“ยามเฝ้าแผ่นดิน” แฉขบวนการล้มระบอบปกครองประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แพร่ทั่วเว็บไซต์กลุ่มหนุน “แม้ว” กรณีไม่ยืนเคารพเพลงสรรเสริญฯ แค่หนึ่งตัวอย่าง จี้ “หมัก”สวมวิญญาณ “เลือดสีน้ำเงิน” ใช้อำนาจนายกฯ – รมว.กลาโหม ตัดสินใจหยุดความสูญเสีย ก่อนสายเกินแก้ พร้อมชี้เบาะแส “นายใหญ่-นายหญิง”จ้องปลดนายกฯ นอมินี
รายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ออกอากาศทาง เอเอสทีวี คืนวันที่ 22 เมษายน นายคำนูณ สิทธิสมาน สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.)ระบบสรรหา และนางจินดารัตน์ เจริญชัยชนะ ร่วมดำเนินรายการ โดยในช่วงแรกได้กล่าวถึงการเดินทางมารับทราบข้อกล่าวหาในความผิด ฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ต่อพนักงานสอบสวน สน.ปทุมวัน ของนายโชติศักดิ์ อ่อนสูง 1 ในแกนนำเครือข่าย 19 กันยา ต้านรัฐประหาร ว่า เป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่สอดคล้องกับการตั้งข้อสังเกตถึงการเสนอข่าวเนปาลของ เอ็นบีทีเมื่อวันก่อน
กรณีดังกล่าวนายโชติศักดิ์ไม่ยอมยืนตรงทำความเคารพ ขณะมีการเปิดเพลงสรรเสริญพระบารมีในโรงภาพยนตร์ ทำให้ถูกแจ้งความดำเนินคดีฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งระหว่างไปรับทราบข้อกล่าวหานายโชติศักดิ์ได้แจกแถลงการณ์ 2 ฉบับ เป็นประเด็นที่ล่อแหลมมาก โดยนายโชตศักดิ์ได้อ้างถึงสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง ซึ่งนายคำนูณกล่าวว่า สิทธิเสรีภาพในการคิดต่างนั้นมีได้ แต่การอยู่ร่วมกันในสังคมนั้นต้องมีกติกากันตามสมควร
กรณีของนายโชติศักดิ์ ไม่ปรากฏเป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ทั่วไป คงจะระมัดระวังกันพอสมควร อย่างไรก็ตาม ข่าวดังกล่าวนี้ถูกเผยแพร่เว็บไซต์ของกลุ่มเครือข่ายแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) เป็นที่ฮือฮาตั้งแต่ปี 2550 มีการโพสต์ข้อความลงในกระทู้ในเว็บไซต์หลายแห่งหนึ่งโดยเฉพาะในกลุ่มเครือข่ายของผู้สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
นายโชติศักดิ์นั้นมีชีวิตและอุดมการณ์ที่ตรงกับ นปก.ขณะเดียวกันยังให้สัมภาษณ์เปิดใจกับเว็บไซต์หนังสือพิมพ์ออนไลน์ประชาไท เมื่อวันที่ 21 เมษายน ที่ผ่านมา มีการโพสต์ข้อความท้ายบทสัมภาษณ์ที่ดูจะหมิ่นแหม่ต่อการกระทำผิดกฎหมายค่อนข้างสูง
แนวคิดอันตรายแพร่ทั่วโลกไซเบอร์
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวว่า หากย้อนไปวันเกิดเหตุเมื่อวันที่ 20 กันยายนปีที่แล้ว นายโชติศักดิ์ สวมใส่เสื้อสีแดง เป็นสีที่กลุ่ม นปก.และเครือข่ายแนวร่วมใช้ในการรณรงค์ต่อต้านรัฐประหาร เป็นรูปธรรมที่จับต้องได้ของกระแสอุดมการณ์ใหม่ในระบอบประชาธิปไตย คือ เมื่อเราพูดถึงประชาธิปไตย ต้องเน้นย้ำถึงระบอบประชาธิปไตยอันทรงมีพระมหากษัตริย์เป็นพระประมุข เป็นลักษณะพิเศษเฉพาะของไทย แต่ในระยะ 1 – 2 ปี มีกระแสการเคลื่อนไหวของนักวิชาการ และกลุ่มคนใกล้ชิดพรรคไทยรักไทย แนวร่วม นปก.เสนอระบอบประชาธิปไตยเฉยๆ หรือประชาธิปไตยของปวงมหาประชาชน พร้อมด้วยการสอดแทรกบทความตัวอย่างรูปแบบของระบอบดังกล่าวสู่สาธารณชน โดยเห็นว่าสถาบันองคมนตรีไม่มีความจำเป็น มีคณะรัฐมนตรี (ครม.)ก็เพียงพอแล้ว
นอกจากนี้รูปธรรมกระแสอุดมการณ์ใหม่ยังปรากฏอยู่ในข้อเขียน และการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในเว็บบอร์ดและเว็บไซต์ที่มีความคิดเห็นในแนวทางเดียวกัน มีความหมิ่นแหม่หลายต่อหลายครั้ง ขณะเดียวกันยังเปิดพื้นที่ในเว็บบอร์ดเพื่อแสดงความคิดเห็น มีรหัสเรียกขานชวนให้คิดให้เข้าใจว่า จงใจหมายถึงสถานบันที่เคารพสูงสุด สิ่งเหล่านี้มันซึมเข้าไปในหมู่เยาวชนคนรุ่นใหม่จำนวนหนึ่ง อายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับนายโชติศักดิ์ มาเคลื่อนไหวอยู่ในโลกไซเบอร์ พร้อมแสดงพลังสนับสนุนนายโชติศักดิ์ หลังโดนคดี
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวต่อว่า การเมืองไทย นับตั้งแต่ 2544 มีการก่อรูปแนวร่วมอุดมการณ์ใหม่ที่ยึดถือประชาธิปไตยเฉยๆ มีความเหิมเกริมลอย่างมากในปี 2549 ต่อเนื่องถึงปี 2550 พุ่งเป้าไปที่ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ นอกจกลุ่มคนพิราบขาว 2006 สวมใส่เสื้อแดง สกรีนข้อความไว้ด้านหลัง อ้างตนเป็นลูกหลานพระเจ้าตาก จะมากู้ชาติ โดยคนกลุ่มนี้อยู่ในกลุ่มคนที่มาประท้วงขับไล่ คมช.พยายามยกยอปอปั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เปรียบเทียบชื่อภาษาอังกฤษให้อ่านคล้ายตากสินอย่างจงใจ
นอกจากนี้ยังมีการเคลื่อนไหวผ่านเว็บบล็อกที่ตั้งชื่อแสดงอุการณ์ไว้ชัดเจน ขึ้นต้นว่า กีโยติน (เครื่องมือสังหารในอดีตของประเทศฝรั่งเศส) เผยแพร่ข่าวในเชิงเสกสรรปั้นแต่ง คนไทยอ่านแล้วเกิดความรู้สึกสะเทือนใจ อีกทั้งยังเผยแพร่เรื่องราวที่เรียกว่าเป็น พงศาวดารฉบับบกระซิบ เพราะไม่ปรากฏความเป็นจริง นอกจากนี้ยังเปิดให้ดาวโหลดหนังสือต้องห้ามอย่างจงใจ การเผยแพร่าเหล่านี้ดำเนินการโดยกลุ่มคนที่ทึกทักว่าเป็นลูกหลานพระเจ้าตาก บางคนใช้นามแฝงพระยาพิชัยแสดงความคิดเห็นโลดแล่นอยู่ในเว็บไซต์สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ เรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วงมาก รัฐบาลจะมองและดำเนินการอย่างไร ต้องตรวจสอบข้อมูล สิ่งต่างๆ เหล่านี้นายกรัฐมนตรีต้องตอบสังคมให้ได้
เบาะแส “นายใหญ่”จ้องปลด “หมัก”
ผู้ดำเนินรายการกล่าวว่า เป็นที่รู้กันดีว่านายสมัคร สุนทรเวชนั้นถูกเลือกมาเป็นนายกรัฐมนตรีเพราะเป็นคนที่จงรักภักดี แต่ขณะเดียวกันก็ปฏิปักษ์ต่อ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ อย่างไรก็ตาม หากจะเป็นปฏิปักษ์ในนามส่วนตัวกับพล.อ.เปรมก็เป็นไป แต่จะเป็นปฏิปักษ์ต่อความเป็นประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษไม่ได้ เพราะตำแหน่งเหล่านี้ไม่ใช่แต่งตั้งหรือยกย่องกันเอาเองแต่เป็นตำแหน่งที่ได้มาจากการโปรดเกล้าฯ
นายคำนูณ กล่าวว่า คนที่ต้องการจะเอานายกสมัครลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นคนที่ให้นายสมัครขึ้นมาเป็นนายกฯ นั่นเอง ทั้งนี้ มีข้อสังเกตจากกรณีที่เมื่อหลายวันก่อนหน้านี้นายสมัครเคยเกรี้ยวกราดใส่หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งที่เขียนว่าคนใกล้ชิดนายสมัครมีพฤติกรรมทุจริต ซึ่งนายสมัครได้บอกให้เอาหลักฐานไปให้ภายใน 3 วัน แต่ขณะนี้ก็เลย 3 วันมาแล้ว ก็ไม่ทราบว่าหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นเป็นใคร
อย่างไรก็ตาม ถ้าดูการเขียนคอลัมน์ในหนังสือพิมพ์ “บางกอกทูเดย์” ช่วงหลังก็จะเห็นบทความที่เขียนในเชิงลบกับนายสมัครมากขึ้น เช่น บทความที่ช่อ “เขย่าเก้าอี้สมัครจากเงาที่มองไม่เห็น” มีการใช้คำว่า “รักยมคูหูดูโอ้ จอมไถสะท้านเมืองไทย” ในการกล่าวโจมตี ส่งผลลบต่อนายสมัคร ทั้งนี้เป็นที่ทราบกันดีกว่านายสมัครขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีโดยเอาคนใกล้ชิดเข้าไปทำงานด้วยเพียง 2 คน โดยคนหนึ่งเป็นรองนายกฯ อีกคนหนึ่งเป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
ขณะที่ “บางกอกทูเดย์” เขียนโจมตีหนักว่ามีการรีดไถ และเมื่อ 2 วันก่อหน้านี้ มีข้อเขียนเรื่อง “ราหูอมหมัก” โดยบอกว่าให้ระวังบริวารเป็นพิษเพราะ “รักยม” ถึงจะไปบูชาราหูที่ไหนก็ไม่ประสบความสำเร็จ และคาดว่าจะมีบทความออกมาลักษณะนี้ออกมาเรื่อยๆ
นายคำนูณ กล่าวต่อว่า ที่จริงแล้ว เป็นที่ทราบกันดีว่า “บางกอกทูเดย์” นั้น มีผู้ใหญ่ที่ดูแลอยู่คือนายเผด็จ ภูริปฏิภาณ หรือ “พญาไม้” ซึ่งเวลานี้ทราบกันดีว่าเป็นคนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ให้ความเชื่อถือมากที่สุดคนหนึ่ง จึงไม่ทราบว่าข้อเขียนต่างๆ นั้น เขียนไปโดยรู้เอง หรือว่ามีสัญญาณอะไร ที่ใครส่งมาให้บ้างหรือไม่
“จริงๆ แล้ว เวลาคุณสมัครแถลงข่าว ไม่ต้องเกรี้ยวหกราดกับสื่อฉบับอื่นหรอก แต่น่าจะเรียกผู้ใหญ่ในฉบับนั้นมาถามดูว่า ที่เขียนอย่างนั้นหมายความว่าอย่างไร”นายคำนูณ กล่าว
นอกจากนี้ การที่หนังสือพิมพ์ฉบับดังกล่าวโจมตีนายสมัคร ยังสอดคล้องกับข่าวที่ว่า “นายใหญ่” และ “นายหญิง” ไม่ค่อยพอใจเท่าใดนัก โดยเฉพาะ “นายหญิง”ไม่พอใจกับสิ่งที่นายสมัครทำขณะอยู่ในตำแหน่งนี้ แม้ว่านายสมัครจะเอาคนของตัวเองเข้าไปทำงานด้วยเพียง 2 คน แต่ไม่แน่ใจว่าไปขบเหลี่ยมกับคนของ “นายหญิง” อยู่หรือไม่ คอการเมืองคงพอจะรู้ว่ารัฐมนตรีคมนาคมนั้นใครส่งมา ส่วนรองนายกฯ มือขวาของนายสมัครนั้นได้คุมกระทรวงไหน
จี้“หมัก”รีบกลับใจ – สังคมให้อภัยเสมอ
นายคำนูณกล่าวต่อว่า การส่งสัญญาณเตีอนออกมารแรงๆ แบบนี้มีนัยอะไรหรีอไม่อย่างไร แต่เมื่อประกอบเหตุการณ์ต่างๆ ที่เป็นมา ณ นาทีนี้ เวลาของนายสมัครมีไม่มากนักแล้ว และเชื่อว่าคนที่ตั้งนายสมัครขึ้น ก็ใช่ว่าจะดูดำดูดีกับนายสมัครอีกต่อไป ถ้าพ้นจากตำแหน่งไปแล้วเขาก็คงไม่สนใจ ถึงเวลาที่นายสมัครจะต้องตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง แต่ไม่ใช่ไปโอนอ่อนผ่อนตาม ซึ่งจะมีแต่เสีย เสียทั้งศักดิ์ศรีและเสียเกียรติ
นอกจากนี้ สถานการณ์ต่างๆ ที่ปรากฏ ก็ส่อเค้าว่าจะเผชิญหน้ากันมากขึ้น แม้แต่ภายในกลุ่มของเขาเอง นายจาตุรนต์ ฉายแสง เสนอแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญออกมาโดยให้ผ่านกระบวนการสภาร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นข้อเสนอที่ชาญฉลาด ฟังแล้วดูดี ไม่เสียประโยชน์ แต่พวกเขาก็ไม่เอา ยังดึงดันจะแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยรัฐสภาที่มีส่วนได้เสียต่อไป เหมือนกับว่าทุกฝ่ายเปิดพร้อมจะเปิดหน้าชก ไม่ยอมกัน สถานการณ์อย่างนี้ ยังมองไม่เห็นว่าจะมีทางแก้ไขได้
นายคำนูณ กล่าวต่อว่า หากนายสมัครจะกลับคืนสู่จิตวิญญาณของคนที่มีความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์แล้ว อำนาจของการเป็นนายกฯ และ รมว.กลาโหม ยังพอมีทางที่จะทำอะไรได้ แต่ถ้าไม่ทำ บ้านเมืองคงเดินไปสู่จุดที่คาดคำนวณไม่ได้จริงๆ แต่คาดคำนวณได้ว่าชีวิตทางการเมืองของนายสมัครคงจบไม่สวย เมื่อลงจากตำแหน่ง หันไปทางไหนก็ไม่มีใครเหลียวแล แต่ถ้าทำอะไรสักอย่าง มหาชนที่รักแผ่นดินจะยืนเคียงข้างเสมอ
ทั้งนี้ สังคมไทยเป็นสังคมที่ให้อภัยเสมอ เมื่อก่อนนายสมัคร ในทางการเมืองไม่เหลืออะไรเลย แต่วันหนึ่งถูกหักหลังอย่างน่าสงสารกรณี “กลุ่มงูเห่า” ทำให้พรรคล่มสลาย พอมาสมัครลงเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.จึงได้รับเลือกอย่างถล่มทลาย แม้ว่าพอมาเป็นแล้วทำงานบ้างไม่ทำบ้าง ก็ไม่มีใครสนใจเพราะถือว่าเป็นการให้รางวัลนายสมัคร มาคราวนี้ ถึงแม้นายสมัครจะโดนด่าว่าบ้าง แต่ถ้าใช้อำนาจในฐานะนายกฯ และ รมว.กลาโหม และใช้ด้วยความจงรักภักดี ด้วยจิตวิญญาณเจ้าของคอลัมน์ “มุมน้ำเงิน” คนเดิม ก็อาจช่วยรักษาบ้านรักษาเมืองในช่วงนี้ไว้ได้
หรือถ้าจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงก็จะหลีกเลี่ยงการสูญเสียได้บ้าง
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงในทางการเมืองตอนนี้ ไม่ใช่เรื่องของการแย่งชิงกันระหว่างคนรักทักษิณ กับคนไม่ชอบทักษิณเท่านั้น แต่ไปไกลกว่านั้น มันเป็นอนาคตเป็นวิกฤติของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ถ้าระบอบนี้ก้าวไม่พ้นวิกฤติในช่วงนี้ เชื่อว่าจะน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง
รายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ออกอากาศทาง เอเอสทีวี คืนวันที่ 22 เมษายน นายคำนูณ สิทธิสมาน สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.)ระบบสรรหา และนางจินดารัตน์ เจริญชัยชนะ ร่วมดำเนินรายการ โดยในช่วงแรกได้กล่าวถึงการเดินทางมารับทราบข้อกล่าวหาในความผิด ฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ต่อพนักงานสอบสวน สน.ปทุมวัน ของนายโชติศักดิ์ อ่อนสูง 1 ในแกนนำเครือข่าย 19 กันยา ต้านรัฐประหาร ว่า เป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่สอดคล้องกับการตั้งข้อสังเกตถึงการเสนอข่าวเนปาลของ เอ็นบีทีเมื่อวันก่อน
กรณีดังกล่าวนายโชติศักดิ์ไม่ยอมยืนตรงทำความเคารพ ขณะมีการเปิดเพลงสรรเสริญพระบารมีในโรงภาพยนตร์ ทำให้ถูกแจ้งความดำเนินคดีฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งระหว่างไปรับทราบข้อกล่าวหานายโชติศักดิ์ได้แจกแถลงการณ์ 2 ฉบับ เป็นประเด็นที่ล่อแหลมมาก โดยนายโชตศักดิ์ได้อ้างถึงสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง ซึ่งนายคำนูณกล่าวว่า สิทธิเสรีภาพในการคิดต่างนั้นมีได้ แต่การอยู่ร่วมกันในสังคมนั้นต้องมีกติกากันตามสมควร
กรณีของนายโชติศักดิ์ ไม่ปรากฏเป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ทั่วไป คงจะระมัดระวังกันพอสมควร อย่างไรก็ตาม ข่าวดังกล่าวนี้ถูกเผยแพร่เว็บไซต์ของกลุ่มเครือข่ายแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) เป็นที่ฮือฮาตั้งแต่ปี 2550 มีการโพสต์ข้อความลงในกระทู้ในเว็บไซต์หลายแห่งหนึ่งโดยเฉพาะในกลุ่มเครือข่ายของผู้สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
นายโชติศักดิ์นั้นมีชีวิตและอุดมการณ์ที่ตรงกับ นปก.ขณะเดียวกันยังให้สัมภาษณ์เปิดใจกับเว็บไซต์หนังสือพิมพ์ออนไลน์ประชาไท เมื่อวันที่ 21 เมษายน ที่ผ่านมา มีการโพสต์ข้อความท้ายบทสัมภาษณ์ที่ดูจะหมิ่นแหม่ต่อการกระทำผิดกฎหมายค่อนข้างสูง
แนวคิดอันตรายแพร่ทั่วโลกไซเบอร์
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวว่า หากย้อนไปวันเกิดเหตุเมื่อวันที่ 20 กันยายนปีที่แล้ว นายโชติศักดิ์ สวมใส่เสื้อสีแดง เป็นสีที่กลุ่ม นปก.และเครือข่ายแนวร่วมใช้ในการรณรงค์ต่อต้านรัฐประหาร เป็นรูปธรรมที่จับต้องได้ของกระแสอุดมการณ์ใหม่ในระบอบประชาธิปไตย คือ เมื่อเราพูดถึงประชาธิปไตย ต้องเน้นย้ำถึงระบอบประชาธิปไตยอันทรงมีพระมหากษัตริย์เป็นพระประมุข เป็นลักษณะพิเศษเฉพาะของไทย แต่ในระยะ 1 – 2 ปี มีกระแสการเคลื่อนไหวของนักวิชาการ และกลุ่มคนใกล้ชิดพรรคไทยรักไทย แนวร่วม นปก.เสนอระบอบประชาธิปไตยเฉยๆ หรือประชาธิปไตยของปวงมหาประชาชน พร้อมด้วยการสอดแทรกบทความตัวอย่างรูปแบบของระบอบดังกล่าวสู่สาธารณชน โดยเห็นว่าสถาบันองคมนตรีไม่มีความจำเป็น มีคณะรัฐมนตรี (ครม.)ก็เพียงพอแล้ว
นอกจากนี้รูปธรรมกระแสอุดมการณ์ใหม่ยังปรากฏอยู่ในข้อเขียน และการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในเว็บบอร์ดและเว็บไซต์ที่มีความคิดเห็นในแนวทางเดียวกัน มีความหมิ่นแหม่หลายต่อหลายครั้ง ขณะเดียวกันยังเปิดพื้นที่ในเว็บบอร์ดเพื่อแสดงความคิดเห็น มีรหัสเรียกขานชวนให้คิดให้เข้าใจว่า จงใจหมายถึงสถานบันที่เคารพสูงสุด สิ่งเหล่านี้มันซึมเข้าไปในหมู่เยาวชนคนรุ่นใหม่จำนวนหนึ่ง อายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับนายโชติศักดิ์ มาเคลื่อนไหวอยู่ในโลกไซเบอร์ พร้อมแสดงพลังสนับสนุนนายโชติศักดิ์ หลังโดนคดี
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวต่อว่า การเมืองไทย นับตั้งแต่ 2544 มีการก่อรูปแนวร่วมอุดมการณ์ใหม่ที่ยึดถือประชาธิปไตยเฉยๆ มีความเหิมเกริมลอย่างมากในปี 2549 ต่อเนื่องถึงปี 2550 พุ่งเป้าไปที่ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ นอกจกลุ่มคนพิราบขาว 2006 สวมใส่เสื้อแดง สกรีนข้อความไว้ด้านหลัง อ้างตนเป็นลูกหลานพระเจ้าตาก จะมากู้ชาติ โดยคนกลุ่มนี้อยู่ในกลุ่มคนที่มาประท้วงขับไล่ คมช.พยายามยกยอปอปั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เปรียบเทียบชื่อภาษาอังกฤษให้อ่านคล้ายตากสินอย่างจงใจ
นอกจากนี้ยังมีการเคลื่อนไหวผ่านเว็บบล็อกที่ตั้งชื่อแสดงอุการณ์ไว้ชัดเจน ขึ้นต้นว่า กีโยติน (เครื่องมือสังหารในอดีตของประเทศฝรั่งเศส) เผยแพร่ข่าวในเชิงเสกสรรปั้นแต่ง คนไทยอ่านแล้วเกิดความรู้สึกสะเทือนใจ อีกทั้งยังเผยแพร่เรื่องราวที่เรียกว่าเป็น พงศาวดารฉบับบกระซิบ เพราะไม่ปรากฏความเป็นจริง นอกจากนี้ยังเปิดให้ดาวโหลดหนังสือต้องห้ามอย่างจงใจ การเผยแพร่าเหล่านี้ดำเนินการโดยกลุ่มคนที่ทึกทักว่าเป็นลูกหลานพระเจ้าตาก บางคนใช้นามแฝงพระยาพิชัยแสดงความคิดเห็นโลดแล่นอยู่ในเว็บไซต์สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ เรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วงมาก รัฐบาลจะมองและดำเนินการอย่างไร ต้องตรวจสอบข้อมูล สิ่งต่างๆ เหล่านี้นายกรัฐมนตรีต้องตอบสังคมให้ได้
เบาะแส “นายใหญ่”จ้องปลด “หมัก”
ผู้ดำเนินรายการกล่าวว่า เป็นที่รู้กันดีว่านายสมัคร สุนทรเวชนั้นถูกเลือกมาเป็นนายกรัฐมนตรีเพราะเป็นคนที่จงรักภักดี แต่ขณะเดียวกันก็ปฏิปักษ์ต่อ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ อย่างไรก็ตาม หากจะเป็นปฏิปักษ์ในนามส่วนตัวกับพล.อ.เปรมก็เป็นไป แต่จะเป็นปฏิปักษ์ต่อความเป็นประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษไม่ได้ เพราะตำแหน่งเหล่านี้ไม่ใช่แต่งตั้งหรือยกย่องกันเอาเองแต่เป็นตำแหน่งที่ได้มาจากการโปรดเกล้าฯ
นายคำนูณ กล่าวว่า คนที่ต้องการจะเอานายกสมัครลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นคนที่ให้นายสมัครขึ้นมาเป็นนายกฯ นั่นเอง ทั้งนี้ มีข้อสังเกตจากกรณีที่เมื่อหลายวันก่อนหน้านี้นายสมัครเคยเกรี้ยวกราดใส่หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งที่เขียนว่าคนใกล้ชิดนายสมัครมีพฤติกรรมทุจริต ซึ่งนายสมัครได้บอกให้เอาหลักฐานไปให้ภายใน 3 วัน แต่ขณะนี้ก็เลย 3 วันมาแล้ว ก็ไม่ทราบว่าหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นเป็นใคร
อย่างไรก็ตาม ถ้าดูการเขียนคอลัมน์ในหนังสือพิมพ์ “บางกอกทูเดย์” ช่วงหลังก็จะเห็นบทความที่เขียนในเชิงลบกับนายสมัครมากขึ้น เช่น บทความที่ช่อ “เขย่าเก้าอี้สมัครจากเงาที่มองไม่เห็น” มีการใช้คำว่า “รักยมคูหูดูโอ้ จอมไถสะท้านเมืองไทย” ในการกล่าวโจมตี ส่งผลลบต่อนายสมัคร ทั้งนี้เป็นที่ทราบกันดีกว่านายสมัครขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีโดยเอาคนใกล้ชิดเข้าไปทำงานด้วยเพียง 2 คน โดยคนหนึ่งเป็นรองนายกฯ อีกคนหนึ่งเป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
ขณะที่ “บางกอกทูเดย์” เขียนโจมตีหนักว่ามีการรีดไถ และเมื่อ 2 วันก่อหน้านี้ มีข้อเขียนเรื่อง “ราหูอมหมัก” โดยบอกว่าให้ระวังบริวารเป็นพิษเพราะ “รักยม” ถึงจะไปบูชาราหูที่ไหนก็ไม่ประสบความสำเร็จ และคาดว่าจะมีบทความออกมาลักษณะนี้ออกมาเรื่อยๆ
นายคำนูณ กล่าวต่อว่า ที่จริงแล้ว เป็นที่ทราบกันดีว่า “บางกอกทูเดย์” นั้น มีผู้ใหญ่ที่ดูแลอยู่คือนายเผด็จ ภูริปฏิภาณ หรือ “พญาไม้” ซึ่งเวลานี้ทราบกันดีว่าเป็นคนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ให้ความเชื่อถือมากที่สุดคนหนึ่ง จึงไม่ทราบว่าข้อเขียนต่างๆ นั้น เขียนไปโดยรู้เอง หรือว่ามีสัญญาณอะไร ที่ใครส่งมาให้บ้างหรือไม่
“จริงๆ แล้ว เวลาคุณสมัครแถลงข่าว ไม่ต้องเกรี้ยวหกราดกับสื่อฉบับอื่นหรอก แต่น่าจะเรียกผู้ใหญ่ในฉบับนั้นมาถามดูว่า ที่เขียนอย่างนั้นหมายความว่าอย่างไร”นายคำนูณ กล่าว
นอกจากนี้ การที่หนังสือพิมพ์ฉบับดังกล่าวโจมตีนายสมัคร ยังสอดคล้องกับข่าวที่ว่า “นายใหญ่” และ “นายหญิง” ไม่ค่อยพอใจเท่าใดนัก โดยเฉพาะ “นายหญิง”ไม่พอใจกับสิ่งที่นายสมัครทำขณะอยู่ในตำแหน่งนี้ แม้ว่านายสมัครจะเอาคนของตัวเองเข้าไปทำงานด้วยเพียง 2 คน แต่ไม่แน่ใจว่าไปขบเหลี่ยมกับคนของ “นายหญิง” อยู่หรือไม่ คอการเมืองคงพอจะรู้ว่ารัฐมนตรีคมนาคมนั้นใครส่งมา ส่วนรองนายกฯ มือขวาของนายสมัครนั้นได้คุมกระทรวงไหน
จี้“หมัก”รีบกลับใจ – สังคมให้อภัยเสมอ
นายคำนูณกล่าวต่อว่า การส่งสัญญาณเตีอนออกมารแรงๆ แบบนี้มีนัยอะไรหรีอไม่อย่างไร แต่เมื่อประกอบเหตุการณ์ต่างๆ ที่เป็นมา ณ นาทีนี้ เวลาของนายสมัครมีไม่มากนักแล้ว และเชื่อว่าคนที่ตั้งนายสมัครขึ้น ก็ใช่ว่าจะดูดำดูดีกับนายสมัครอีกต่อไป ถ้าพ้นจากตำแหน่งไปแล้วเขาก็คงไม่สนใจ ถึงเวลาที่นายสมัครจะต้องตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง แต่ไม่ใช่ไปโอนอ่อนผ่อนตาม ซึ่งจะมีแต่เสีย เสียทั้งศักดิ์ศรีและเสียเกียรติ
นอกจากนี้ สถานการณ์ต่างๆ ที่ปรากฏ ก็ส่อเค้าว่าจะเผชิญหน้ากันมากขึ้น แม้แต่ภายในกลุ่มของเขาเอง นายจาตุรนต์ ฉายแสง เสนอแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญออกมาโดยให้ผ่านกระบวนการสภาร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นข้อเสนอที่ชาญฉลาด ฟังแล้วดูดี ไม่เสียประโยชน์ แต่พวกเขาก็ไม่เอา ยังดึงดันจะแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยรัฐสภาที่มีส่วนได้เสียต่อไป เหมือนกับว่าทุกฝ่ายเปิดพร้อมจะเปิดหน้าชก ไม่ยอมกัน สถานการณ์อย่างนี้ ยังมองไม่เห็นว่าจะมีทางแก้ไขได้
นายคำนูณ กล่าวต่อว่า หากนายสมัครจะกลับคืนสู่จิตวิญญาณของคนที่มีความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์แล้ว อำนาจของการเป็นนายกฯ และ รมว.กลาโหม ยังพอมีทางที่จะทำอะไรได้ แต่ถ้าไม่ทำ บ้านเมืองคงเดินไปสู่จุดที่คาดคำนวณไม่ได้จริงๆ แต่คาดคำนวณได้ว่าชีวิตทางการเมืองของนายสมัครคงจบไม่สวย เมื่อลงจากตำแหน่ง หันไปทางไหนก็ไม่มีใครเหลียวแล แต่ถ้าทำอะไรสักอย่าง มหาชนที่รักแผ่นดินจะยืนเคียงข้างเสมอ
ทั้งนี้ สังคมไทยเป็นสังคมที่ให้อภัยเสมอ เมื่อก่อนนายสมัคร ในทางการเมืองไม่เหลืออะไรเลย แต่วันหนึ่งถูกหักหลังอย่างน่าสงสารกรณี “กลุ่มงูเห่า” ทำให้พรรคล่มสลาย พอมาสมัครลงเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.จึงได้รับเลือกอย่างถล่มทลาย แม้ว่าพอมาเป็นแล้วทำงานบ้างไม่ทำบ้าง ก็ไม่มีใครสนใจเพราะถือว่าเป็นการให้รางวัลนายสมัคร มาคราวนี้ ถึงแม้นายสมัครจะโดนด่าว่าบ้าง แต่ถ้าใช้อำนาจในฐานะนายกฯ และ รมว.กลาโหม และใช้ด้วยความจงรักภักดี ด้วยจิตวิญญาณเจ้าของคอลัมน์ “มุมน้ำเงิน” คนเดิม ก็อาจช่วยรักษาบ้านรักษาเมืองในช่วงนี้ไว้ได้
หรือถ้าจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงก็จะหลีกเลี่ยงการสูญเสียได้บ้าง
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงในทางการเมืองตอนนี้ ไม่ใช่เรื่องของการแย่งชิงกันระหว่างคนรักทักษิณ กับคนไม่ชอบทักษิณเท่านั้น แต่ไปไกลกว่านั้น มันเป็นอนาคตเป็นวิกฤติของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ถ้าระบอบนี้ก้าวไม่พ้นวิกฤติในช่วงนี้ เชื่อว่าจะน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง