ที่วัดพระยายัง เมื่อเวลา 10.00 น. วานนี้ (15 พ.ค.) มีพิธีทำบุญเลี้ยงพระเพล เนื่องในโอกาสวันเกิดครบรอบ 76 ปี ของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี โดยมีคุณหญิงพันธ์เครือ ยงใจยุทธ ภริยา พร้อมทั้ง คนใกล้ชิดมาร่วมงานอย่างคับคั่ง เช่น พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา กรรมการบริหารพรรคชาติไทย พล.อ.วิชิต ยาทิพย์ อดีตรอง ผบ.ทบ. พล.อ.ชาญ บุญประเสริฐ อดีตเสนาธิการทหารบก รวมถึงอดีตนักการเมืองพรรคความหวังใหม่ เข้าร่วม
พล.อ.ชวลิต กล่าวถึงความวุ่นวายทางการเมืองในรัฐสภาว่า คงไม่เป็นไร ให้ยุ่งในสภาฯ ก็ดีแล้ว ดีกว่าไปยุ่งที่อื่น เป็นเรื่องธรรมดาที่การเมืองต้องมีความขัดแย้งกัน อย่าไปเห็นเป็นเรื่องใหญ่ อย่าไปสนใจในเรื่องที่ไม่ควรแก่การสนใจมากนัก เช่น การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่แม้จะเป็นเรื่องที่สำคัญแต่ไม่ใช่ต้องไปทุ่มเทกันมากมาย จนเอาชีวิต ชาติ หรือประเทศ ไปขึ้นอยู่ตรงน ถ้าอยากจะแก้ไขก็แก้กันไป ก็เท่านั้นเอง หันหน้าเข้ากันก็เสร็จแล้ว และก็มีรัฐธรรมนูญอีกฉบับหนึ่งขึ้นมา แต่อยากถามว่าแล้วประเทศได้อะไร
“ผมเห็นว่าควรเน้นหนักในเรื่องความเป็นอยู่ของประชาชนมากกว่า ซึ่งเท่าที่เห็นรัฐบาลก็พยายามทำอยู่แต่สื่อไม่ได้ให้เนื้อที่ข่าว กลับไปให้เนื้อที่กับเรื่องรัฐธรรมนูญ ทั้ง ม.309 , ม.237 และไม่รู้จะว่ากันไปถึงแค่ไหน ทำให้ประชาชนเกิดความไม่สบายใจ และ สับสน ทั้งที่ความจริงก็ไม่มีอะไร เพราะทั้งนายกรัฐมนตรี รมว.มหาดไทย และ รัฐมนตรีหลายคนก็พยายามทำงานและแก้ไขปัญหากันอยู่ สิ่งที่อยากฝากไว้คือเรื่องรัฐธรรมนูญนั้นสำคัญก็จริง แต่ก็อย่าให้ความสำคัญจนลืมประเทศชาติและประชาชน เท่านั้นเอง”
ผู้สื่อข่าวถามว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เข้าอวยพรวันเกิดตั้งแต่เช้าได้ชี้แจงเรื่องข่าวพาดพิงสถาบันหรือไม่ พล.อ.ชวลิต กล่าวติดตลกว่า “มาหลายคนจำไม่ค่อยได้ เมื่อเช้ามีทั้งนายก ฯอบจ. อบต.นะ”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงเช้าก่อนที่ พล.อ.ชวลิต จะเดินทางมาทำบุญที่วัด ได้มีนักการเมืองที่ใกล้ชิดเข้าอวยพรตั้งแต่ช่วงเช้า โดยมี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางเข้าพบและอวยพรวันเกิด พร้อมได้พูดคุยกันถึงประเด็นสถานการณ์การเมือง และสถานการณ์บ้านเมืองที่หลายฝ่ายพยายามยั่วยุให้เกิดการปฏิวัติ
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่าว่าในงานวันเกิดครั้งนี้ มีการแจกหนังสือ “แนวทางประเทศไทย ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี การต่อสู้เอาชนะภัยความมั่นคงแห่งชาติ สงครามเปิดโปงขบวนการ ล้มปืน ล้มทุน ล้มเจ้า” โดยมี นายไชยยงค์ รัตนวัน บรรณาธิการ เป็นผู้เขียน และ เรียบเรียง
ทั้งนี้ในหนังสือฉบับดังกล่าว พล.อ.ชวลิต ได้กล่าวในคำปรารภ ว่า ประเทศไทย ตั้งแต่ก่อตั้งชาติเมื่อยุคประวัติศาสตร์สมัยกลาง (Middle Age) ในระบบฟิวดัล (Feudalism) นั้นมีรูปของประเทศเป็นแบบราชอาณาจักรตลอดมากว่า 700 ปี ราชอาณาจักรนี้เป็นวัฒนธรรมตะวันออกทางการเมืองการปกครองที่ถูกหล่อหลอม เป็นจิตวิญญาณของชาติตลอดมาล่วงถึงประวัติศาสตร์สมัยใหม่ พระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6 ได้ทรงประยุกต์ก่อตั้งเป็นชาติสมัยใหม่ ซึ่งประกอบไปด้วยองค์คุณเอกภาพ 3 ประการ ที่แยกออกจากกันไม่ได้ ถ้าแยกแล้วจะไม่มีความเป็นชาติ คือ สถาบันชาติ ศาสนา กษัตริย์ สะท้อนอยู่ในธงไตรงค์ 3 สี คือ สีแดง สีขาว สีน้ำเงิน
สถาบันพระมหากษัตริย์ของประเทศไทยนั้น ยิ่งใหญ่ด้วยพระบรมเดชานุภาพ และพระบารมีเหนือสถาบันพระมหากษัตริย์ในหลายประเทศทั้งปวง เพราะหลักสาระสำคัญของสถาบันพระมหากษัติรย์ไทย คือทศพิธราชธรรม ซึ่งสืบทอดมาแต่บรรพกาล โดยประสานอหิงสา ซึ่งเป็นลักษณะพิเศษประจำชาติไทยเข้ากับพุทธอหิงสาธรรมคือ ทศพิธราชธรรม-ธรรมะ 10 ประการของสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งสรุปลงในพระบรมราโชวาท เมื่อเสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”
ซึ่งได้พิสูจน์ให้เห็นเป็นที่ประจักษ์เป็นจริง ด้วยพระราชจริยาวัตร และพระราชกรณียกิจตลอดเวลากว่าค่อนศตวรรษ โดยเฉพาะความประจักษ์เป็นจริง ตามที่ได้เห็นกันอย่างชัดแจ้งในเหตุการณ์เฉพาะหน้า ถึงพระบรมเดชานุภาพและพระมหาบารมีที่สยบ พฤษภาทมิฬ เป็นข้อเท็จจริงยิ่งใหญ่ซึ่งสามารถขจัดความเคลือบแคลงสงสัยที่อาจจะหลงเหลืออยู่บ้างในบุคคลบางจำพวก ถึงความจำเป็นและสำคัยสูงสุดที่ประเทศไทยจะต้องมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขไปตลอดกาล
แม้แต่ในยุคปัจจุบันภายใต้การปกครองของประเทศไทยที่ยังไม่เป็นประชาธิปไตย พสกนิการผู้จงรักภักดีทั้งหลายก็ยังเชิดชูบูชาสถาบันพระมหากษัตริย์ ด้วยความรู้แจ้งในวิวัฒนาการทางประวัติศาสตร์แห่งความสัมพันธ์ระหว่างชนชาติไทย โดยเฉพาะไทยสยามกับสถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อเป็นหลักประกันอันแน่นอน ของมาตรการที่ถูกต้องในการรักษาส่งเสริมความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะแม้ว่าจะเปี่ยมล้นด้วยความจงรักภักดีเพียงใด ถ้าขาดความรู้แจ้ง หรือเจือปนด้วยความงมงายแล้วก็อาจจะนำไปสู่มาตรการที่ผิดพลาด ซึ่งผลทางปฏิบัติแทนที่จะเป็นการรักษาส่งเสริมความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์อาจกลายเป็นบั่นทอนหรือทำลายโดยไม่รู้ตัวไปเสียก็เป็นได้
เวลานี้การเรียกร้องการสร้างประชาธิปไตยกำลังขึ้นสู่กระแสสูง วงการเมืองยอมรับกันอย่างกว้างขวางแล้วว่า ทางออกของชาติ คือการสร้างประชาธิปไตย ที่ไหนก็ได้ยินแต่คำว่า “สร้างประชาธิปไตย” แต่วิธีการสร้างประชาธิปไตยทำอย่างไร ยังเต็มไปด้วยความสับสน วิธีการสร้างประชาธิปไตยในประเทศเอกราชเอชียนั้น แตกต่างกับในประเทศยุโรป ซึ่งประชาชนลุกขึ้นช่วงชิงอำนาจพระมหากษัตริย์มาเป็นของตน
แต่ในประเทศเอเชียนั้น การสร้างประชาธิปไตยเป็นพระราชกรณียกิจของกระมหากษัตริย์ โดยพระมหากษัตริย์ทางมอบอำนาจ ซึ่งเป็นของพระองค์อยู่เดิมให้แก่ประชาชนถ้าพระมหากษัตริย์ทางปฏิบัติพระราชกรณียกิจสำเร็จประชาธิปไตยก็สำเร็จ แต่ถ้าพระมหากษัตริย์ทางปฏิบัติพระราชกรณียกิจไม่สำเร็จไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ ก็ตาม การสร้างประชาธิปไตยก็ล้มเหลว เพราะไม่มีวิธีการอื่นๆ ที่จะสร้างประชาธิปไตยได้ นอกจากวิธีการที่พระมหากษัตริย์ทรงมอบอำนาจให้ประชาชนเท่านั้น
พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ในอดีตได้ใช้หลัก 3 ประการ คือ พรรค แนวร่วม กองกำลังติดอาวุธ เข้าทำแนวร่วมกับนายทุน ทำสงครามกลางเมือง และยกระดับขึ้นสู่สงครามประชาชน เพื่อโค่นล้มกองทัพแห่งชาติ โดยตั้งกองกำลังปลดแอกประชาชนขึ้นเมื่อปี 2512 และเริ่มสงครามในปี 2515 ฝ่ายกองทัพแห่งชาติเป็นฝ่ายตั้งรับมาโดยตลอด เพราะใช้ยุทธศาสตร์ผิด คือใช้ยุทธศาสตร์ เผด็จการเข้าต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ ไม่ใช่ยุทธศาสตร์ประชาธิปไตยที่เป็นยุทธศาสตร์ ชนะตามหลักของยุทธศาสตร์ “เผด็จการแพ้คอมมิวนิสต์ คอมมิวสต์แพ้ประชาธิปไตย”
จนถึง พ.ศ.2523 เกือบจะพ่ายแพ้ กองทัพแห่งชาติจึงได้ปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์คอมมิวนิสต์ ตามนโยบาย 66/23 สถานการณ์จึงพลิกผันกลับจากหน้ามือเป็นหลักมือ จากแพ้แก้เป็นชนะ กองทัพแห่งชาติเป็นฝ่ายชนะสงครามกลางเมืองต่อคอมมิวนิสต์อย่างงดงามด้วยการปฏิบัตินโยบาย 66/23 ขั้นตอนที่ 1 คือ สร้างประชาธิปไตยระดับต่ำเท่านั้น ก็สามารถนำพาประเทศจากสถานการณ์สงครามเข้าสู่สถานการณ์สันติภาพได้สำเร็จ จนสามารถยุบกองกำลังติดอาวุธ หรือกองทัพปลดแอกลงได้อย่างสิ้นเชิง
ได้ทราบว่ามีกลุ่มบุคคลผู้นิยมลัทธิคอมมิวนิสต์ที่ดิ้อรั้นบางกลุ่มหันมาใช้ยุทธวิธแนวร่วมแทนอย่างเต็มที่โดยพยายามใช้วิธีการต่าง ๆ เช่น ชุบตัวในสถาบันวิชาการ เข้าร่วมทำเศรษฐกิจทุนนิยม เข้าร่วมถืออำนาจรัฐยุยงให้ทั้งฝ่ายรัฐ และฝ่ายทุนทำผิดให้มาก ๆ จึงมีการกล่าวกันว่าปัจจุบันมีขบวนการบ่อนทำลายประเทศโดยใช้ระบบเผด็จการรัฐสภาเป็นเครื่องมือดำเนินยุทธวิธีแนวร่วม เพื่อก่อสงครามกลางเมืองเพื่อเปลี่ยนรูปของประเทศจากราชอาณาจักรไปสู่สาธารณรัฐ โดยใช้รัฐธรรมนูญเป็นอาวุธหลัก
ด้วยเหตุ และปัจจัยของความขัดแย้งทางการเมืองอย่างรุนแรงของผู้คนในสังคม ในปัจจุบันความขัดแย้งทางการเมืองอย่างรุนแรงของผู้คนในสังคม ในปัจจุบันเป็นแรงผลักดันให้ตัวกระผม และผู้รักชาติรักประชาธิปไตยไม่อาจทนนิ่งเฉย เพราะเป็นความรับผิดชอบต่อบ้านเมือง เป้นภารกิจแห่งชีวิตที่จะต้องดำเนินการเพื่อยุติปัญหาทั้งมวลลง โดยเฉพาะกับความเห็นที่ผิด ๆ หรือที่เรียกว่า “มิจฉาทิฎฐิ” ที่ก่อตัวขึ้นเป็นขบวนการบ่อนทำลายความมั่นคงของชาติที่เรียกว่า “ขบวนการสาธารณรัฐ” มีความมุ่งหมายและดำเนินการโดยยุทธวิธีแนวร่วมเพื่อ ล้มปืน ล้มทุน ล้มเจ้า
และในฐานะที่กระผมเองได้ผ่านพิธีศักดิ์สิทธิ์ดื่มน้ำพิพัฒน์สัตยา และเป็นหนึ่งของสมาชิกเหรียญรามาธิบดีที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ ได้รับพระราชทานเหรียญ ชั้นมหาโยธิน จึงขอประกาศต่อสู้กับกลุ่มบุคคลทุกกลุ่มที่กระทำการกระทบกระเทือน และเป็นปรปักษ์ต่อสถาบันหลักของชาติ และมีลักษณะรบกวนเบื้องพระยุคลบาทไม่ว่ากรณีใด ๆ ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์แห่งพระบรมราชวงศ์จักรี ซึ่งปวงข้าพระพุทธเจ้าขอเทิดทูนไว้เหนือเกล้าเหนือกระหม่อมจนกว่าชีวิตจะหาไม่
พล.อ.ชวลิต กล่าวถึงความวุ่นวายทางการเมืองในรัฐสภาว่า คงไม่เป็นไร ให้ยุ่งในสภาฯ ก็ดีแล้ว ดีกว่าไปยุ่งที่อื่น เป็นเรื่องธรรมดาที่การเมืองต้องมีความขัดแย้งกัน อย่าไปเห็นเป็นเรื่องใหญ่ อย่าไปสนใจในเรื่องที่ไม่ควรแก่การสนใจมากนัก เช่น การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่แม้จะเป็นเรื่องที่สำคัญแต่ไม่ใช่ต้องไปทุ่มเทกันมากมาย จนเอาชีวิต ชาติ หรือประเทศ ไปขึ้นอยู่ตรงน ถ้าอยากจะแก้ไขก็แก้กันไป ก็เท่านั้นเอง หันหน้าเข้ากันก็เสร็จแล้ว และก็มีรัฐธรรมนูญอีกฉบับหนึ่งขึ้นมา แต่อยากถามว่าแล้วประเทศได้อะไร
“ผมเห็นว่าควรเน้นหนักในเรื่องความเป็นอยู่ของประชาชนมากกว่า ซึ่งเท่าที่เห็นรัฐบาลก็พยายามทำอยู่แต่สื่อไม่ได้ให้เนื้อที่ข่าว กลับไปให้เนื้อที่กับเรื่องรัฐธรรมนูญ ทั้ง ม.309 , ม.237 และไม่รู้จะว่ากันไปถึงแค่ไหน ทำให้ประชาชนเกิดความไม่สบายใจ และ สับสน ทั้งที่ความจริงก็ไม่มีอะไร เพราะทั้งนายกรัฐมนตรี รมว.มหาดไทย และ รัฐมนตรีหลายคนก็พยายามทำงานและแก้ไขปัญหากันอยู่ สิ่งที่อยากฝากไว้คือเรื่องรัฐธรรมนูญนั้นสำคัญก็จริง แต่ก็อย่าให้ความสำคัญจนลืมประเทศชาติและประชาชน เท่านั้นเอง”
ผู้สื่อข่าวถามว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เข้าอวยพรวันเกิดตั้งแต่เช้าได้ชี้แจงเรื่องข่าวพาดพิงสถาบันหรือไม่ พล.อ.ชวลิต กล่าวติดตลกว่า “มาหลายคนจำไม่ค่อยได้ เมื่อเช้ามีทั้งนายก ฯอบจ. อบต.นะ”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงเช้าก่อนที่ พล.อ.ชวลิต จะเดินทางมาทำบุญที่วัด ได้มีนักการเมืองที่ใกล้ชิดเข้าอวยพรตั้งแต่ช่วงเช้า โดยมี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางเข้าพบและอวยพรวันเกิด พร้อมได้พูดคุยกันถึงประเด็นสถานการณ์การเมือง และสถานการณ์บ้านเมืองที่หลายฝ่ายพยายามยั่วยุให้เกิดการปฏิวัติ
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่าว่าในงานวันเกิดครั้งนี้ มีการแจกหนังสือ “แนวทางประเทศไทย ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี การต่อสู้เอาชนะภัยความมั่นคงแห่งชาติ สงครามเปิดโปงขบวนการ ล้มปืน ล้มทุน ล้มเจ้า” โดยมี นายไชยยงค์ รัตนวัน บรรณาธิการ เป็นผู้เขียน และ เรียบเรียง
ทั้งนี้ในหนังสือฉบับดังกล่าว พล.อ.ชวลิต ได้กล่าวในคำปรารภ ว่า ประเทศไทย ตั้งแต่ก่อตั้งชาติเมื่อยุคประวัติศาสตร์สมัยกลาง (Middle Age) ในระบบฟิวดัล (Feudalism) นั้นมีรูปของประเทศเป็นแบบราชอาณาจักรตลอดมากว่า 700 ปี ราชอาณาจักรนี้เป็นวัฒนธรรมตะวันออกทางการเมืองการปกครองที่ถูกหล่อหลอม เป็นจิตวิญญาณของชาติตลอดมาล่วงถึงประวัติศาสตร์สมัยใหม่ พระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6 ได้ทรงประยุกต์ก่อตั้งเป็นชาติสมัยใหม่ ซึ่งประกอบไปด้วยองค์คุณเอกภาพ 3 ประการ ที่แยกออกจากกันไม่ได้ ถ้าแยกแล้วจะไม่มีความเป็นชาติ คือ สถาบันชาติ ศาสนา กษัตริย์ สะท้อนอยู่ในธงไตรงค์ 3 สี คือ สีแดง สีขาว สีน้ำเงิน
สถาบันพระมหากษัตริย์ของประเทศไทยนั้น ยิ่งใหญ่ด้วยพระบรมเดชานุภาพ และพระบารมีเหนือสถาบันพระมหากษัตริย์ในหลายประเทศทั้งปวง เพราะหลักสาระสำคัญของสถาบันพระมหากษัติรย์ไทย คือทศพิธราชธรรม ซึ่งสืบทอดมาแต่บรรพกาล โดยประสานอหิงสา ซึ่งเป็นลักษณะพิเศษประจำชาติไทยเข้ากับพุทธอหิงสาธรรมคือ ทศพิธราชธรรม-ธรรมะ 10 ประการของสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งสรุปลงในพระบรมราโชวาท เมื่อเสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”
ซึ่งได้พิสูจน์ให้เห็นเป็นที่ประจักษ์เป็นจริง ด้วยพระราชจริยาวัตร และพระราชกรณียกิจตลอดเวลากว่าค่อนศตวรรษ โดยเฉพาะความประจักษ์เป็นจริง ตามที่ได้เห็นกันอย่างชัดแจ้งในเหตุการณ์เฉพาะหน้า ถึงพระบรมเดชานุภาพและพระมหาบารมีที่สยบ พฤษภาทมิฬ เป็นข้อเท็จจริงยิ่งใหญ่ซึ่งสามารถขจัดความเคลือบแคลงสงสัยที่อาจจะหลงเหลืออยู่บ้างในบุคคลบางจำพวก ถึงความจำเป็นและสำคัยสูงสุดที่ประเทศไทยจะต้องมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขไปตลอดกาล
แม้แต่ในยุคปัจจุบันภายใต้การปกครองของประเทศไทยที่ยังไม่เป็นประชาธิปไตย พสกนิการผู้จงรักภักดีทั้งหลายก็ยังเชิดชูบูชาสถาบันพระมหากษัตริย์ ด้วยความรู้แจ้งในวิวัฒนาการทางประวัติศาสตร์แห่งความสัมพันธ์ระหว่างชนชาติไทย โดยเฉพาะไทยสยามกับสถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อเป็นหลักประกันอันแน่นอน ของมาตรการที่ถูกต้องในการรักษาส่งเสริมความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะแม้ว่าจะเปี่ยมล้นด้วยความจงรักภักดีเพียงใด ถ้าขาดความรู้แจ้ง หรือเจือปนด้วยความงมงายแล้วก็อาจจะนำไปสู่มาตรการที่ผิดพลาด ซึ่งผลทางปฏิบัติแทนที่จะเป็นการรักษาส่งเสริมความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์อาจกลายเป็นบั่นทอนหรือทำลายโดยไม่รู้ตัวไปเสียก็เป็นได้
เวลานี้การเรียกร้องการสร้างประชาธิปไตยกำลังขึ้นสู่กระแสสูง วงการเมืองยอมรับกันอย่างกว้างขวางแล้วว่า ทางออกของชาติ คือการสร้างประชาธิปไตย ที่ไหนก็ได้ยินแต่คำว่า “สร้างประชาธิปไตย” แต่วิธีการสร้างประชาธิปไตยทำอย่างไร ยังเต็มไปด้วยความสับสน วิธีการสร้างประชาธิปไตยในประเทศเอกราชเอชียนั้น แตกต่างกับในประเทศยุโรป ซึ่งประชาชนลุกขึ้นช่วงชิงอำนาจพระมหากษัตริย์มาเป็นของตน
แต่ในประเทศเอเชียนั้น การสร้างประชาธิปไตยเป็นพระราชกรณียกิจของกระมหากษัตริย์ โดยพระมหากษัตริย์ทางมอบอำนาจ ซึ่งเป็นของพระองค์อยู่เดิมให้แก่ประชาชนถ้าพระมหากษัตริย์ทางปฏิบัติพระราชกรณียกิจสำเร็จประชาธิปไตยก็สำเร็จ แต่ถ้าพระมหากษัตริย์ทางปฏิบัติพระราชกรณียกิจไม่สำเร็จไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ ก็ตาม การสร้างประชาธิปไตยก็ล้มเหลว เพราะไม่มีวิธีการอื่นๆ ที่จะสร้างประชาธิปไตยได้ นอกจากวิธีการที่พระมหากษัตริย์ทรงมอบอำนาจให้ประชาชนเท่านั้น
พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ในอดีตได้ใช้หลัก 3 ประการ คือ พรรค แนวร่วม กองกำลังติดอาวุธ เข้าทำแนวร่วมกับนายทุน ทำสงครามกลางเมือง และยกระดับขึ้นสู่สงครามประชาชน เพื่อโค่นล้มกองทัพแห่งชาติ โดยตั้งกองกำลังปลดแอกประชาชนขึ้นเมื่อปี 2512 และเริ่มสงครามในปี 2515 ฝ่ายกองทัพแห่งชาติเป็นฝ่ายตั้งรับมาโดยตลอด เพราะใช้ยุทธศาสตร์ผิด คือใช้ยุทธศาสตร์ เผด็จการเข้าต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ ไม่ใช่ยุทธศาสตร์ประชาธิปไตยที่เป็นยุทธศาสตร์ ชนะตามหลักของยุทธศาสตร์ “เผด็จการแพ้คอมมิวนิสต์ คอมมิวสต์แพ้ประชาธิปไตย”
จนถึง พ.ศ.2523 เกือบจะพ่ายแพ้ กองทัพแห่งชาติจึงได้ปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์คอมมิวนิสต์ ตามนโยบาย 66/23 สถานการณ์จึงพลิกผันกลับจากหน้ามือเป็นหลักมือ จากแพ้แก้เป็นชนะ กองทัพแห่งชาติเป็นฝ่ายชนะสงครามกลางเมืองต่อคอมมิวนิสต์อย่างงดงามด้วยการปฏิบัตินโยบาย 66/23 ขั้นตอนที่ 1 คือ สร้างประชาธิปไตยระดับต่ำเท่านั้น ก็สามารถนำพาประเทศจากสถานการณ์สงครามเข้าสู่สถานการณ์สันติภาพได้สำเร็จ จนสามารถยุบกองกำลังติดอาวุธ หรือกองทัพปลดแอกลงได้อย่างสิ้นเชิง
ได้ทราบว่ามีกลุ่มบุคคลผู้นิยมลัทธิคอมมิวนิสต์ที่ดิ้อรั้นบางกลุ่มหันมาใช้ยุทธวิธแนวร่วมแทนอย่างเต็มที่โดยพยายามใช้วิธีการต่าง ๆ เช่น ชุบตัวในสถาบันวิชาการ เข้าร่วมทำเศรษฐกิจทุนนิยม เข้าร่วมถืออำนาจรัฐยุยงให้ทั้งฝ่ายรัฐ และฝ่ายทุนทำผิดให้มาก ๆ จึงมีการกล่าวกันว่าปัจจุบันมีขบวนการบ่อนทำลายประเทศโดยใช้ระบบเผด็จการรัฐสภาเป็นเครื่องมือดำเนินยุทธวิธีแนวร่วม เพื่อก่อสงครามกลางเมืองเพื่อเปลี่ยนรูปของประเทศจากราชอาณาจักรไปสู่สาธารณรัฐ โดยใช้รัฐธรรมนูญเป็นอาวุธหลัก
ด้วยเหตุ และปัจจัยของความขัดแย้งทางการเมืองอย่างรุนแรงของผู้คนในสังคม ในปัจจุบันความขัดแย้งทางการเมืองอย่างรุนแรงของผู้คนในสังคม ในปัจจุบันเป็นแรงผลักดันให้ตัวกระผม และผู้รักชาติรักประชาธิปไตยไม่อาจทนนิ่งเฉย เพราะเป็นความรับผิดชอบต่อบ้านเมือง เป้นภารกิจแห่งชีวิตที่จะต้องดำเนินการเพื่อยุติปัญหาทั้งมวลลง โดยเฉพาะกับความเห็นที่ผิด ๆ หรือที่เรียกว่า “มิจฉาทิฎฐิ” ที่ก่อตัวขึ้นเป็นขบวนการบ่อนทำลายความมั่นคงของชาติที่เรียกว่า “ขบวนการสาธารณรัฐ” มีความมุ่งหมายและดำเนินการโดยยุทธวิธีแนวร่วมเพื่อ ล้มปืน ล้มทุน ล้มเจ้า
และในฐานะที่กระผมเองได้ผ่านพิธีศักดิ์สิทธิ์ดื่มน้ำพิพัฒน์สัตยา และเป็นหนึ่งของสมาชิกเหรียญรามาธิบดีที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ ได้รับพระราชทานเหรียญ ชั้นมหาโยธิน จึงขอประกาศต่อสู้กับกลุ่มบุคคลทุกกลุ่มที่กระทำการกระทบกระเทือน และเป็นปรปักษ์ต่อสถาบันหลักของชาติ และมีลักษณะรบกวนเบื้องพระยุคลบาทไม่ว่ากรณีใด ๆ ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์แห่งพระบรมราชวงศ์จักรี ซึ่งปวงข้าพระพุทธเจ้าขอเทิดทูนไว้เหนือเกล้าเหนือกระหม่อมจนกว่าชีวิตจะหาไม่