ปรากฏการณ์ที่ต้องเผชิญในช่วงปัจจุบันคือ การเกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลก (ฟองสบู่แตก เศรษฐกิจโลกกำลังถดถอยครั้งใหญ่ และเกิดเงินเฟ้อแบบทั่วโลกอย่างรุนแรง อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน) และที่สำคัญ วิกฤตเศรษฐกิจกำลังก่อให้เกิดวิกฤตการเมืองทั้งในระดับประเทศและระดับโลกในเวลาเดียวกัน
ในระดับโลก คือ สงครามทางเศรษฐกิจระหว่างศูนย์อำนาจของโลก (เก่า และใหม่) ซึ่งจะนำมาสู่การรื้อทิ้งโครงสร้างอำนาจในระบบใหม่หมด
ในระดับประเทศ วิกฤตการณ์ครั้งนี้นำสู่ปรากฏการณ์ที่เรียกตามทฤษฎี Chaos ว่าคือ จุดเริ่มแห่งการพลิกผันทางการเมืองครั้งใหญ่
รัฐบาลประเทศต่างๆ ทั่วโลกที่เคยทำหน้าที่นำ หรือมีฐานะนำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาชนชั้นนำเก่าๆ จะไม่สามารถดำรงฐานะนำที่มั่นคงได้อีกต่อไป
เกิดวิกฤตการเมืองในระดับประเทศขึ้นทั่วโลก ในทุกประเทศ อย่างเช่น ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์ทั่วโลก
ถ้าเราตามข่าวโลก ในช่วงที่ผ่านมา ได้เกิดวิกฤตการเมืองที่รุนแรงในระดับประเทศ หลายจุดของโลกในเวลาใกล้เคียงกัน
ตัวอย่างเช่น การลุกขึ้นสู้ของประชาชนและพระสงฆ์ที่ประเทศพม่า การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งประวัติศาสตร์ที่ประเทศเนปาลและภูฎาน การล้มรัฐบาลที่ประเทศเฮติ วิกฤตการเมืองรุนแรงที่ประเทศปากีสถาน การเดินขบวนภาคประชาชนเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ที่ประเทศอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ รวมทั้งวิกฤตการเมือง หรือวิกฤตทักษิโณมิกส์ที่กำลังก่อเกิดขึ้นที่ประเทศไทย
แม้แต่ประเทศที่เคยมีความมั่นคงทางการเมืองอย่างมาก เช่น มาเลเซีย และจีน ก็กำลังเกิดความปั่นป่วนทางการเมืองครั้งใหญ่ เช่นกัน
วิกฤตการเมืองเหล่านี้กำลังจะกลายเป็นคลื่นวิกฤตการเมืองลูกยาวที่ไม่สามารถแก้ได้ง่ายๆ
ผมขอย้ำว่า ทั้งยาวและหนัก และจะเคลื่อนตัวประสานกับการแพร่ระบาดของวิกฤตเงินเฟ้อ และวิกฤตข้าวยากหมากแพง รวมทั้งวิกฤตสิ่งแวดล้อมใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นเป็นช่วงๆ
มองในแง่นี้ กงล้อแห่งประวัติศาสตร์ ทั้งระดับโลกและระดับประเทศกำลังเคลื่อนตัวไปพร้อมกันอย่างพลิกผันไปทั่วโลก จนนำสู่การเปลี่ยนผ่านครั้งประวัติศาสตร์โลก
ถ้าเราไม่มองวิกฤตและความปั่นป่วนในแง่ลบ ว่าเป็นความชั่วร้ายและเป็นสิ่งที่น่ากลัว และมาเข้าใจใหม่ว่า วิกฤตทางสังคมก็คือ สภาวธรรม (ทางสังคม) ที่จะต้องเกิดก่อขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ (ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ก็ตาม)
ถ้าเราเข้าใจเช่นนี้ เราจะค้นพบ “ค่า” แห่งวิกฤตครั้งนี้ว่า เพราะถึงที่สุดแล้ว วิกฤตครั้งนี้จะก่อให้เกิดพลังใหม่ (การคิดค้นใหม่ และการจัดตั้งใหม่) พลังใหม่ที่จะก้าวขึ้นมาสร้างประวัติศาสตร์โลก และสังคมใหม่
วันนี้ ประชาชนไทยได้ลุกขึ้นสู้เพื่อสร้างประวัติศาสตร์โลกใหม่
วันก่อนเจอเพื่อนๆ หลายคนไปร่วมชุมนุม มีเพื่อนรุ่นน้องถามผมว่า
“ผมตามอ่านงานเขียนของพี่มาตลอด ขอถามพี่ การสู้กับทักษิโณมิกส์ ที่แท้คือการสกัดไม่ให้ทุนครอบโลกแพร่อำนาจเข้ามาครอบครองประเทศไทยใช่ไหม”
ผมตอบว่า “ใช่ ”
ผมขยายความว่า
สมัยก่อนพอเรารู้ว่าต่างประเทศจะมาลงทุน เราจะคิดว่าเป็นเรื่องดีเสมอเพราะคนเหล่านี้ขนเงินมาลงทุนทำการผลิตจริง แต่ทุกวันนี้ กำไรจริงของพวกอภิมหาเศรษฐีระดับโลกไม่ใช่อยู่ที่การผลิตจริงอีกต่อไป
กำไรของพวกเขาอยู่ที่การปั่นราคาน้ำมัน ราคาทอง ราคาทรัพยากร และปั่นราคาพืชผล
กล่าวอีกแบบหนึ่งคือ พวกอภิมหาเศรษฐีระดับโลกไม่ได้คิดเพียงแค่เรื่องการลงทุน แต่คิดครอบครองประเทศไทยทั้งประเทศ ใช้ไทยเป็นแหล่งหากินกับการปั่นฟองสบู่ ปั่นกำไร ปั่นราคาพืชผล
ทักษิโณมิกส์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยคือ ทุนโลกาภิวัตน์ปลายแถว ที่มีชีวิตอยู่กับการปั่นเศรษฐกิจไทย ปั่นกำไรตลาดหุ้น ปั่นอสังหาริมทรัพย์ ชอบเปิดบ่อน และหากำไรจากธุรกิจนอกระบบ
เพื่อนคนนี้ถามต่อว่า
“ทำไมกลุ่มพันธมิตรฯ จึงประกอบด้วยองค์ประกอบของกลุ่มบุคคลที่หลากหลายเหลือเกิน มีทั้งไฮโซ คนชั้นกลางและคนจน มีทั้งซ้ายเก่าจำนวนหนึ่ง มีขวามากๆ มีทั้งพระ ทั้งกลุ่มคนที่ชอบความรุนแรง กลุ่มคนที่รักสันติ รวมทั้งกลุ่มคนที่รักและเทิดทูนสถาบันกษัตริย์มากๆ”
ผมตอบว่า
“นี่แหละ คือ ภาพย่อของความเป็นประชาชนไทย แต่พวกเขามีจุดร่วมกันนะ...จุดร่วมที่ผลักให้คนเหล่านี้มาร่วมกันได้ เนื่องจากพวกเขาล้วนห่วงใยและรักแผ่นดิน...
ช่วงเวลานี้ ความรักชาติ และห่วงใยประเทศชาติ มีความสำคัญมากอย่างยิ่ง
ที่สำคัญ ชนชาติทุกชาติมีศูนย์กลางร่วมอยู่ ชาติไทยเรามีศูนย์รวมตั้งแต่อดีตอยู่ที่ สถาบันกษัตริย์ไทย และสถาบันศาสนา สถาบันทั้งสองนี้จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ร่วมที่สามารถช่วยผนึกหัวใจคนไทยทั้งชาติให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้”
ผมกล่าวแบบสรุปว่า
การสู้กับ Superclass ที่ปล้นโลก และสู้กับทักษิโณมิกส์ที่ปล้นประเทศ เราต้องรวมใจคนไทยให้เป็นหนึ่งเดียวกันให้ได้ก่อน
เพื่อนรุ่นน้องอีกคนหนึ่งถามผมว่า
“พี่ครับ จะจบลงด้วยรัฐประหารอีกหรือไม่”
ผมตอบว่า
“หลังจากเหตุการณ์ 19 กันยา คนไทยตระหนักรู้แล้วว่า การทำรัฐประหารไม่ใช่คำตอบ
ถ้ารัฐประหารเกิดขึ้นอีก ผู้คนก็จะลุกขึ้นมาต้านรัฐประหารอีก ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก...เพราะคนไทยปัจจุบัน ตื่นตัวและเข้าใจการเมืองไทยมากขึ้นแล้ว จนไม่มีใครเชื่อว่า ผู้นำทางทหาร หรืออำมาตยาธิปไตยจะสามารถให้คำตอบ หรือแก้ไขปัญหาบ้านเมืองได้”
เพื่อนกล่าวต่อว่า
“ผมเห็นด้วยกับอาจารย์ แต่จะขอนอกเรื่องนิดหนึ่ง วันก่อนผมอ่านงานเรื่อง เต๋าแห่งสังคมศาสตร์ ของอาจารย์จบแล้ว อยากจะถามว่า นอกจากปรัชญาเต๋าแล้ว เราสามารถนำหลักปรัชญาพุทธมาใช้อธิบายปรากฏการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองในยุคปัจจุบันได้อย่างไร”
นี่เป็นคำถามที่ไม่ง่ายเลย เพราะเป็นคำถามเชิงบังคับ อย่างแรกบังคับในแง่ที่ต้องใช้ปรัชญาพุทธ และในเวลาเดียวกัน ต้องสามารถเชื่อมเฉพาะกับการอธิบายวิกฤตการเมืองในช่วงปัจจุบันด้วย
ผมตอบเพื่อนว่า
“ขอเวลาคิดสักนิด แล้วผมจะเขียนเป็นบทความให้สักชิ้นหนึ่ง”
ผลงานชิ้นนี้ จึงเป็นความพยายามที่จะวิเคราะห์วิกฤตการเมืองไทยแบบไทยๆ และนำเอาปรัชญาพุทธมาช่วยวิเคราะห์การเมืองไทย (ยังมีต่อ)
ในระดับโลก คือ สงครามทางเศรษฐกิจระหว่างศูนย์อำนาจของโลก (เก่า และใหม่) ซึ่งจะนำมาสู่การรื้อทิ้งโครงสร้างอำนาจในระบบใหม่หมด
ในระดับประเทศ วิกฤตการณ์ครั้งนี้นำสู่ปรากฏการณ์ที่เรียกตามทฤษฎี Chaos ว่าคือ จุดเริ่มแห่งการพลิกผันทางการเมืองครั้งใหญ่
รัฐบาลประเทศต่างๆ ทั่วโลกที่เคยทำหน้าที่นำ หรือมีฐานะนำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาชนชั้นนำเก่าๆ จะไม่สามารถดำรงฐานะนำที่มั่นคงได้อีกต่อไป
เกิดวิกฤตการเมืองในระดับประเทศขึ้นทั่วโลก ในทุกประเทศ อย่างเช่น ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์ทั่วโลก
ถ้าเราตามข่าวโลก ในช่วงที่ผ่านมา ได้เกิดวิกฤตการเมืองที่รุนแรงในระดับประเทศ หลายจุดของโลกในเวลาใกล้เคียงกัน
ตัวอย่างเช่น การลุกขึ้นสู้ของประชาชนและพระสงฆ์ที่ประเทศพม่า การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งประวัติศาสตร์ที่ประเทศเนปาลและภูฎาน การล้มรัฐบาลที่ประเทศเฮติ วิกฤตการเมืองรุนแรงที่ประเทศปากีสถาน การเดินขบวนภาคประชาชนเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ที่ประเทศอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ รวมทั้งวิกฤตการเมือง หรือวิกฤตทักษิโณมิกส์ที่กำลังก่อเกิดขึ้นที่ประเทศไทย
แม้แต่ประเทศที่เคยมีความมั่นคงทางการเมืองอย่างมาก เช่น มาเลเซีย และจีน ก็กำลังเกิดความปั่นป่วนทางการเมืองครั้งใหญ่ เช่นกัน
วิกฤตการเมืองเหล่านี้กำลังจะกลายเป็นคลื่นวิกฤตการเมืองลูกยาวที่ไม่สามารถแก้ได้ง่ายๆ
ผมขอย้ำว่า ทั้งยาวและหนัก และจะเคลื่อนตัวประสานกับการแพร่ระบาดของวิกฤตเงินเฟ้อ และวิกฤตข้าวยากหมากแพง รวมทั้งวิกฤตสิ่งแวดล้อมใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นเป็นช่วงๆ
มองในแง่นี้ กงล้อแห่งประวัติศาสตร์ ทั้งระดับโลกและระดับประเทศกำลังเคลื่อนตัวไปพร้อมกันอย่างพลิกผันไปทั่วโลก จนนำสู่การเปลี่ยนผ่านครั้งประวัติศาสตร์โลก
ถ้าเราไม่มองวิกฤตและความปั่นป่วนในแง่ลบ ว่าเป็นความชั่วร้ายและเป็นสิ่งที่น่ากลัว และมาเข้าใจใหม่ว่า วิกฤตทางสังคมก็คือ สภาวธรรม (ทางสังคม) ที่จะต้องเกิดก่อขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ (ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ก็ตาม)
ถ้าเราเข้าใจเช่นนี้ เราจะค้นพบ “ค่า” แห่งวิกฤตครั้งนี้ว่า เพราะถึงที่สุดแล้ว วิกฤตครั้งนี้จะก่อให้เกิดพลังใหม่ (การคิดค้นใหม่ และการจัดตั้งใหม่) พลังใหม่ที่จะก้าวขึ้นมาสร้างประวัติศาสตร์โลก และสังคมใหม่
วันนี้ ประชาชนไทยได้ลุกขึ้นสู้เพื่อสร้างประวัติศาสตร์โลกใหม่
วันก่อนเจอเพื่อนๆ หลายคนไปร่วมชุมนุม มีเพื่อนรุ่นน้องถามผมว่า
“ผมตามอ่านงานเขียนของพี่มาตลอด ขอถามพี่ การสู้กับทักษิโณมิกส์ ที่แท้คือการสกัดไม่ให้ทุนครอบโลกแพร่อำนาจเข้ามาครอบครองประเทศไทยใช่ไหม”
ผมตอบว่า “ใช่ ”
ผมขยายความว่า
สมัยก่อนพอเรารู้ว่าต่างประเทศจะมาลงทุน เราจะคิดว่าเป็นเรื่องดีเสมอเพราะคนเหล่านี้ขนเงินมาลงทุนทำการผลิตจริง แต่ทุกวันนี้ กำไรจริงของพวกอภิมหาเศรษฐีระดับโลกไม่ใช่อยู่ที่การผลิตจริงอีกต่อไป
กำไรของพวกเขาอยู่ที่การปั่นราคาน้ำมัน ราคาทอง ราคาทรัพยากร และปั่นราคาพืชผล
กล่าวอีกแบบหนึ่งคือ พวกอภิมหาเศรษฐีระดับโลกไม่ได้คิดเพียงแค่เรื่องการลงทุน แต่คิดครอบครองประเทศไทยทั้งประเทศ ใช้ไทยเป็นแหล่งหากินกับการปั่นฟองสบู่ ปั่นกำไร ปั่นราคาพืชผล
ทักษิโณมิกส์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยคือ ทุนโลกาภิวัตน์ปลายแถว ที่มีชีวิตอยู่กับการปั่นเศรษฐกิจไทย ปั่นกำไรตลาดหุ้น ปั่นอสังหาริมทรัพย์ ชอบเปิดบ่อน และหากำไรจากธุรกิจนอกระบบ
เพื่อนคนนี้ถามต่อว่า
“ทำไมกลุ่มพันธมิตรฯ จึงประกอบด้วยองค์ประกอบของกลุ่มบุคคลที่หลากหลายเหลือเกิน มีทั้งไฮโซ คนชั้นกลางและคนจน มีทั้งซ้ายเก่าจำนวนหนึ่ง มีขวามากๆ มีทั้งพระ ทั้งกลุ่มคนที่ชอบความรุนแรง กลุ่มคนที่รักสันติ รวมทั้งกลุ่มคนที่รักและเทิดทูนสถาบันกษัตริย์มากๆ”
ผมตอบว่า
“นี่แหละ คือ ภาพย่อของความเป็นประชาชนไทย แต่พวกเขามีจุดร่วมกันนะ...จุดร่วมที่ผลักให้คนเหล่านี้มาร่วมกันได้ เนื่องจากพวกเขาล้วนห่วงใยและรักแผ่นดิน...
ช่วงเวลานี้ ความรักชาติ และห่วงใยประเทศชาติ มีความสำคัญมากอย่างยิ่ง
ที่สำคัญ ชนชาติทุกชาติมีศูนย์กลางร่วมอยู่ ชาติไทยเรามีศูนย์รวมตั้งแต่อดีตอยู่ที่ สถาบันกษัตริย์ไทย และสถาบันศาสนา สถาบันทั้งสองนี้จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ร่วมที่สามารถช่วยผนึกหัวใจคนไทยทั้งชาติให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้”
ผมกล่าวแบบสรุปว่า
การสู้กับ Superclass ที่ปล้นโลก และสู้กับทักษิโณมิกส์ที่ปล้นประเทศ เราต้องรวมใจคนไทยให้เป็นหนึ่งเดียวกันให้ได้ก่อน
เพื่อนรุ่นน้องอีกคนหนึ่งถามผมว่า
“พี่ครับ จะจบลงด้วยรัฐประหารอีกหรือไม่”
ผมตอบว่า
“หลังจากเหตุการณ์ 19 กันยา คนไทยตระหนักรู้แล้วว่า การทำรัฐประหารไม่ใช่คำตอบ
ถ้ารัฐประหารเกิดขึ้นอีก ผู้คนก็จะลุกขึ้นมาต้านรัฐประหารอีก ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก...เพราะคนไทยปัจจุบัน ตื่นตัวและเข้าใจการเมืองไทยมากขึ้นแล้ว จนไม่มีใครเชื่อว่า ผู้นำทางทหาร หรืออำมาตยาธิปไตยจะสามารถให้คำตอบ หรือแก้ไขปัญหาบ้านเมืองได้”
เพื่อนกล่าวต่อว่า
“ผมเห็นด้วยกับอาจารย์ แต่จะขอนอกเรื่องนิดหนึ่ง วันก่อนผมอ่านงานเรื่อง เต๋าแห่งสังคมศาสตร์ ของอาจารย์จบแล้ว อยากจะถามว่า นอกจากปรัชญาเต๋าแล้ว เราสามารถนำหลักปรัชญาพุทธมาใช้อธิบายปรากฏการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองในยุคปัจจุบันได้อย่างไร”
นี่เป็นคำถามที่ไม่ง่ายเลย เพราะเป็นคำถามเชิงบังคับ อย่างแรกบังคับในแง่ที่ต้องใช้ปรัชญาพุทธ และในเวลาเดียวกัน ต้องสามารถเชื่อมเฉพาะกับการอธิบายวิกฤตการเมืองในช่วงปัจจุบันด้วย
ผมตอบเพื่อนว่า
“ขอเวลาคิดสักนิด แล้วผมจะเขียนเป็นบทความให้สักชิ้นหนึ่ง”
ผลงานชิ้นนี้ จึงเป็นความพยายามที่จะวิเคราะห์วิกฤตการเมืองไทยแบบไทยๆ และนำเอาปรัชญาพุทธมาช่วยวิเคราะห์การเมืองไทย (ยังมีต่อ)