ผู้จัดการรายวัน- ยุครัฐตำรวจ "หมิ่นเบื้องสูงไร้หมายเรียก-หมิ่นทักษิณออกหมายจับ" "สุนัย"ลั่นเป็นนักกฎหมายยึดมั่นในหลักกฎหมาย พร้อมต่อสู้กับกระบวนการที่ใช้อำนาจรัฐมิชอบ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 เพิกถอนหมายจับ ทนายแฉ รัฐตำรวจกลั่นแกล้ง จ่อจับตัวคาสนามบิน โดยระดับนายพล สั่งร้อยเวรว่า "ถ้ามึงไม่ทำก็ออกไป " เตรียมฟ้องกลับเรียก 2,000 ล้าน ด้านป.ป.ช.ตั้ง"วิชา"ดำเนินการเอาผิดตำรวจปฎิบัติมิชอบ ขณะที่คดี"เจ๊เพ็ญ"หมิ่นเบื้องสูง ตำรวจไม่ออกหมายเรียก ปล่อยตัวไม่ต้องประกัน ก่อนส่งต่อให้"วงกต"เพื่อนแม้วชี้ขาดคดีระดับ ตร.ส่วน คตส.ระบุ หากไม่มาตามหมายเรียก เสนอออกหมายจับแน่
วานนี้(12 มิ.ย.)เวลา 12.00 น.ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ(ป.ป.ท.)ถนนประชาชื่น นายสุนัย มโนมัยอุดม เลขาธิการสำนักงาน ป.ป.ท.เปิดแถลงข่าวกรณีถูกตำรวจ สภ.วังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ออกหมายจับในคดีถูก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แจ้งความหมิ่นประมาท ว่า การที่ตนไม่ไปรายงานตัวตามหมายเรียกของพนักงานสอบสวน เพราะเห็นว่าหมายเรียกนั้นออกโดยมิชอบและไม่มีเหตุที่จะออกหมายจับตนได้ ตนเป็นนักกฎหมายยึดมั่นในหลักกฎหมาย และปฎิบัติตามกฎหมายมาตลอดพยายามต่อสู้กับกระบวนการทั้งหลายที่ใช้อำนาจรัฐที่มิชอบ เพื่อพิสูจน์ว่าการใช้อำนาจรัฐต้องเป็นไปตามกฎหมายและผู้ใช้อำนาจจะใช้อำนาจกลั่นแกล้งบุคคลใดไม่ได้ อีกทั้งศาลในฐานะองค์กรที่เป็นกลางและอิสระ ย่อมอยู่ในฐานะที่จะตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ เพื่อเป็นหลักประกันสิทธิและเสรีภาพของประชาชน
เลขาธิการ ป.ป.ท. กล่าวอีกว่า ดังนั้น การดำเนินการของตนจึงเป็นการชี้แจงให้สาธารณะรับทราบ ถึงหลักกฎหมาย และเพื่อเป็นตัวอย่างแก่ข้าราชการ ที่ปฎิบัติตามกฎหมายได้ปฎิบัติ หน้าที่ด้วยความมั่นใจ ตลอดจนเพื่อให้เจ้าหน้าที่ผู้ใช้อำนาจรัฐทั้งหลายได้ตระหนักและถือปฎิบัติเป็นบรรทัดฐานต่อไปว่า บทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับสิทธิและเสรีภาพของประชาชนจะต้องได้รับการปฎิบัติโดยเคร่งครัดจากผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย อนึ่งปรากฏว่ามีบุคคลบางกลุ่มแสดงความคิดเห็นผ่านสื่อมวลชน ได้แสดงความคิดเห็นในข้อกฎหมายโดยไม่ถูกต้อง จึงขอให้เลิกพฤติการณ์ดังกล่าว การแสดงความคิดเห็นในข้อใดโดยมิได้ศึกษาให้ถ่องแท้หรือมีอคติอาจทำให้สาธารณะชนสับสนและเสียหายแก่ผู้อื่นอันเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ประเทศชาติไม่สงบสุขจนถึงวันนี้
ทนายแฉเล่ห์กลรัฐตำรวจ
นายณฐพร โตประยูร นิติกรชำนาญการ การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย (ทอท.)ช่วยราชการสำนักงาน ป.ป.ท.และทนายความนายสุนัย กล่าวว่า เมื่อวันที่ 7-8 มี.ค.2551 พนักงานสอบสวน ได้โทรประสานให้นายสุนัย เข้ามอบตัวที่ สภ.วังน้อย นายสุนัย จึงได้แต่งตั้งตนและนายวิเชียร รุจิธำรงกุล เป็นทนาย จากนั้นตนไปพบพนักงานสอบสวนพร้อมนำเอกสารไปยืนยันว่า การกระทำไม่เป็นความผิด เมื่อวันที่ 10 มี.ค.2551 แต่พนักงานสอบสวนยังยืนยันจะให้นายสุนัย ไปมอบตัว ต่อมาวันที่ 12 มี.ค.2551 ได้ทำหนังสือชี้แจงข้อกล่าวหาต่อพนักงานสอบสวน ต่อมาวันที่ 22 มี.ค.2551 มีการออกหมายเรียกนายสุนัย ครั้งที่ 1 นายสุนัย จึงได้ทำหนังสือชี้แจงทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ไปเมื่อวันที่ 27 มี.ค.2551 ต่อมาวันที่ 2 เม.ย.2551 พนักงานสอบสวนได้ร้องต่อศาลขอออกหมายจับ ศาลได้พิเคราะห์ว่านายสุนัย ไม่ได้หลบหนีจึงยกคำร้อง จนวันที่ 3 เม.ย.2551 ตำรวจจึงออกหมายเรียกครั้งที่ 2 ต่อมาวันที่ 11 เม.ย.มีการขอศาลออกหมายจับอีก แต่ศาลก็ยกคำร้องอีก กระทั่งเมื่อวันที่ 3 มิ.ย.มีการขอออกหมายจับอีก ศาลจึงออกหมายจับ
ศาลอุทธรณ์เพิกถอนหมายจับ
นายณฐพร กล่าวอีกว่า ต่อมาเมื่อวันที่ 4 มิ.ย.2551 นายสุนัย เดินทางกลับต่างประเทศ พล.อ.ปฐมพงศ์ เกษรศุภ ได้ส่งนายทหารไปรับนายสุนัย ที่สนามบิน ผ่านขั้นตอนของ ตม.เหตุผลที่ต้องไปรับเพราะตำรวจ สภ.วังน้อย ยังไม่มีการส่งหมาย ตม.จึงไม่สามารถกักตัว นายสุนัย ไว้ได้ แต่ตำรวจ สภ.วังน้อย ส่งตำรวจไปดัก นายสุนัย ที่หน้าสนามบิน ต่อมาวันที่ 5 มิ.ย.2551 นายสุนัย ได้ยื่นคำร้องต่อศาลเพิกถอนการออกหมายจับระบุว่าการออกหมายจับไม่ปฎิบัติตาม ป.วิอาญา มาตรา 66(2) ศาลก็ยกคำร้องของนายสุนัย ต่อมา เมื่อวันที่ 9 มิ.ย.2551 นายสุนัย จึงยื่นคำร้องเพิกถอนหมายจับต่อศาลอุทธรณ์ และ วันที่ 12 มิ.ย.51 ศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้อ่านคำพิพากษาของศาลอุทรณ์ภาค 1 ให้เพิกถอนหมายจับว่า การออกหมายจับมิชอบด้วยข้อกฎหมายและผู้ต้องหาไม่ได้หลบหนี ทั้งหมดถือว่านายสุนัย ปฎิบัติตามกฎหมายทุกขั้นตอน
เตรียมฟ้องกลับเรียก2,000ล้าน
ต่อข้อถามว่า ถ้าผลสอบมีความผิดจริงจะฟ้องกลับหรือไม่ นายณฐพร กล่าวว่า คงต้องฟ้อง ถ้าเรียกค่าเสียหายจะให้มูลนิธิทั้งหมด สิ่งนี้จะทำให้เป็นบรรทัดฐานของสังคมว่าพนักงานสอบสวน จะออกหมายจับควรมีหลักฐานครบถ้วน ตามคำสั่งของประธานศาลฎีกาว่าด้วยระเบียบและวิธีการออกคำสั่งและการออกหมายจับ ออกตาม ป.วิอาญา ถือเป็นหลักคุ้มครองประชาชน คดีของนายสุนัย ตำรวจไม่ได้ส่งสำนวนทั้งหมดให้ศาลพิจารณาถือว่าทำโดยมิชอบ ต่อข้อถามว่า ถ้าจะฟ้องจะเรียกค่าเสียหายเท่าไหร่ นายณฐพร กล่าวว่า “เค้าเรียกมา 1,500 ล้าน อาจจะเรียกสัก 2,000 ล้าน”
แฉนายพลสั่งร้อยเวรจับ
"เหตุผลที่ออกหมายจับเพราะตำรวจพยายามกระทำโดยมิชอบในหลายประเด็น เช่น มีนายตำรวจระดับนายพล ไปสั่งร้อยเวรว่า ถ้ามึงไม่ทำก็ออกไป มีการพยายามติดต่อเราให้มอบตัว คดีนี้ตำรวจสามารถดำเนินการสอบสวนเสร็จแล้วส่งสำนวนให้อัยการพิจารณา แต่ตำรวจพยายามจับตัวท่านสุนัยให้ได้ จึงถือว่าพนักงานสอบสวนดำเนินการโดยมิชอบ พร้องส่ง ป.ปช.ก่อน ป.ป.ช.ตั้งอนุกรรมการไต่สวน"
ต่อข้อถามว่า คดีหมิ่นประมาทจะมีขั้นตอนอย่างไร นายณฐพร กล่าวว่า ตำรวจรวบรวมพยานหลักฐานส่งอัยการ พิจารณา ถ้าอัยการสั่งฟ้องก็เข้าสู่กระบวนการศาล ไม่จำเป็นต้องจับตัวนายสุนัย ไปดำเนินคดี เพราะเป็นคดีมโนสาเร่ มีความผิดไม่มาก ลักษณะเดียวกับกรณีของ คตส.ต่อข้อถามว่าจะดำเนินการกับนายพล ที่สั่งให้ออกหมายจับได้อย่างไร นายณฐพร กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับร้อยเวรที่จะให้การกับ ป.ป.ช.เรื่องนี้มีคนสั่งอยู่แล้ว มีนักการเมืองระดับสูงสั่งมาเหมือนกัน ต่อข้อถามว่า โฆษกตำรวจ ภาค 1 แถลงยืนยันว่าไม่ได้ส่งตำรวจไปดักจับนายสุนัย นายณฐพร กล่าวว่า เค้าจะให้ ตม.กักตัวไว้ก่อนให้ตำรวจสายสืบไปรับตัวออกมา แต่คงไม่มีใครกล้ายอมรับ ตนยืนยันว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างนั้นจริง ๆ คดีนี้ถือเป็นคดีแรกของประเทศไทยที่ศาลเพิกถอนหมายจับ
ป.ป.ช.ตั้ง"วิชา"เอาผิดตำรวจ
นายวิชา มหาคุณ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวว่า ในวานนี้ (12 มิ.ย.) ประธาน ป.ป.ช. ลงนามแต่งตั้งให้เป็นคณะอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริง กรณีที่นายสุนัย มโนมัยอุดม อดีตอธิบดีกรมสอบสวน คดีพิเศษ ร้องเรียนเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ด้วยการขอศาลออกหมายจับ ทั้งนี้ จะเชิญนายสุนัย มาให้ข้อมูล กรณีที่ระบุถูกเจ้าหน้าที่รัฐกลั่นแกล้ง พร้อมกับขอคัดคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ที่ให้ถอนหมายจับ นายสุนัย ในคดีหมิ่นประมาท พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นอกจากนี้ การพิจารณาจะใช้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่มาใช้ในการพิจารณาเอาผิดกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และคาดว่าจะสามารถสรุปผลได้ภายในเดือนนี้
หมิ่นเบื้องสูงไม่ออกหมายเรียก
วันเดียวกันที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.)นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เดินทางเข้าพบ พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบช.ก. พล.ต.ต.สมเดช ขาวขำ รอง ผบช.ก.หัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพฯ และ พ.ต.อ.สมยศ พรหมนิ่ม รักษาการผู้บังคับการตำรวจทางหลวง (ผบก.ทล.) รองหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน เพื่อรับทราบข้อกล่าวหา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112
พล.ต.ท.สมยศ กล่าวว่า นายจักรภพ เข้าพบพนักงานสอบสวนด้วยตัวเอง โดยยังไม่ได้ออกหมายเรียกแต่อย่างใด ซึ่งขั้นตอนการดำเนินการนั้นทางพนักงานสอบสวนก็จะแจ้งข้อกล่าวหาให้ทราบพร้อมกับสอบปากคำและอนุญาตให้เดินทางกลับไปได้เนื่องจากยังไม่ได้เป็นผู้ต้องหา อย่างไรก็ดี ในระหว่างนี้พนักงานสอบสวนสามารถเชิญนายจักรภพ มาสอบปากคำได้ตลอดเวลา และนายจักรภพ สามารถนำหลักฐานมามอบเพิ่มเติมได้เช่นกัน
ผบช.ก.กล่าวต่อว่า หลังจากสอบสวนเสร็จก็จะสรุปสำนวนเสนอต่อ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.เพื่อให้สรุปความเห็นทางคดีอีกครั้งหนึ่ง โดยคาดว่าจะใช้เวลาไม่เกิน 2 สัปดาห์ และไม่รู้สึกหนักใจแต่อย่างใดเพราะพนักงานสอบสวนดำเนินการตามพยาน หลักฐานที่ปรากฎเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย และทาง ผบ.ตร.ก็แนะนำให้ทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา
"เจ๊เพ็ญ"ปากแข็งไม่หมิ่น
นายจักรภพ กล่าวว่า ตนสมัครใจเข้าพบพนักงานสอบสวนเพราะมีผู้แจ้งความด้วยข้อหาที่รุนแรง ผลจากเรื่องนี้กลายเป็นประเด็นทางการเมืองจนต้องลาออกตำแหน่งรัฐมนตรี เรื่องนี้เป็นเรื่องร้ายแรงจึงจำเป็นจะต้องพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจมากกว่าประเด็นทางกฎหมาย เป็นเรื่องที่เป็นประเด็นทางสังคมและความรู้สึกนึกคิด กระทบกระเทือนใจประชาชนอย่างมาก เนื่องจากกล่าวอ้างกันถึงสถาบันเบื้องสูง สำหรับตนแล้วถือว่าไม่บังควรจาบจ้วงไม่ว่ากรณีใดๆ ซึ่งตนก็จะพิสูจน์ว่าไม่ได้ทำอะไรผิดในเรื่องนี้ ข้อเขียน การไปบรรยายไม่มีเจตนาหมิ่นเบื้องสูง
“เมื่อเรื่องนี้เป็นเรื่องการเมือง ผมก็อยากให้เป็นกรณีศึกษาว่าเขาเล่นกันยังไง ใช้วิธีอะไร ทำให้การพัฒนาประเทศและประชาธิปไตยหยุดชะงักลง ผมมาเพื่อแสดงตัวมายืนยันความบริสุทธ์ว่าไม่เคยมีเจตนาตามที่ถูกกล่าวหาแต่อย่างใด สรุปกันเร็วไปหน่อยว่าผมผิดตามที่กล่าวหา คำบรรยายที่สมาคมฯ ก่อนเป็นรัฐมนตรี ระหว่างนั้นรัฐไม่รู้ร้อนรู้หนาว คมช.ก็ยังมีอำนาจอยู่ หากเป็นความผิดจริงเหตุใดจึงไม่มีใครทำอะไรในตอนนั้น เรื่องนี้เป็นการนำมาย้อนหลังเพื่อให้เป็นเครื่องมือทางการเมืองในการทำลายรัฐบาลผ่านตัวผมใช่หรือไม่” นายจักรภพ กล่าว
ถามตำรวจหมิ่นตรงไหน
นายจักรภพ กล่าวอีกว่า เรื่องนี้มีมิติทางการเมืองและมิติทางกฎหมายในเวลาเดียวกัน อย่างไรก็ดี ตนได้เตรียมหลักฐานมาโต้แย้งข้อกล่าวหาว่าได้รับเชิญในการปาฐกถาอย่างไร และตนก็จะถามจากพนักงานสอบสวนว่าจะกล่าวหาตนในข้อหาใดบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคำพูดไหนบ้างที่เห็นว่าเป็นการหมิ่นเบื้องสูง
ผู้สื่อข่าวถามว่า คำแปลปาฐกถาของนายจักรภพ นั้นไม่ตรงกับคำแปลของผู้อื่น นายจักรภพ ตอบว่า คำถามนี้ตั้งอยู่บนอคติ เรื่องการแปลเอกสารเป็นสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาศาสตร์รับรองได้ว่าเป็นการแปลที่ถูกต้องไม่ได้บิดเบือนหรือผิดเพี้ยน เรื่องสำคัญที่สุดคือตนซึ่งเป็นผู้พูดนั้นมีเจตนาอะไร ใครจะรู้ดีกว่าตนว่ามีเจตนาอย่างไร ไม่มีใครสามารถเข้าไปอยู่ในหัวใจตนได้ และอธิบายความจากในหัวใจตนได้ว่าคิดอย่างไร ดังนั้นจึงไม่มีความหนักใจอะไรเป็นพิเศษ
นายจักรภพ ยังได้เปิดเผยหลังเข้าให้ปากคำต่อพนักงานสอบสวน ประมาณ 3 ชั่วโมงว่า วันที่ 2 ก.ค.นี้ ตนจะนำหลักฐานมามอบให้กับพนักงานสอบสวนเพิ่มเติม นอกจากนี้ ได้ถามพนักงานสอบสวนว่า ข้อถามที่กล่าวหาว่าตนหมิ่นเบื้องสูงนั้นเป็นข้อความไหน แต่พนักงานสอบสวนก็ไม่ได้บอกรายละเอียดอะไร
แก๊ง นปก.ให้กำลังใจ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างที่นายจักรภพ เดินทางมายังกองบังคับการปราบปราม ได้มีแกนนำ นปก.ประกอบด้วย นพ.เหวง โตจิราการ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ร่วมเดินทางมาด้วย และมีประชาชนกว่า 50 คน นำดอกไม้มามอบให้กับนายจักรภพ เพื่อให้กำลังใจ พร้อมกับตะโกนว่า “จักรภพ สู้ๆ” อย่างไรก็ดี ในระหว่างนั้นประชาชนที่มาให้กำลังใจกับนายจักรภพได้เกิดมีปากเสียงกันเองแต่ก็มีผู้เข้าห้ามปรามและแยกทั้งสองฝ่ายออกจากกันไว้ได้ ส่วนนายจักรภพซึ่งสวมชุดสีดำมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส และกล่าวทักทาย ขอบคุณประชาชนที่เดินทางมาให้กำลังใจ ก่อนฝ่าวงล้อมผู้สื่อข่าวเข้าพบพนักงานสอบสวน
อย่างไรก็ตาม ระหว่างที่ผู้สื่อจข่าวทำข่าว ได้มีชายวัยกลางคนรายหนึ่งซึ่งติดบัตรเข้าออกทำเนียบรัฐบาล ได้นำกล้องถ่ายรูปมาถ่ายบรรดานักข่าว โดยผู้สื่อข่าวสาวของเอเอสทีวีถูกถ่ายมากเป็นพิเศษ เจ้าหน้าที่จึงนำมาสอบสวน โดยรับสารภาพว่ามาจากชมรถวิทยุแท็กซี่ และไม่ได้เป็นนักข่าว แต่มาให้กำลังใจนายจักรภพ จากนั้นก็ได้เดินหายไป นอกจากนั้นเป็นที่น่าสังเกตว่า การเดินทางมาของนายจักรภพได้มีเจ้าหน้าที่ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และตำรวจสันติบาลมาคอยดูแลความปลอดภัย และขับรถให้กับนายจักรภพ ทั้งๆ ที่นายจักรภพได้ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีแล้ว
ตร.มอบ"วงกต"ชี้ขาดคดี
พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รอง ผบช.ก.ในฐานะรองโฆษก ตร.กล่าวถึงการดำเนินคดีนายจักรภพ ว่าขั้นตอนในระดับ ตร. คณะกรรมการพิจารณาของกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.)จะต้องส่งเรื่องมาให้กับคณะกรรมการในระดับ ตร.ซึ่งมี พล.ต.อ.วงกต มณีริณทร์ รอง ผบ.ตร.ฝ่ายกฎหมายและสอบสวนเป็นประธานดูหลักฐานพยานที่รวบรวมมาได้กรั่นกรองว่ามีความเห็นอย่างไร
ผู้สื่อข่าวถามว่า ขั้นตอนการพิจารณาคดีจะต้องใช้ระยะเวลานานหรือไม่ รองโฆษก ตร.กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญและละเอียดอ่อนที่จะต้องพิจารณาจึงไม่สามารถระบุได้ว่าจะใช้เวลาเท่าไร แต่คงใช้เวลาไม่นานเป็นไปตามขั้นตอนความเหมาะสม
พล.ต.ต.สุรพล ยังกล่าวถึงกรณีที่นายจักรภพ เข้ารายงานตัวต่อพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามว่า พนักงานสอบสวนจะต้องสอบปากคำและรวบรวมเป็นหลักฐานเพื่อเข้าคณะกรรมการพิจารณาในระดับ บช.ก.พิจารณาลงความเห็นก่อนเพื่อเสนอคณะกรรมการระดับ ตร.พิจารณาความผิดอีกครั้ง
ขู่คตส.เมินหมายเรียกเสนอจับแน่
พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง ยังเปิดเผยถึงการออกหมายเรียกคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ หรือ คตส.ในข้อหาหมิ่นประมาท และกลั่นแกล้งให้ผู้อื่นได้รับโทษทางอาญาว่า ตำรวจต้องดำเนินการตามขั้นตอนการสอบสวนเป็นอำนาจของพนักงานสอบสวนในการออกหมายเรียกผู้ถูกกล่าวหามาพบเพื่อนำไปสู่กระบวนการยุติธรรมที่เปิดโอกาสให้แสดงความบริสุทธิ์โดยการมาให้ปากคำพนักงานสอบสวน อย่างไรก็ตาม การออกหมายเรียกพนักงานสอบสวนต้องอาศัยอำนาจตามกฎหมายอาญาโดยต้องเห็นว่ามีหลักฐานอันสมควรว่าผู้ถูกกล่าวหากระทำความผิด
ผู้สื่อข่าวถามว่า หาก คตส.ไม่เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนตามหมายเรียกถือว่ามีความผิดหรือไม่ พล.ต.ต.สุรพล กล่าวว่า กรณีที่มีหมายเรียกหากไม่มาตามกฎหมายให้สันนิษฐานว่าผู้นั้นขัดขืน ก็อาจนำไปสู่การออกหมายจับขึ้นอยู่กับสถานการณ์เป็นดุลพินิจของศาลที่จะพิจารณาจากข้อมูลที่พนักงานสอบสวนเสนอไป แม้ว่าระเบียบจะไม่ได้กำหนดว่าจะต้องออกหมายเรียกกี่ครั้ง แต่ปกติจะออกหมายเรียก 2-3 ครั้งหากไม่มีการติดต่อมาเลย หรือปฏิเสธ ก็เป็นหน้าที่พนักงานสอบสวนนำข้อมูลเสนอศาล ก็ขึ้นกับดุลพินิจของศาลว่าเจตนาขัดขืนและสมควรออกหมายจับหรือไม่
ผู้สื่อข่าวถามว่า สิ้นเดือนนี้ คตส.หมดวาระการทำงานสามรถดำเนินคดีต่อได้หรือไม่ รอง โฆษก ตร.กล่าวว่า เรื่องนี้ถือเป็นความผิดส่วนตัวแม้ คตส.จะหมดวาระการทำงานก็สามารถดำเนินคดีได้แต่หหากมีการตกลงพูดคุยกับผู้เสียหายได้คดีก็จบ
วานนี้(12 มิ.ย.)เวลา 12.00 น.ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ(ป.ป.ท.)ถนนประชาชื่น นายสุนัย มโนมัยอุดม เลขาธิการสำนักงาน ป.ป.ท.เปิดแถลงข่าวกรณีถูกตำรวจ สภ.วังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ออกหมายจับในคดีถูก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แจ้งความหมิ่นประมาท ว่า การที่ตนไม่ไปรายงานตัวตามหมายเรียกของพนักงานสอบสวน เพราะเห็นว่าหมายเรียกนั้นออกโดยมิชอบและไม่มีเหตุที่จะออกหมายจับตนได้ ตนเป็นนักกฎหมายยึดมั่นในหลักกฎหมาย และปฎิบัติตามกฎหมายมาตลอดพยายามต่อสู้กับกระบวนการทั้งหลายที่ใช้อำนาจรัฐที่มิชอบ เพื่อพิสูจน์ว่าการใช้อำนาจรัฐต้องเป็นไปตามกฎหมายและผู้ใช้อำนาจจะใช้อำนาจกลั่นแกล้งบุคคลใดไม่ได้ อีกทั้งศาลในฐานะองค์กรที่เป็นกลางและอิสระ ย่อมอยู่ในฐานะที่จะตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ เพื่อเป็นหลักประกันสิทธิและเสรีภาพของประชาชน
เลขาธิการ ป.ป.ท. กล่าวอีกว่า ดังนั้น การดำเนินการของตนจึงเป็นการชี้แจงให้สาธารณะรับทราบ ถึงหลักกฎหมาย และเพื่อเป็นตัวอย่างแก่ข้าราชการ ที่ปฎิบัติตามกฎหมายได้ปฎิบัติ หน้าที่ด้วยความมั่นใจ ตลอดจนเพื่อให้เจ้าหน้าที่ผู้ใช้อำนาจรัฐทั้งหลายได้ตระหนักและถือปฎิบัติเป็นบรรทัดฐานต่อไปว่า บทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับสิทธิและเสรีภาพของประชาชนจะต้องได้รับการปฎิบัติโดยเคร่งครัดจากผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย อนึ่งปรากฏว่ามีบุคคลบางกลุ่มแสดงความคิดเห็นผ่านสื่อมวลชน ได้แสดงความคิดเห็นในข้อกฎหมายโดยไม่ถูกต้อง จึงขอให้เลิกพฤติการณ์ดังกล่าว การแสดงความคิดเห็นในข้อใดโดยมิได้ศึกษาให้ถ่องแท้หรือมีอคติอาจทำให้สาธารณะชนสับสนและเสียหายแก่ผู้อื่นอันเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ประเทศชาติไม่สงบสุขจนถึงวันนี้
ทนายแฉเล่ห์กลรัฐตำรวจ
นายณฐพร โตประยูร นิติกรชำนาญการ การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย (ทอท.)ช่วยราชการสำนักงาน ป.ป.ท.และทนายความนายสุนัย กล่าวว่า เมื่อวันที่ 7-8 มี.ค.2551 พนักงานสอบสวน ได้โทรประสานให้นายสุนัย เข้ามอบตัวที่ สภ.วังน้อย นายสุนัย จึงได้แต่งตั้งตนและนายวิเชียร รุจิธำรงกุล เป็นทนาย จากนั้นตนไปพบพนักงานสอบสวนพร้อมนำเอกสารไปยืนยันว่า การกระทำไม่เป็นความผิด เมื่อวันที่ 10 มี.ค.2551 แต่พนักงานสอบสวนยังยืนยันจะให้นายสุนัย ไปมอบตัว ต่อมาวันที่ 12 มี.ค.2551 ได้ทำหนังสือชี้แจงข้อกล่าวหาต่อพนักงานสอบสวน ต่อมาวันที่ 22 มี.ค.2551 มีการออกหมายเรียกนายสุนัย ครั้งที่ 1 นายสุนัย จึงได้ทำหนังสือชี้แจงทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ไปเมื่อวันที่ 27 มี.ค.2551 ต่อมาวันที่ 2 เม.ย.2551 พนักงานสอบสวนได้ร้องต่อศาลขอออกหมายจับ ศาลได้พิเคราะห์ว่านายสุนัย ไม่ได้หลบหนีจึงยกคำร้อง จนวันที่ 3 เม.ย.2551 ตำรวจจึงออกหมายเรียกครั้งที่ 2 ต่อมาวันที่ 11 เม.ย.มีการขอศาลออกหมายจับอีก แต่ศาลก็ยกคำร้องอีก กระทั่งเมื่อวันที่ 3 มิ.ย.มีการขอออกหมายจับอีก ศาลจึงออกหมายจับ
ศาลอุทธรณ์เพิกถอนหมายจับ
นายณฐพร กล่าวอีกว่า ต่อมาเมื่อวันที่ 4 มิ.ย.2551 นายสุนัย เดินทางกลับต่างประเทศ พล.อ.ปฐมพงศ์ เกษรศุภ ได้ส่งนายทหารไปรับนายสุนัย ที่สนามบิน ผ่านขั้นตอนของ ตม.เหตุผลที่ต้องไปรับเพราะตำรวจ สภ.วังน้อย ยังไม่มีการส่งหมาย ตม.จึงไม่สามารถกักตัว นายสุนัย ไว้ได้ แต่ตำรวจ สภ.วังน้อย ส่งตำรวจไปดัก นายสุนัย ที่หน้าสนามบิน ต่อมาวันที่ 5 มิ.ย.2551 นายสุนัย ได้ยื่นคำร้องต่อศาลเพิกถอนการออกหมายจับระบุว่าการออกหมายจับไม่ปฎิบัติตาม ป.วิอาญา มาตรา 66(2) ศาลก็ยกคำร้องของนายสุนัย ต่อมา เมื่อวันที่ 9 มิ.ย.2551 นายสุนัย จึงยื่นคำร้องเพิกถอนหมายจับต่อศาลอุทธรณ์ และ วันที่ 12 มิ.ย.51 ศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้อ่านคำพิพากษาของศาลอุทรณ์ภาค 1 ให้เพิกถอนหมายจับว่า การออกหมายจับมิชอบด้วยข้อกฎหมายและผู้ต้องหาไม่ได้หลบหนี ทั้งหมดถือว่านายสุนัย ปฎิบัติตามกฎหมายทุกขั้นตอน
เตรียมฟ้องกลับเรียก2,000ล้าน
ต่อข้อถามว่า ถ้าผลสอบมีความผิดจริงจะฟ้องกลับหรือไม่ นายณฐพร กล่าวว่า คงต้องฟ้อง ถ้าเรียกค่าเสียหายจะให้มูลนิธิทั้งหมด สิ่งนี้จะทำให้เป็นบรรทัดฐานของสังคมว่าพนักงานสอบสวน จะออกหมายจับควรมีหลักฐานครบถ้วน ตามคำสั่งของประธานศาลฎีกาว่าด้วยระเบียบและวิธีการออกคำสั่งและการออกหมายจับ ออกตาม ป.วิอาญา ถือเป็นหลักคุ้มครองประชาชน คดีของนายสุนัย ตำรวจไม่ได้ส่งสำนวนทั้งหมดให้ศาลพิจารณาถือว่าทำโดยมิชอบ ต่อข้อถามว่า ถ้าจะฟ้องจะเรียกค่าเสียหายเท่าไหร่ นายณฐพร กล่าวว่า “เค้าเรียกมา 1,500 ล้าน อาจจะเรียกสัก 2,000 ล้าน”
แฉนายพลสั่งร้อยเวรจับ
"เหตุผลที่ออกหมายจับเพราะตำรวจพยายามกระทำโดยมิชอบในหลายประเด็น เช่น มีนายตำรวจระดับนายพล ไปสั่งร้อยเวรว่า ถ้ามึงไม่ทำก็ออกไป มีการพยายามติดต่อเราให้มอบตัว คดีนี้ตำรวจสามารถดำเนินการสอบสวนเสร็จแล้วส่งสำนวนให้อัยการพิจารณา แต่ตำรวจพยายามจับตัวท่านสุนัยให้ได้ จึงถือว่าพนักงานสอบสวนดำเนินการโดยมิชอบ พร้องส่ง ป.ปช.ก่อน ป.ป.ช.ตั้งอนุกรรมการไต่สวน"
ต่อข้อถามว่า คดีหมิ่นประมาทจะมีขั้นตอนอย่างไร นายณฐพร กล่าวว่า ตำรวจรวบรวมพยานหลักฐานส่งอัยการ พิจารณา ถ้าอัยการสั่งฟ้องก็เข้าสู่กระบวนการศาล ไม่จำเป็นต้องจับตัวนายสุนัย ไปดำเนินคดี เพราะเป็นคดีมโนสาเร่ มีความผิดไม่มาก ลักษณะเดียวกับกรณีของ คตส.ต่อข้อถามว่าจะดำเนินการกับนายพล ที่สั่งให้ออกหมายจับได้อย่างไร นายณฐพร กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับร้อยเวรที่จะให้การกับ ป.ป.ช.เรื่องนี้มีคนสั่งอยู่แล้ว มีนักการเมืองระดับสูงสั่งมาเหมือนกัน ต่อข้อถามว่า โฆษกตำรวจ ภาค 1 แถลงยืนยันว่าไม่ได้ส่งตำรวจไปดักจับนายสุนัย นายณฐพร กล่าวว่า เค้าจะให้ ตม.กักตัวไว้ก่อนให้ตำรวจสายสืบไปรับตัวออกมา แต่คงไม่มีใครกล้ายอมรับ ตนยืนยันว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างนั้นจริง ๆ คดีนี้ถือเป็นคดีแรกของประเทศไทยที่ศาลเพิกถอนหมายจับ
ป.ป.ช.ตั้ง"วิชา"เอาผิดตำรวจ
นายวิชา มหาคุณ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวว่า ในวานนี้ (12 มิ.ย.) ประธาน ป.ป.ช. ลงนามแต่งตั้งให้เป็นคณะอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริง กรณีที่นายสุนัย มโนมัยอุดม อดีตอธิบดีกรมสอบสวน คดีพิเศษ ร้องเรียนเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ด้วยการขอศาลออกหมายจับ ทั้งนี้ จะเชิญนายสุนัย มาให้ข้อมูล กรณีที่ระบุถูกเจ้าหน้าที่รัฐกลั่นแกล้ง พร้อมกับขอคัดคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ที่ให้ถอนหมายจับ นายสุนัย ในคดีหมิ่นประมาท พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นอกจากนี้ การพิจารณาจะใช้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่มาใช้ในการพิจารณาเอาผิดกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และคาดว่าจะสามารถสรุปผลได้ภายในเดือนนี้
หมิ่นเบื้องสูงไม่ออกหมายเรียก
วันเดียวกันที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.)นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เดินทางเข้าพบ พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบช.ก. พล.ต.ต.สมเดช ขาวขำ รอง ผบช.ก.หัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพฯ และ พ.ต.อ.สมยศ พรหมนิ่ม รักษาการผู้บังคับการตำรวจทางหลวง (ผบก.ทล.) รองหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน เพื่อรับทราบข้อกล่าวหา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112
พล.ต.ท.สมยศ กล่าวว่า นายจักรภพ เข้าพบพนักงานสอบสวนด้วยตัวเอง โดยยังไม่ได้ออกหมายเรียกแต่อย่างใด ซึ่งขั้นตอนการดำเนินการนั้นทางพนักงานสอบสวนก็จะแจ้งข้อกล่าวหาให้ทราบพร้อมกับสอบปากคำและอนุญาตให้เดินทางกลับไปได้เนื่องจากยังไม่ได้เป็นผู้ต้องหา อย่างไรก็ดี ในระหว่างนี้พนักงานสอบสวนสามารถเชิญนายจักรภพ มาสอบปากคำได้ตลอดเวลา และนายจักรภพ สามารถนำหลักฐานมามอบเพิ่มเติมได้เช่นกัน
ผบช.ก.กล่าวต่อว่า หลังจากสอบสวนเสร็จก็จะสรุปสำนวนเสนอต่อ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.เพื่อให้สรุปความเห็นทางคดีอีกครั้งหนึ่ง โดยคาดว่าจะใช้เวลาไม่เกิน 2 สัปดาห์ และไม่รู้สึกหนักใจแต่อย่างใดเพราะพนักงานสอบสวนดำเนินการตามพยาน หลักฐานที่ปรากฎเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย และทาง ผบ.ตร.ก็แนะนำให้ทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา
"เจ๊เพ็ญ"ปากแข็งไม่หมิ่น
นายจักรภพ กล่าวว่า ตนสมัครใจเข้าพบพนักงานสอบสวนเพราะมีผู้แจ้งความด้วยข้อหาที่รุนแรง ผลจากเรื่องนี้กลายเป็นประเด็นทางการเมืองจนต้องลาออกตำแหน่งรัฐมนตรี เรื่องนี้เป็นเรื่องร้ายแรงจึงจำเป็นจะต้องพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจมากกว่าประเด็นทางกฎหมาย เป็นเรื่องที่เป็นประเด็นทางสังคมและความรู้สึกนึกคิด กระทบกระเทือนใจประชาชนอย่างมาก เนื่องจากกล่าวอ้างกันถึงสถาบันเบื้องสูง สำหรับตนแล้วถือว่าไม่บังควรจาบจ้วงไม่ว่ากรณีใดๆ ซึ่งตนก็จะพิสูจน์ว่าไม่ได้ทำอะไรผิดในเรื่องนี้ ข้อเขียน การไปบรรยายไม่มีเจตนาหมิ่นเบื้องสูง
“เมื่อเรื่องนี้เป็นเรื่องการเมือง ผมก็อยากให้เป็นกรณีศึกษาว่าเขาเล่นกันยังไง ใช้วิธีอะไร ทำให้การพัฒนาประเทศและประชาธิปไตยหยุดชะงักลง ผมมาเพื่อแสดงตัวมายืนยันความบริสุทธ์ว่าไม่เคยมีเจตนาตามที่ถูกกล่าวหาแต่อย่างใด สรุปกันเร็วไปหน่อยว่าผมผิดตามที่กล่าวหา คำบรรยายที่สมาคมฯ ก่อนเป็นรัฐมนตรี ระหว่างนั้นรัฐไม่รู้ร้อนรู้หนาว คมช.ก็ยังมีอำนาจอยู่ หากเป็นความผิดจริงเหตุใดจึงไม่มีใครทำอะไรในตอนนั้น เรื่องนี้เป็นการนำมาย้อนหลังเพื่อให้เป็นเครื่องมือทางการเมืองในการทำลายรัฐบาลผ่านตัวผมใช่หรือไม่” นายจักรภพ กล่าว
ถามตำรวจหมิ่นตรงไหน
นายจักรภพ กล่าวอีกว่า เรื่องนี้มีมิติทางการเมืองและมิติทางกฎหมายในเวลาเดียวกัน อย่างไรก็ดี ตนได้เตรียมหลักฐานมาโต้แย้งข้อกล่าวหาว่าได้รับเชิญในการปาฐกถาอย่างไร และตนก็จะถามจากพนักงานสอบสวนว่าจะกล่าวหาตนในข้อหาใดบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคำพูดไหนบ้างที่เห็นว่าเป็นการหมิ่นเบื้องสูง
ผู้สื่อข่าวถามว่า คำแปลปาฐกถาของนายจักรภพ นั้นไม่ตรงกับคำแปลของผู้อื่น นายจักรภพ ตอบว่า คำถามนี้ตั้งอยู่บนอคติ เรื่องการแปลเอกสารเป็นสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาศาสตร์รับรองได้ว่าเป็นการแปลที่ถูกต้องไม่ได้บิดเบือนหรือผิดเพี้ยน เรื่องสำคัญที่สุดคือตนซึ่งเป็นผู้พูดนั้นมีเจตนาอะไร ใครจะรู้ดีกว่าตนว่ามีเจตนาอย่างไร ไม่มีใครสามารถเข้าไปอยู่ในหัวใจตนได้ และอธิบายความจากในหัวใจตนได้ว่าคิดอย่างไร ดังนั้นจึงไม่มีความหนักใจอะไรเป็นพิเศษ
นายจักรภพ ยังได้เปิดเผยหลังเข้าให้ปากคำต่อพนักงานสอบสวน ประมาณ 3 ชั่วโมงว่า วันที่ 2 ก.ค.นี้ ตนจะนำหลักฐานมามอบให้กับพนักงานสอบสวนเพิ่มเติม นอกจากนี้ ได้ถามพนักงานสอบสวนว่า ข้อถามที่กล่าวหาว่าตนหมิ่นเบื้องสูงนั้นเป็นข้อความไหน แต่พนักงานสอบสวนก็ไม่ได้บอกรายละเอียดอะไร
แก๊ง นปก.ให้กำลังใจ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างที่นายจักรภพ เดินทางมายังกองบังคับการปราบปราม ได้มีแกนนำ นปก.ประกอบด้วย นพ.เหวง โตจิราการ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ร่วมเดินทางมาด้วย และมีประชาชนกว่า 50 คน นำดอกไม้มามอบให้กับนายจักรภพ เพื่อให้กำลังใจ พร้อมกับตะโกนว่า “จักรภพ สู้ๆ” อย่างไรก็ดี ในระหว่างนั้นประชาชนที่มาให้กำลังใจกับนายจักรภพได้เกิดมีปากเสียงกันเองแต่ก็มีผู้เข้าห้ามปรามและแยกทั้งสองฝ่ายออกจากกันไว้ได้ ส่วนนายจักรภพซึ่งสวมชุดสีดำมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส และกล่าวทักทาย ขอบคุณประชาชนที่เดินทางมาให้กำลังใจ ก่อนฝ่าวงล้อมผู้สื่อข่าวเข้าพบพนักงานสอบสวน
อย่างไรก็ตาม ระหว่างที่ผู้สื่อจข่าวทำข่าว ได้มีชายวัยกลางคนรายหนึ่งซึ่งติดบัตรเข้าออกทำเนียบรัฐบาล ได้นำกล้องถ่ายรูปมาถ่ายบรรดานักข่าว โดยผู้สื่อข่าวสาวของเอเอสทีวีถูกถ่ายมากเป็นพิเศษ เจ้าหน้าที่จึงนำมาสอบสวน โดยรับสารภาพว่ามาจากชมรถวิทยุแท็กซี่ และไม่ได้เป็นนักข่าว แต่มาให้กำลังใจนายจักรภพ จากนั้นก็ได้เดินหายไป นอกจากนั้นเป็นที่น่าสังเกตว่า การเดินทางมาของนายจักรภพได้มีเจ้าหน้าที่ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และตำรวจสันติบาลมาคอยดูแลความปลอดภัย และขับรถให้กับนายจักรภพ ทั้งๆ ที่นายจักรภพได้ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีแล้ว
ตร.มอบ"วงกต"ชี้ขาดคดี
พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รอง ผบช.ก.ในฐานะรองโฆษก ตร.กล่าวถึงการดำเนินคดีนายจักรภพ ว่าขั้นตอนในระดับ ตร. คณะกรรมการพิจารณาของกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.)จะต้องส่งเรื่องมาให้กับคณะกรรมการในระดับ ตร.ซึ่งมี พล.ต.อ.วงกต มณีริณทร์ รอง ผบ.ตร.ฝ่ายกฎหมายและสอบสวนเป็นประธานดูหลักฐานพยานที่รวบรวมมาได้กรั่นกรองว่ามีความเห็นอย่างไร
ผู้สื่อข่าวถามว่า ขั้นตอนการพิจารณาคดีจะต้องใช้ระยะเวลานานหรือไม่ รองโฆษก ตร.กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญและละเอียดอ่อนที่จะต้องพิจารณาจึงไม่สามารถระบุได้ว่าจะใช้เวลาเท่าไร แต่คงใช้เวลาไม่นานเป็นไปตามขั้นตอนความเหมาะสม
พล.ต.ต.สุรพล ยังกล่าวถึงกรณีที่นายจักรภพ เข้ารายงานตัวต่อพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามว่า พนักงานสอบสวนจะต้องสอบปากคำและรวบรวมเป็นหลักฐานเพื่อเข้าคณะกรรมการพิจารณาในระดับ บช.ก.พิจารณาลงความเห็นก่อนเพื่อเสนอคณะกรรมการระดับ ตร.พิจารณาความผิดอีกครั้ง
ขู่คตส.เมินหมายเรียกเสนอจับแน่
พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง ยังเปิดเผยถึงการออกหมายเรียกคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ หรือ คตส.ในข้อหาหมิ่นประมาท และกลั่นแกล้งให้ผู้อื่นได้รับโทษทางอาญาว่า ตำรวจต้องดำเนินการตามขั้นตอนการสอบสวนเป็นอำนาจของพนักงานสอบสวนในการออกหมายเรียกผู้ถูกกล่าวหามาพบเพื่อนำไปสู่กระบวนการยุติธรรมที่เปิดโอกาสให้แสดงความบริสุทธิ์โดยการมาให้ปากคำพนักงานสอบสวน อย่างไรก็ตาม การออกหมายเรียกพนักงานสอบสวนต้องอาศัยอำนาจตามกฎหมายอาญาโดยต้องเห็นว่ามีหลักฐานอันสมควรว่าผู้ถูกกล่าวหากระทำความผิด
ผู้สื่อข่าวถามว่า หาก คตส.ไม่เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนตามหมายเรียกถือว่ามีความผิดหรือไม่ พล.ต.ต.สุรพล กล่าวว่า กรณีที่มีหมายเรียกหากไม่มาตามกฎหมายให้สันนิษฐานว่าผู้นั้นขัดขืน ก็อาจนำไปสู่การออกหมายจับขึ้นอยู่กับสถานการณ์เป็นดุลพินิจของศาลที่จะพิจารณาจากข้อมูลที่พนักงานสอบสวนเสนอไป แม้ว่าระเบียบจะไม่ได้กำหนดว่าจะต้องออกหมายเรียกกี่ครั้ง แต่ปกติจะออกหมายเรียก 2-3 ครั้งหากไม่มีการติดต่อมาเลย หรือปฏิเสธ ก็เป็นหน้าที่พนักงานสอบสวนนำข้อมูลเสนอศาล ก็ขึ้นกับดุลพินิจของศาลว่าเจตนาขัดขืนและสมควรออกหมายจับหรือไม่
ผู้สื่อข่าวถามว่า สิ้นเดือนนี้ คตส.หมดวาระการทำงานสามรถดำเนินคดีต่อได้หรือไม่ รอง โฆษก ตร.กล่าวว่า เรื่องนี้ถือเป็นความผิดส่วนตัวแม้ คตส.จะหมดวาระการทำงานก็สามารถดำเนินคดีได้แต่หหากมีการตกลงพูดคุยกับผู้เสียหายได้คดีก็จบ