว แล้วกำลังจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น จนก่อให้เกิด “ขบวนการต่อต้าน” ขึ้น เพียงแต่เป็นกรณีที่น่าเสียใจอย่างมากที่พี่น้องประชาชนระดับล่าง โดยเฉพาะ ภาคอีสานเกือบทั้งหมดและภาคเหนือบางส่วนเท่านั้นที่ “ถูกซื้อ-ถูกขู่เข็ญ” ให้กระทำตาม “คำบัญชา” ของ “กลุ่มทุนอิทธิพลการเมือง” หรือจะเรียกขานให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดไปเลยว่า “กลุ่มอกตัญญูแผ่นดินเกิด” โดยไม่แม้แต่คำนึงถึง “การตอบแทนบุญคุณหนี้แผ่นดิน!”
“กลุ่มทุนการเมือง” นี้เป็น กลุ่มที่ต้องการ “ผูกขาด” ทั้ง “อำนาจ-ผลประโยชน์” ทั้งปวงของประเทศชาติ จนน่าจะคิดเลยเถิดไปถึง “การตั้งสถาบัน” เพื่อตนเองและคณะ!
เป็นกรณีที่น่าเสียดายและน่าผิดหวังอย่างมากที่ “กลุ่มอกตัญญูแผ่นดิน” นี้ไม่ได้คำนึงถึง “แผ่นดินเกิด” แต่อย่างใด ตลอดจน “กลุ่มประชาชน” เพียงบางกลุ่มเท่านั้น ที่ “เห็นแก่เงินเฉพาะหน้า” เท่านั้น ที่ร่วมขบวนการด้วย โดยต้องถามว่า “ไม่เข้าใจวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกลุ่มทุนนิยมนี้เลยหรือ?” และ “เห็นแก่อามิสสินจ้างเท่านั้น?” จนสามารถที่จะ “กัดเซาะ-แทะแผ่นดินไทย” ไม่ให้เหลือหลอ
คำถามสุดท้ายต้องถามว่า ถ้าสถานการณ์ชาติบ้านเมืองถลำไปถึงขั้นนั้น “การนองเลือด” เกิดขึ้นหรือไม่ “แสงแดด” ขอร่วมขบวนการต่อต้านและฟันธงเลยว่า “เกิดขึ้นแน่นอน” เพราะทนไม่ได้อย่างเด็ดขาดที่ชาติบ้านเมืองอยู่รอดปลอดภัยเป็น “เอกราช” มาตราบเท่าทุกวันนี้
มิใช่ เพราะบรรดา “พระมหากษัตริย์นักรบนักพัฒนา” ที่เปี่ยมล้นไปด้วย “ทศพิธราชธรรม” และทรง “ติดดิน” เข้าถึงอาณาประชาราษฎร์มาตลอดหลายร้อยปีหรือ เราจะปล่อยให้คนเพียงหยิบมือเดียว แต่ “เงินหนา!” มาเป็น “ทรราช” แก่ดินแดนลูก-หลาน เราในอนาคตได้อย่างไร?
สังคมไทย และโดยเฉพาะ “คนรุ่นใหม่” ที่ต้องแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งที่ต้องกล่าวว่า มีจำนวนมากที่อาจไม่ได้คิดถึง “ชาติบ้านเมือง” มากมายนัก เนื่องด้วยสารพัดสารพันปัญหาที่รุมเร้าชีวิตที่ต้อง “ดิ้นรน” เพื่อความอยู่รอด จนไม่มีเวลาคิดอะไรมากมายนัก พูดง่ายๆ ก็หมายความว่า “เอาตนเองให้รอดเสียก่อน ชาติบ้านเมืองค่อยมาว่ากันทีหลัง”
ถามว่า กลุ่มคนไทยจำนวนมากเป็นเช่นว่าดังกล่าวหรือไม่ ก็ต้องตอบว่า “เป็นกันเยอะ!” แต่ถามว่าโดย “จิตสำนึก” และ “จิตวิญญาณ” นั้น ก็ต้องขอบอกตรงๆ ว่า “อย่างน้อยที่สุด ความรักชาตินั้นมีแน่นอน” เพียงแต่ว่าไม่มีโอกาสที่จะแสดงออกหรือไม่ก็ยังไม่ถึงเวลา!
ทั้งนี้ คนไทยจำนวนมากเท่าที่สังเกตมานั้น ต่างรักชาติบ้านเมืองและเทิดทูนสถาบันสำคัญๆ ของชาติ โดยเฉพาะ “ความจงรักภักดี” ต่อ “สถาบันพระมหากษัตริย์” เราจะสังเกตได้จาก “วันสำคัญ” ทางสถาบันฯ ที่จะมีการนำ “ธงชาติไทย” และ “ธงประจำพระองค์” มาติดอยู่หน้าบ้านอย่างดาษดื่น
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ช่วงเฉลิมฉลอง กับปีสำคัญทางพระชนมายุและการครองราชย์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะมีการติด “ธงพระราชสัญลักษณ์” อยู่หน้าบ้าน หน้าสำนักงานตลอดปี พร้อมกับสวมใส่เสื้อผ้าสีเหลืองกันพร้อมเพรียง “พรึบ” ทั่วประเทศ หรือแม้กระทั่ง “สีชมพู” ให้สอดคลองกับสูทฉลองพระองค์ที่ฮิตกันมากเมื่อ พ.ศ.2550
จริงๆ แล้วคนไทยจำนวนมากทั้งในชนบทและเมืองสำคัญๆ เมืองใหญ่ต่างประเทศ คนไทยทุกคน “รัก-ห่วงใย” ชาติบ้านเมืองกันแทบทั้งนั้น เพียงแต่ยังไม่สบโอกาสที่จะแสดงออก ส่วน “การจงรักภักดี” ต่อ “สถาบันพระมหากษัตริย์” นั้น ขอย้ำว่า “มีแน่นอน” เพราะจะสังเกตได้ว่า แทบทุกบ้าน ทุกสำนักงาน จะมีพระบรมมหาทิสลักษณ์ของทั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ติดประจำ กอปรกับพระบรมฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
อย่างไรก็ตาม “ความรู้สึกรักชาติรักแผ่นดิน” ของคนไทยนั้น ต้องขอย้ำเช่นเดียวกันว่า “มีแน่นอน” แต่เลยเถิดไปจนถึง “รำลึก” และคิดว่า “เป็นหนี้แผ่นดิน” จนต้อง “ตอบแทนหนี้บุญคุณแผ่นดิน” หรือไม่นั้น อาจจะยังไม่ใคร่มีการคิดไกลถึงขนาดนั้น แต่ถ้าเมื่อใด “วิกฤตชาติ” เกิดขึ้น ตอนนั้นล่ะ เราจะได้เห็นอย่างชัดเจนว่า “ใครคิดอย่างไร?” กับประเทศชาติ
การที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น ได้โปรดอย่าเข้าใจผิดเด็ดขาด อย่าเหมารวมว่า “คนไทยไม่รักชาติ-คนไทยไม่รู้จักหนี้บุญคุณแผ่นดิน” หรือ “คนไทยอกตัญญู” กับชาติบ้านเมือง และ/หรือ เลยเถิดไปจนถึง “ไม่จงรักภักดีสถาบันกษัตริย์” เพราะไม่ได้คิดเช่นนั้น เพียงแต่ว่าจากสภาพความเป็นจริง ที่ได้ยินได้ฟังมา กอปรกับ “การประมวล-ประเมิน” ข้อมูลจากสำนักข่าวต่างๆ ทั้งจาก “ภาคสื่อสารมวลชน” และ “ภาครัฐ” แล้ว ต้องขอเรียนตามตรงว่า “น่าห่วงใย” อย่างมาก ที่แทบไม่น่าเชื่อว่า “กลุ่มบุคคล” ที่มีจำนวนไม่น่าจะเกิน 10-20 คิดที่จะ “ล้มล้าง-ขายชาติ” และโดยเฉพาะ “ไม่จงรักภักดี” จนเข้าขั้น “ล้มล้างสถาบันฯ”
“ข่าวอัปมงคล” เช่นนี้ ต้องขอยอมรับว่า “ยากต่อการพิสูจน์!” แต่เราต้องรับความจริงเป็น “สัจธรรม” ว่า “ไม่มีไฟ ก็ไม่มีควัน!” หรือ “ไม่มีขยะ หมาไม่คุ้ย!” ดังนั้น “เสียงซุบซิบนินทา” กับกรณีดังกล่าว น่าเชื่อว่ามี “ขบวนการเกิดขึ้นจริง!”
คนไทยแทบทุกคน “เกิดบนผืนแผ่นดินไทย” นี้เกือบร้อยละ 95-98 ถามต่อว่า “บุพการี” และ/หรือ เลยเถิดไปจนถึง “โคตรเหง้าศักราช” ซึ่งหมายถึง “ปู่ย่าตาทวด” ล้วนเกิดบนผืนแผ่นดินไทยหรือไม่ ก็ต้องตอบว่าร้อยละ 50-70 เกิดบนผืนแผ่นดินนี้ ถามต่อว่า “แล้วลูกหลานเหลนของเราจะเกิดบนผืนแผ่นดินนี้หรือไม่” ก็ต้องตอบว่า “ร้อยละ 100” หรือจะตอบแบบสะใจ ก็ต้องตอบว่า “ชัวร์ 500 ล้านเปอร์เซ็นต์!”
ในเมื่อคำตอบเป็นเช่นนั้น คนไทยโดยส่วนใหญ่และส่วนมากจะไม่มีใครเลยหรือที่จะนึกถึง “บุญคุณแผ่นดินเกิด” และที่แน่นอนที่สุดต่อ “ประวัติศาสตร์” ความเป็นมาของประเทศชาตินี้ที่มีสถาบันสำคัญ “ค้ำจุน” เป็นโครงสร้างหลักของประเทศมาตลอดยาวนานถึง 700 กว่าปี กล่าวคือ “สถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์” จนปัจจุบัน เนื่องด้วยระบบการเมืองการปกครองพัฒนามาสู่ระบบการเมืองที่เป็นประชาธิปไตย จนเกิด “สถาบันประชาชน” ขึ้น แต่ก็มิได้หมายความว่า “ประเทศไทยต้องเป็นสถาบันประชาชน” แต่เพียงอย่างเดียว!
เราได้โปรดพินิจพิเคราะห์อย่างลึกซึ้งให้ดีๆ กับประโยคที่ว่า การเมืองไทยมี “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ขอย้ำว่า “ประมุข” คือ “พระมหากษัตริย์” มิใช่ “ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี” หรือ “ประธานสภาฯ” อื่นๆ หรือ “หัวหน้าพรรคการเมือง” หรือ “นายทุน-นักธุรกิจ” คนไหน!?!
การที่สภาวะสังคมไทยปัจจุบันที่ปริมาณคนไทยจำนวนมาก ทั้งในระดับล่างและระดับกลาง ต่างตกอยู่ในสภาพ “ปากกัดตีนถีบ!” จนเลยเถิดถึงขั้นที่ “มือใครยาวสาวได้สาวเอา-เอารัดเอาเปรียบ” โดยเฉพาะจาก “กลุ่มคนระดับสูง-กลุ่มนายทุน-กลุ่มผู้มีอำนาจ” มักจะ “มือยาว-เอาเปรียบ” ผู้ที่ด้อยกว่าด้วยประการทั้งปวง จนในที่สุดก็สามารถ “ซื้อหา-ลงทุนได้!” เพื่อให้ดิ้นรนได้ต่อไป โดยอาจหารู้ไม่ว่า “เป็นเหยื่อ-ตกเป็นทาส” ของบรรดา “กลุ่มทุนอำนาจ” กลุ่มนี้โดยใช้ “เส้นทางการเมือง” กับ “ธุรกิจการเมือง” กรุยทางสู่ “อำนาจ-ผลประโยชน์”
เราต้องยอมรับความจริงว่า มีประชาชนระดับล่างจำนวนมากที่ประสบปัญหาทางด้าน “สถานะทางสังคม-เศรษฐกิจ (Socio-Economic Status)” เนื่องด้วย “ความยากจน-การศึกษา” ที่ “ขาดตกบกพร่อง-ด้อยโอกาส” จึงอาจไม่รู้อีโหน่อีเหน่ และ “ซื่อใส!” จน “ถูกหลอก-ถูกซื้อ” ได้จาก “นักเลือกตั้ง” ดังนั้น การเลือกตั้งทุกครั้ง “เงิน-กระสุน” เป็นปัจจัยหลักมาโดยตลอด แต่มีบทบาทและทวีคูณการทุ่มอย่างมากในช่วงการเลือกตั้งตั้งแต่ปี 2544 เป็นต้นมา
กลุ่มประชาชนระดับนี้ อาจจะไม่สนใจ “การเมือง” มากเท่ากับ “การเงิน” จนยอม “ถูกซื้อ-ถูกจัดตั้ง” พูดง่ายๆ ก็หมายความว่า “ยอมตกเป็นทาสน้ำเงิน” กอปรกับ “อิทธิพลบารมี” ของ “นักการเมืองระดับชาติ-ระดับท้องถิ่น” ตลอดจน “เจ้าหน้าที่ของรัฐ” จนมีการกล่าวกันว่า “เงินไม่มา กาไม่เป็น!” ทั้งนี้ “การบังคับขู่เข็ญ” ก็มีบทบาทสูงเช่นเดียวกัน
ประชาชนในกลุ่มนี้ อาจไม่เข้าใจว่าในปัจจุบันได้มี “ขบวนการใหม่” เกิดขึ้นแล้ว กับทั้งสองปัญหาหลักที่เขาเหล่านั้นอาจไม่ตระหนักเลยว่า หนึ่ง “ชาติบ้านเมือง” กำลังจะถูก “กลืน” โดย “กลุ่มทุนการเมือง” และสำคัญที่สุด สอง “สถาบันกษัตริย์” อันเป็นที่รักเทิดทูนยิ่ง กำลังถูกความพยายามในการ “ล้มล้าง!”
ปัญหาทั้งหลายทั้งปวงข้างต้น ปัจจุบันประชาชนระดับบนและกลางเริ่มเข้าถึงข้อมูลและตระหนักดีแล้วว่า “ขบวนการ” ดังกล่าวกำลัง “ก่อตัว-สุมทุม” มาหลายปีแล้ว แล้วกำลังจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น จนก่อให้เกิด “ขบวนการต่อต้าน” ขึ้น เพียงแต่เป็นกรณีที่น่าเสียใจอย่างมากที่พี่น้องประชาชนระดับล่าง โดยเฉพาะ ภาคอีสานเกือบทั้งหมดและภาคเหนือบางส่วนเท่านั้นที่ “ถูกซื้อ-ถูกขู่เข็ญ” ให้กระทำตาม “คำบัญชา” ของ “กลุ่มทุนอิทธิพลการเมือง” หรือจะเรียกขานให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดไปเลยว่า “กลุ่มอกตัญญูแผ่นดินเกิด” โดยไม่แม้แต่คำนึงถึง “การตอบแทนบุญคุณหนี้แผ่นดิน!”
“กลุ่มทุนการเมือง” นี้เป็น กลุ่มที่ต้องการ “ผูกขาด” ทั้ง “อำนาจ-ผลประโยชน์” ทั้งปวงของประเทศชาติ จนน่าจะคิดเลยเถิดไปถึง “การตั้งสถาบัน” เพื่อตนเองและคณะ!
เป็นกรณีที่น่าเสียดายและน่าผิดหวังอย่างมากที่ “กลุ่มอกตัญญูแผ่นดิน” นี้ไม่ได้คำนึงถึง “แผ่นดินเกิด” แต่อย่างใด ตลอดจน “กลุ่มประชาชน” เพียงบางกลุ่มเท่านั้น ที่ “เห็นแก่เงินเฉพาะหน้า” เท่านั้น ที่ร่วมขบวนการด้วย โดยต้องถามว่า “ไม่เข้าใจวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกลุ่มทุนนิยมนี้เลยหรือ?” และ “เห็นแก่อามิสสินจ้างเท่านั้น?” จนสามารถที่จะ “กัดเซาะ-แทะแผ่นดินไทย” ไม่ให้เหลือหลอ
คำถามสุดท้ายต้องถามว่า ถ้าสถานการณ์ชาติบ้านเมืองถลำไปถึงขั้นนั้น “การนองเลือด” เกิดขึ้นหรือไม่ “แสงแดด” ขอร่วมขบวนการต่อต้านและฟันธงเลยว่า “เกิดขึ้นแน่นอน” เพราะทนไม่ได้อย่างเด็ดขาดที่ชาติบ้านเมืองอยู่รอดปลอดภัยเป็น “เอกราช” มาตราบเท่าทุกวันนี้
มิใช่ เพราะบรรดา “พระมหากษัตริย์นักรบนักพัฒนา” ที่เปี่ยมล้นไปด้วย “ทศพิธราชธรรม” และทรง “ติดดิน” เข้าถึงอาณาประชาราษฎร์มาตลอดหลายร้อยปีหรือ เราจะปล่อยให้คนเพียงหยิบมือเดียว แต่ “เงินหนา!” มาเป็น “ทรราช” แก่ดินแดนลูก-หลาน เราในอนาคตได้อย่างไร?