xs
xsm
sm
md
lg

กกต.แจงกรณีทำเอกสารเท็จอ้างปลอมลายเซ็นด้วยหวังดี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

กกต.พาทัวร์ห้องปฏิบัติการฐานข้อมูล ยันระบบความปลอดภัยแน่นหนา ปัดลบชื่อ"ชัยวัฒน์" เป็นสมาชิกทรท.แล้วมาใส่ใหม่ภายหลัง อ้างเหตุปชป.ตรวจไม่พบในชั้นแรก เนื่องจากเพิ่งนำฐานข้อมูลเก่าการเป็นสมาชิกทรท.ใส่ในระบบเมื่อวันที่ 3 มิ.ย. ที่ผ่านมา ด้าน"ณัฐศักดิ์" อ้างลูกน้องปลอมลายเซ็นด้วยความหวังดี ส่วน"ถวิล" เผยยังงงเอกสารหลักฐานราชการโผล่ในมือทนายยงยุทธ แต่ในสำนวน กกต.กลับไม่มี เปิดปมพิรุธเจ้าหน้าที่กกต. ชงเอกสารขอข้อมูลเอื้อประโยชน์ยงยุทธ ด้าน"สุเมธ"ยืนยันยก 700 คำร้อง สามารถอธิบายได้ เผยบางสำนวนไม่มีพยานหลักฐาน ก็ต้องให้ความเป็นธรรมผู้ถูกกล่าวหา

วานนี้( 13 มิ.ย.)นางสดศรี สัตยธรรม กกต. ด้านกิจการพรรคการเมืองได้มอบหมายให้ นายธนิศร์ ศรีประเทศ ผอ.สำนักบริหารการสนับสนุนโดยรัฐ รักษาการผอ.สำนักกิจการพรรคการเมือง นายกฤช เอื้อวงศ์ รองผอ.สำนักกิจการพรรคการเมือง และนางสุนทรี ไพรหิรัญ ผอ.ฝ่ายวิจัยและพัฒนาระบบบริหารฐานข้อมูลพรรคการเมือง นำสื่อมวลชน เข้าชมระบบการทำงานภายในห้องจัดเก็บฐานข้อมูล หลังจากมีข่าวการเปลี่ยนแปลงฐานข้อมูลการเป็นสมาชิกพรรคของ นายชัยวัฒน์ ฉางข้างคำ พยานสำคัญในคดี ใบแดง ของนายยงยุทธ ติยะไพรัช ส.ส.สัดส่วนพรรคพลังประชาชน อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร

ทั้งนี้ห้องปฎิบัติการระบบฐานข้อมูล อยู่ในด้านกิจการพรรคการเมือง บริเวณชั้น 21 ของสำนักงาน กกต. โดยเป็นห้องที่มีการติดตั้งเซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่ การเปิดประตูจะต้องมีรหัสผ่าน และสแกนนิ้วมือ ที่มีการวางระบบใหม่ด้วยงบประมาณ 10 ล้านบาท

นางสุนทรี กล่าวว่า ระบบใหม่นี้พรรคการเมืองจะเป็นผู้ดำเนินการบันทึกข้อมูลสมาชิกพรรคผ่านระบบอินเตอร์เนต เจ้าหน้าที่ กกต.ที่จะเข้าไปเพื่อตรวจสอบข้อมูลมี 2 ระดับ คือ ระดับนายทะเบียนพรรค ประกอบด้วย นางสดศรี ที่ได้รับมอบจากประธาน กกต. ซึ่งนางสดศรี ได้มอบหมายให้นายธนิศร์ และนายกฤช ดำเนินการแทน ขณะที่ระดับเจ้าหน้าที่จะมีตน และเจ้าหน้าที่อีก 2 คน ขณะที่คนอื่นๆ จะตรวจสอบหรือดูได้จากหน้าเว็บไซด์เท่านั้น โดยจะแก้ไขไม่ได้

ชี้แจงข้อสงสัยของ ปชป.

นางสุนทรี ยังตอบโต้นายศิริโชค โสภา กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ ที่กล่าวหาว่า มีการแก้ไขข้อมูลในทะเบียนสมาชิกพรรคด้วยการตัดต่อว่า ไม่เป็นความจริง เพราะชื่อของนายชัยวัฒน์ เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ มาตั้งแต่ปี 47 โดยในเดือน มี.ค 48 พรรคประชาธิปัตย์มีการแจ้งจำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้นในรอบปี ซึ่งกกต.ได้ถ่ายไว้เป็นไมโครฟิลม์ ก็มีชื่อนายชัยวัฒน์ เป็นสมาชิกพรรคฯ อยู่ และล่าสุด จากการแจ้งจำนวนสมาชิกของพรรคปชป. เมื่อวันที่ 11 ต.ค. 50 ก็มี ชื่อนายชัยวัฒน์ เป็นสมาชิกพรรคอยู่เหมือนเดิม โดยผลจากการพัฒนาระบบฐานข้อมูลการเป็นสมาชิกพรรคการเมืองของด้านกิจการพรรคการเมือง การจะบันทึก หรือแก้ไขข้อมูลสมาชิกฯ เข้าสู่ระบบพรรคต้องดำเนินการโดยพรรคการเมืองเอง เจ้าหน้าที่ กกต.จะตรวจสอบความถูกต้องและลงรายมือชื่อกำกับอีกครั้ง หลังจากที่พรรคการเมืองได้รายงานมา โดยดูจากใบสมัคร และซีดี ที่พรรคได้นำส่ง ซึ่งมีนายทะเบียนของพรรคการเมืองนั้นเซ็นต์กำกับรับรองเท่านั้น ไม่สามารถแก้ไข เปลี่ยนแปลงอะไรได้ แม้จะเห็นว่ามี จุดผิดพลาดก็ต้องแจ้งพรรคการเมืองดำเนินการ

ส่วนที่นายศิริโชค ตั้งข้อสังเกตว่า เหตุที่ไม่สามารถค้นข้อมูลการเป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทย ของนายชัยวัฒน์ได้ในตอนแรก เพราะมีการร่วมมือกันของเจ้าหน้าที่กกต. กับ นายยงยุทธ ในการแก้ไขฐานข้อมูลการเป็นสมาชิกพรรคนั้น นางสุนทรี ยืนยันว่า ไม่ได้มีการลบชื่อนายชัยวัฒน์ ที่ถูกระบุเป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทยในตอนแรกแล้วเอากลับมาใส่ใหม่ในภายหลัง แต่ที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่สามารถค้นจากระบบเว็บไซด์ของกกต.ได้ในครั้งแรก เนื่องจาก หลังการยุบพรรคไทยรักไทยเมื่อ พ.ค.50 ทางกกต.ได้มีการปิดปรับปรุงระบบทั้งหมด ระหว่างนี้ก็มีหนังสือถึงพรรคการเมืองที่ดำเนินกิจการอยู่ให้ตรวจสอบความถูกต้องของสมาชิกพรรคตนเอง ประกอบกับกฎหมายพรรคการเมืองใหม่ ก็มีการกำหนดห้ามไม่ให้ประชาชนเป็นสมาชิกพรรคการเมืองเกิน 1 พรรค เมื่อพรรคการเมืองส่งบัญชีรายชื่อสมาชิกพรรคกลับมา กกต.ก็ปรับระบบเสร็จแล้ว จึงได้นำรายชื่อลงในระบบ ซึ่งคนทั่วไปจะสามารถตรวจสอบได้ โดยเริ่มตั้งแต่ พ.ย. 50 แต่ในส่วนของการเป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทยนั้น เมื่อถูกยุบจึงไม่ได้นำใส่เข้าในระบบใหม่ หากใครต้องการตรวจสอบสามารถมายื่นขอตรวจสอบได้ที่กกต.

อย่างไรก็ตาม เมื่อพัฒนาระบบจนมาถึงปลายเดือน พ.ค. 51 ระบบมีความสมบูรณ์มากขึ้น และเห็นว่ามีประชาชนมาขอตรวจสอบจำนวนมาก ว่าตนเองเป็นสมาชิกพรรคย้อนหลังเกิน 5 ปีหรือไม่ จึงเห็นว่า ควรนำข้อมูลการเป็นสมาชิกพรรคจากระบบฐานข้อมูลเดิมมาใส่ไว้ด้วย เพื่อให้สะดวกต่อการตรวจสอบ จึงได้นำใส่ไว้ ในระบบวันที่ 3 มิ.ย. 51 ที่ผ่านมา ทำให้เมื่อพรรคประชาธิปัตย์เข้ามาตรวจสอบในวันที่ 9 มิ.ย. จึงพบชื่อนายชัยวัฒน์ เป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทย ด้วย ซึ่งขอยืนยันว่า กกต.ไม่ได้มีเจตนาจงใจจะให้ตรวจสอบไม่ได้ในตอนแรกอย่างที่กล่าวหา

ด้าน นายกฤช กล่าวว่า ทาง กกต.จะทำหนังสือถึงพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อขอให้ชี้แจงถึงการเป็นสมาชิกพรรคของนายชัยวัฒน์ ทั้งนี้ หากพรรคประชาธิปัตย์ค้านว่านายชัยวัฒน์ ไม่เคยเป็นสมาชิกพรรค ก็ต้องชี้แจง เพราะเรื่องนี้สามารถตรวจสอบได้ เนื่องจากที่ กกต.มีหลักฐานเป็นภาพถ่ายไมโครฟิลม์บัญชีรายชื่อสมาชิกพรรค ที่ทางพรรคแจ้งไว้ตั้งแต่ปี 47 และซีดีรายชื่อสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ที่แจ้งล่าสุดมาเมื่อวันที่ 11 ต.ค. 50

ยอมรับมีการปลอมลายเซ็นต์

พ.ต.อ.ณัฐศักดิ์ นานาวัน ผอ.สำนักสืบสวนและวินิจฉัย 5 กกต. กล่าวยอมรับว่า ลายเซ็นต์ที่ปรากฎในเอกสารขอทราบการเป็นสมาชิกพรรคของนายชัยวัฒน์ ที่มีถึงด้านกิจการพรรคการเมืองไม่ใช่ลายเซ็นต์ของตนเอง แต่ข้อความที่ยื่นต่อศาล เป็นข้อเท็จจริงทั้งหมด เพราะได้มาจากด้านกิจการพรรคการเมือง ดังนั้นถ้าจะผิดพลาดก็มีแค่เรื่องการเซ็นต์เอกสารแทน ที่ทำเพราะความหวังดี อย่างไรก็ตาม เอกสารดังกล่าวถือเป็นเอกสารภายใน ที่ต้องรอการตรวจสอบ ซึ่งขณะนี้กกต.ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว

ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวได้พยายามที่จะสอบถามเพิ่มเติม แต่ปรากฎว่าพ.ต.อ.ณัฐศักดิ์ พยายามที่จะตัดบทโดยอ้างว่า ขอประชุมก่อน อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงที่ กกต.มีมติให้ดำเนินการตรวจสอบเกียวกับเรื่องดังกล่าวจะมี นายปกครอง สุนทรสุทธิ์ ผู้ตรวจฯ เป็นประธานสอบ โดยใช้เวลา 7 วันในการสอบสวน

ส่วนนายถวิล อินทรรักษา ที่ปรึกษาผู้แทนคณะสู้คดีใบแดง นายยงยุทธ กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นจากการที่ นายยงยุทธ ได้นำเรื่องการสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ของนายชัยวัฒน์ ไปเป็นข้อต่อสู้ในศาล ตนก็แปลกใจ เพราะเห็นว่าเป็นเอกสารที่ออกมาจาก กกต.จริง แต่ในสำนวนที่ กกต.ยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาไม่มีเอกสารนี้ รวมถึงเอกสารที่ระบุว่าเคยเป็น สมาชิกพรรคไทยรักไทย จึงได้สอบถาม พ.ต.อ.ณัฐศักดิ์ ว่า ทราบหรือไม่ว่า นายชัยวัฒน์ เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ตามที่นายยงยุทธ กล่าวอ้าง ทำให้ พ.ต.อ.ณัฐศักดิ์ อยากทราบข้อเท็จจริง และทำการติดต่อมาที่เจ้าหน้าที่กกต. ซึ่งตนก็ไม่ทราบว่าชื่ออะไร และสื่อสารกันอย่างไร มาทราบอีกทีตอนเห็นเอกสารที่พ.ต.อ.ณัฐศักดิ์ ระบุกับตนเองว่า ตัวเองไม่ได้เป็นคนเซ็นต์ แต่เนื้อหาในเอกสารเป็นของจริง

"เรื่องนี้ผมมองว่า เป็นการแก้เกม ที่นำประเด็นดังกล่าวมาเป็นข้อต่อสู้ และไม่ทราบว่าเอกสารดังกล่าวไปอยู่ที่ทนายของนายยงยุทธได้อย่างไร ทั้งนี้เจ้าหน้าที่สืบสวนที่ปรากฏเป็นข่าวว่า เป็นผู้เซ็นชื่อแทน พ.ต.อ.ณัฐศักดิ์ ต้องรับผิดชอบในเรื่องดังกล่าวว่า เหตุใดต้องรีบออกหนังสือฉบับนั้น ไม่ว่าจะด้วยความหวังดีอย่างไรก็ไม่น่ารีบขนาดนั้น เพราะทำให้คนมองว่าเป็นการออกโดยมิชอบ ทั้งที่ตามหลักแล้ว ถ้าฝ่ายจำเลยขอมา ก็ต้องให้อยู่แล้ว แต่คิดว่าเรื่องดังกล่าวไม่น่าจะมีผลต่อการพิจารณาคดีใบแดงนายยงยุทธ เพราะศาลน่าจะพิจารณาเรื่องหลักฐานการทุจริตซื้อเสียงมากกว่า" นายถวิล กล่าว

เชื่อมีการทุจริตเป็นขบวนการ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การขอตรวจสอบการเป็นสมาชิกพรรคการเมืองของนายชัยวัฒน์ ฉางข้างคำ ที่มีการระบุว่ามีการปลอมแปลงลายเซ็นต์นั้น หากพิจารณาถึงเอกสารที่ยื่นขอแล้ว น่าเชื่อว่า มีการร่วมมือกันเป็นขบวนการ เพราะเป็นที่สังเกตได้ว่าเอกสารที่สำนักสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย 5 การขอทราบการเป็นสมาชิกพรรค ของนายชัยวัฒน์ ฉบับลงวันที่ 8 พ.ค. ที่ทางเจ้าหน้าที่สืบสวนเป็นผู้ถือหนังสือขึ้นไปเอง เหตุใดจึงมีคำถามที่แตกต่าง จากหนังสือของนายสาคร ศิริชัย ทนายความของนายยงยุทธ ที่ก็อ้างว่ามีหนังสือมายัง กกต.ฉบับลงวันที่ 8 พ.ค.เช่นเดียวกัน แต่เป็นขอทราบเพียงการเป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทย และพรรคพลังประชาชนเท่านั้น ไม่ได้ขอทราบการเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์และพรรคมัชฌิมาธิปไตย ตามที่มีการอ้างขอตรวจสอบในครั้งแรก

ดังนั้นอาจเป็นไปได้ว่าหนังสือของนายสาคร ฉบับลงวันที่ 8 พ.ค. มาถึงภายหลัง จากที่มีการทำเรื่องขึ้นไปขอข้อมูลด้านกิจการพรรคการเมือง และอาจจะหลังจากที่ฝ่ายสืบสวนได้รับคำตอบแล้วว่า นายชัยวัฒน์เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ เพราะเมื่อพิจารณาหนังสือขอข้อมูลของนายสาคร ที่ขอทราบเพียงการเป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทยและพรรคพลังประชาชน แต่ท้ายหนังสือกลับมีการขอคัดถ่ายการเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ด้วย ทั้งที่ไม่ได้มีการขอข้อมูลการเป็นการสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ในหนังสือดังกล่าวเลย

นอกจากนี้เมื่อดูการลงรับหนังสือของนายสาคร แล้วถ้ามาถึงฝ่ายสืบสวนฯ 5 ในวันที่ 8 พ.ค.จริง เหตุใดจึงไม่มีการลงเวลารับหนังสือ และยังปรากฎว่าพ.ท.สดุดี ภวภูตานนท์ ณ มหาสารคาม ซึ่งเป็นรอง ผอ.สืบสวน 5 และปฎิบัติหน้าที่แทน ผอ.สืบสวน 5 กลับลงนามท้ายหนังสือรับทราบว่า มีหนังสือฉบับดังกล่าวมาถึงในวันที่ 12 พ.ค. และแจ้งให้ฝ่ายสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย 10 ที่รับผิดชอบสำนวนใบแดงของนายยงยุทธ ให้ส่งเรื่องให้ด้านกิจการพรรคการเมืองตรวจสอบ โดยด้านสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย 10 ได้ลงรับหนังสือวันที่ 13 พ.ค. เวลา 10.10 น. ซึ่งถ้าการที่เจ้าหน้าที่สืบสวนถือหนังสือไป ขอทราบข้อมูลการเป็นสมาชิกพรรคของ นายชัยวัฒน์ ในวันที่ 8 พ.ค. เป็นการดำเนินการที่ถูกต้อง เหตุใดจึงต้องมีการส่งหนังสือขอตรวจสอบการเป็นสมาชิกของนายชัยวัฒน์ พร้อมแนบหนังสือของนายสาคร ทนายความไปที่ด้านกิจการพรรคการเมืองอีกครั้งหนึ่งในวันที่ 15 พ.ค. และครั้งนี้เป็นการดำเนินการตามขั้นตอนของการส่งหนังสือถูกต้อง ซึ่งสร้างความแปลกให้กับเจ้าหน้าที่ด้านกิจการพรรคการเมือง ว่าเหตุใดจึงต้องสอบถามมาอีกเป็นครั้งที่ 2 และเหตุใดหนังสือสอบถามครั้งนี้ จึงระบุการขอทราบการเป็นการสมาชิกพรรคไทยรักไทย และพรรคพลังประชาชน ของนายชัยวัฒน์ ทั้งที่ครั้งแรกได้ถามถึงการเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ พลังประชาชน และมัชฌิมาธิปไตย

ซึ่งมีข้อน่าสังเกตว่า หนังสือที่ถูกถือขึ้นไปสอบถามด้านกิจการพรรคการเมืองครั้งแรกนั้น พ.ต.ท.กฤษณ์ ณ เชียงใหม่ น่าจะเป็นผู้ร่างหนังสือขึ้นมาเอง โดยที่ยังไม่มีหนังสือสอบถามจากนายสาคร ทนายความ ในมือ และการอ้างในหนังสือว่าการขอตรวจสอบว่าเพื่อนำไปประกอบการดำเนินกระบวนการพิจารณาคดีในศาลฎีกา ทั้งที่ศาลไม่ได้ร้องขอเอกสารดังกล่าว โดยการทำเป็นหนังสือที่เป็นบันทึกข้อความภายใน ก็เพื่อที่จะได้ข้อมูลมาโดยเร็ว และอาจเป็นการเอื้อประโยชน์ต่อฝ่ายของนายยงยุทธ เพราะเอกสารทั้งหมดกลับไปอยู่ในมือทนายความของนายยงยุทธ โดยที่นายถวิล อินทรรักษา เองก็ยังแปลกใจว่าเหตุใด ในสำนวนของกกต.จึงไม่เอกสารเหล่านี้ประกอบอยู่

นอกจากนี้ ตามหลักการตอบหนังสือบุคคลภายนอกนั้น ผู้ที่มีหน้าที่ในการตอบอย่างน้อยต้องเป็นระดับรองเลขาธิการด้านกิจการ หรือเลขาธิการกกต. ยิ่งถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคดีความ ก็ต้องเป็นนายทะเบียนพรรคการเมืองที่ถือว่าเป็นผู้มีอำนาจตามกฎหมาย ที่จะยืนยันได้ว่าใครเป็นสมาชิกพรรคการเมืองใด

ยันการจัดทำข้อมูล กกต.ส่อพิรุธ

ด้าน น.ส.รัศมี เพ็ญสุข ทนายความของ นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่ได้รับความกระจ่างในความไม่ชอบมาพากลเรื่องเอกสารของ กกต. แม้นางสดศรี จะออกมาแก้ข่าวว่าฐานข้อมูล มีความถูกต้องปลอดภัย ไม่สามารถจะแก้ไขข้อมูลโดยพลการได้ อีกทั้งยังปรากฎอีกด้วยว่า นายชัยวัฒน์ เป็นสมาชิกทั้งพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคไทยรักไทยจริง ไม่ใช่เป็นเพียงสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้น แต่ที่ทีมทนายของนายชัยวัฒน์ มีข้อสงสัย คือ การตอบหนังสือของเจ้าหน้าที่ของ กกต. ที่ตอบคำถามทีมทนายของนายยงยุทธนั้น เหตุใดจึงตอบว่าเป็นเพียงสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์เพียงพรรคเดียว รวมทั้งมีข้อสงสัยในกระบวนการออกเอกสารของเจ้าหน้าที่ กกต. เนื่องจากหนังสือถามความเป็นสมาชิกพรรคการเมืองของนายชัยวัฒน์ ที่ทีมทนายนายยงยุทธ ถามมานั้น มีการตอบกลับในวันเดียวกัน ขณะที่เมื่อทีมทนายของนายชัยวัฒน์ สอบถามข้อมูลจากกกต.เพื่อนำไปประกอบคดีในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันแต่จนถึงขนาดนี้ยังไม่มีข้อมูลตอบกลับมา

"การที่ถกเถียงกันว่า นายชัยวัฒน์ เป็นสมาชิกพรรคการเมืองใดหรือไม่ ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ แต่ที่น่าสงสัยคือ กระบวนการจัดทำข้อมูลของ กกต. ว่าส่อพิรุธ หรือเอื้อต่อใครหรือไม่ ซึ่งภายหลังยื่นข้อพิรุธให้ศาลฎีกา ก็คงจะติดตามข้อมูลต่อไปเพราะกรณีนี้ศาลระบุว่าไม่จำเป็นต้องไต่สวนเพิ่มเติมแล้ว แต่ศาลไม่ได้ตัดประเด็นในเรื่องการปลอมเอกสารหรือลายเซ็นต์ซึ่งอาจเข้าข่ายละเมิดศาล รวมถึงศาลไม่ได้ตัดประเด็นเรื่องการกระทำผิดเกี่ยวกับข้อมูลทางอิเล็คทรอนิคส์ ตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ 2550 ออกไป"

แจงเหตุยกคำร้อง 700 สำนวน

นายสุเมธ อุปนิสากร กกต.ด้านการมีส่วนร่วม กล่าวถึงกรณีการยกคำร้องกรณีร้องเรียน 700 คำร้องว่า การดำเนินการทุกสำนวนสามารถอธิบายได้ว่า เหตุใดจึงยกคำร้อง เช่น บางสำนวนก็เป็นการร้องเรียนเรื่องเล็กๆน้อยๆ ไม่ได้ทำให้การเลือกตั้งไม่สุจริต ยุติธรรม เช่น บางทีเรื่องติดป้ายผิด หรือมีการขนคนมาเลือกตั้งนิดหน่อย ซึ่งบางครั้งไม่เข้าองค์ประกอบความผิด แต่ผู้ร้องคิดว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงทำเรื่องร้องเรียนมาและ กกต.มีหน้าที่ต้องรับเรื่องไว้ แต่ผลการสอบสวนอย่างไรก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การร้องเรียนเรื่องการให้เงิน บางสำนวนก็มีแต่ข่าวเฉยๆ แต่ไม่มีพยานยืนยันทำให้ไม่สามารถเอาผิดได้ ก็ต้องยกคำร้องไป

ชี้ กกต.สมคบ ปิดบังข้อมูล

นายศิริโชค โสภา โฆษกครม.เงา กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงข้อมูลให้ นายชัยวัฒน์ เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์นั้น กกต. ชี้แจงไม่ตรงประเด็น เพราะมีความพยายามร่วมมือกันในการปกปิดว่านายชัยวัฒน์ เป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทย

เรื่องนี้ นายสาคร ศิริชัย ทนายความของนายยงยุทธ ได้ทำหนังสือไปยังสำนักสืบสวนสอบสวน และวินิจฉัย 5 ซึ่งในหนังสือได้ถาม 2 คำถาม คือ 1. ถามว่านายชัยวัฒน์ เคยเป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทยหรือไม่ และ 2.ถามว่า นายชัยวัฒน์ เคยเป็นสมาชิกพรรคพลังประชาชนหรือไม่ เมื่อสำนักสืบสวนฯได้รับเอกสารของนายสาครแล้วก็ได้ทำหนังสือไปถึงสำนักกิจการพรรคการเมือง ซึ่งเราสงสัยในคำถามที่ถามไปว่า นายชัยวัฒน์ เป็นสมาชิกพรรคการเมืองใดบ้าง ดังนี้ 1.พรรคประชาธิปัตย์ 2. พรรคพลังประชาชน 3. พรรคมัชฌิมาธิปไตย ซึ่งเราสงสัยว่า ที่นายสาคร ถามว่า นายชัยวัฒน์ เป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทย หายไปไหน และทำไมถึงมีชื่อพรรคมัชฌิมาธิปไตยขึ้นมาด้วยอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

นายศิริโชค กล่าวว่า ทางสำนักสืบสวนฯได้ตอบกลับไปยังนายสาคร เมื่อวันที่ 8 พ.ค.ว่า นายชัยวัฒน์ เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ เพียงพรรคเดียว ทั้งนี้ สำนักสืบสวนฯไม่มีอำนาจ หรือหน้าที่ในการไปยืนยันการเป็นสมาชิกของบุคคลใด จดหมายต้องออกเป็นทางการ จากนายทะเบียน หรือ เลขาธิการ กกต. นี่คือประเด็นที่พรรคประชาธิปัตย์ ชี้ให้เห็นว่า มีความประสงค์ที่จะปิดบังว่า นายชัยวัฒน์ เป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทย และเอกสารที่เป็นบัญชีพยานใน ศาลฎีกา ปรากฎว่า เอกสารที่ถามว่าเป็นสมาชิกพรรคการเมืองใดบ้าง ไม่ได้ถูกนำส่งไปเป็นบัญชีพยาน ซึ่งเป็นการชี้นำให้ศาลเข้าใจว่า การที่ทนายของนายยงยุทธ ถามว่า นายชัยวัฒน์ เคยเป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทยหรือไม่ แล้วกกต. ตอบว่า เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ เป็นการทำให้ศาลคิดว่านายชัยวัฒน์ ไม่เคยเป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทย ประเด็นนี้ที่เราคิดว่า เป็นการสมคบร่วมกันปิดบังข้อมูล

"ตั้งคำถามไปยัง กกต. ถึงการแก้ไขฐานข้อมูลของพรรคการเมือง ตรวจสอบดูจากเอกสารที่ได้จาก กกต.เมื่อวันที่ 8 พ.ค. ก่อนที่จะมีการสืบพยาน ผลการตรวจสอบสถานภาพสมาชิกพรรคการเมือง มีนายชัยวัฒน์ เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์เพียงพรรคเดียว แต่เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. หลังจากมีการสืบพยานเรียบร้อยแล้ว ได้ไปขอเอกสารอีกครั้งหนึ่ง ปรากฎว่า นายชัยวัฒน์ เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ และเป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทยด้วย ผมตั้งคำถามว่า ทำไมก่อนการสืบพยานถึงมีชื่อออกมาเพียงพรรคเดียว แต่หลังสืบพยานแล้ว มีชื่อออกมาเป็น 2 พรรค ดังนั้น จึงคิดว่ากกต.ร่วมมือกันสมคบ ปกปิดว่านายชัยวัฒน์ เป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทย"นายศิริโชค กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น