ภายหลังจากที่นายสมัคร สุนทรเวช ในเช้าวันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคม 2551 ได้ออกรายการสนทนาประสาสมัครทางสถานีโทรทัศน์เอ็นบีทียืนยันที่จะใช้ดำเนินการขั้น “แตกหัก” ให้ทหารและตำรวจที่เตรียมพร้อมเอาไว้แล้วเข้าดำเนินการสลายผู้ชุมนุม ก็ได้เกิดเสียงก่นด่าสาปแช่งไปทั่วประเทศและทั่วโลก ประชาชนหลั่งไหลมาจากทุกสารทิศสมทบกับผู้ชุมนุมอย่างล้นหลามเพื่อขัดขวางการชุมนุมอันเหี้ยมโหด ตลอดจนผู้นำกองทัพทั้งหลายต่างก็ปฏิเสธที่จะใช้กำลัง จนเป็นผลทำให้นายสมัคร สุนทรเวช ต้องกลับลำแก้เกี้ยวในเวลาต่อมา
ข้างซ้ายของการชุมนุมเป็นองค์การสหประชาชาติ เบื้องหน้าเป็นกองทัพภาคที่หนึ่ง ด้านหลังเป็นกองบัญชาการกองทัพบก คือยุทธภูมิที่เป็นเกราะกำบังที่เข้มแข็งเกินกว่าที่รัฐบาลจะสั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุมได้ ยังไม่นับสื่อสารมวลชนทั้งในประเทศและต่างประเทศที่จะทำหน้าที่ด้วยจิตวิญญาณที่จะนำเสนอข้อเท็จจริงเป็นสักขีพยานให้ปรากฏได้ในทุกวินาที
หลังจากวันนั้นเป็นต้นมาก็ได้พบว่าปฏิกิริยาของคนในรัฐบาลได้ถูกบังคับให้เปลี่ยนแปลงยุทธวิธีการต่อสู้ไปจากเดิมทั้งบนดินและใต้ดิน
เป็นเกมแห่งจิตวิทยามวลชน เป็นเกมแห่งสงครามสื่อสารมวลชน เป็นเกมการเมืองและอำนาจเถื่อน ที่สร้างบรรยากาศแห่งการโฆษณาชวนเชื่อพร้อมๆ กับการคุกคามองค์กรตรวจสอบทุจริตทุกรูปแบบ
เพราะเหตุนี้ใช่หรือไม่ เราจึงเห็นการระดมพลของการชุมนุมแก๊งมอเตอร์ไซค์ปิดป้ายทะเบียนจัดตั้งมา เพื่อก่อกวนการชุมนุมให้ประชาชนหวาดหวั่น โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้จับกุมดำเนินคดีแต่อย่างใด
เพราะเหตุนี้ใช่หรือไม่ เราจึงเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูงบางคนใช้เครื่องบินเฮลิคอปเตอร์เพื่อพานักข่าวไปดูการจราจรที่ติดขัดเพื่อกล่าวโทษว่าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยคือสาเหตุเดียวที่ทำให้รถติดทั้งสิ้น ทั้งๆ ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นฝ่ายปิดกั้นถนนไม่ให้ผ่านไปทำเนียบรัฐบาล และเป็นฝ่ายตัดสินใจให้ชุมนุมปักหลักพักค้างอยู่ในที่แห่งนี้เอง
เพราะเหตุนี้ใช่หรือไม่ เราจึงได้เห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูงบางคน สั่งให้ปิดกั้นถนนเกินกว่าความจำเป็น ลามไปถึงการปิดการจราจรแยกมิสกวัน และหลายครั้งก็ลามปิดไปถึงถนนพิษณุโลกและหน้าทำเนียบรัฐบาล ทำให้การจราจรติดขัดอย่างหนักเพื่อเพิ่มความเกลียดชังให้กับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเพิ่มมากขึ้น
วันดีคืนดีก็มีการใช้แผนสกปรก จัดฉากกลุ่มคนขึ้นมาอ้างว่าเป็นพ่อค้าแม่ค้าขายผลไม้ ขายของไม่ได้เพราะมีการชุมนุม เลยมาประท้วงร้องห่มร้องไห้ ด้วยการยอมเจ๊งมากกว่าเดิมเทผลไม้ที่จะนำไปขายเหล่านั้นทิ้งบริเวณหน้าสถานที่ชุมนุม ในขณะที่พ่อค้าแม่ค้าบริเวณที่ชุมนุมเกิดขายดิบขายดีหน้าชื่นตาบาน ร้านอาหารใกล้เคียงขายดีขึ้นทันตาเห็น ซึ่งขัดแย้งกับข้อเท็จจริงอย่างสิ้นเชิง
วันดีคืนดีก็มีขบวนการเสื้อขาวที่สร้างกระแส เป็นกลาง ลดความวุ่นวาย ถอยคนละก้าว ทั้งๆ ที่เนื้อแท้ก็คือการทำลายการเคลื่อนไหวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เพราะก่อนหน้านี้คนเหล่านี้ก็ไม่ได้ออกมาห้ามปรามการฉ้อราษฎร์บังหลวงของระบอบทักษิณแต่อย่างใด มีแต่จะห้ามคนที่มาต่อต้านรัฐบาลแต่ฝ่ายเดียว อีกทั้งยังมีอาจารย์บางคนที่รับใช้ระบอบทักษิณฉกฉวยโอกาสเหมาการเคลื่อนไหวริบบิ้นสีขาวของนิสิต นักศึกษา ที่ไม่ต้องการความรุนแรงมาเป็นขบวนการของตนอย่างไร้ยางอาย เพียงเพื่อใช้เป็นเครื่องมือทำลายการเคลื่อนไหวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่กำลังต่อต้านความชั่วร้ายของรัฐบาลอย่างเข้มข้น
ในขณะที่สื่อฟรีทีวีและวิทยุของภาครัฐหลายรายการ ก็ได้ให้ความเห็นและนำเสนอข่าวเป็นโทษต่อพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยฝ่ายเดียวเพื่อบั่นทอนการชุมนุมให้อ่อนกำลังลงเรื่อยๆ
มิพักต้องพูดถึงพฤติกรรมอันแสนเลวทรามต่ำช้าที่สุนัขรับใช้ระบอบทักษิณได้ทำทุกวิถีทางเพื่อจะหาทางใช้เครื่องมือและกลไกภาครัฐเข้าข่มขู่ คุกคาม และจะเข้าจับกุมกลุ่มคนที่ทำหน้าที่ตรวจสอบการทุจริตคอร์รัปชันในรัฐบาลทักษิณ ทั้งอดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ และคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ในข้อหาหมิ่นประมาทพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในขณะที่คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ ของคนที่เคยอยู่ในอำนาจรัฐกลับดำเนินไปอย่างล่าช้า
รัฐบาลใช้ทุกวิถีทางขนาดนี้ประชาชนก็หาได้เชื่อตามที่รัฐบาลสร้างภาพไว้ไม่!
ดูเอาเถิดผลสำรวจประชาชนทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด ของมหาวิทยาลัยรังสิต ระหว่างวันที่ 3-4 มิถุนายน 2551 ระบุว่า ประชาชนเห็นด้วยถ้านายสมัคร สุนทรเวช ลาออก หรือยุบสภา หรือถูกรัฐประหาร รวมกันร้อยละ 49.75 ในขณะที่เห็นด้วยหากพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะสลายการชุมนุมไปเอง 36.50
ล่าสุดเอแบคโพลล์ก็มีผลสำรวจประชาชนทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดด้วยข้อมูลล่าสุด ระหว่างวันที่ 1-8 มิถุนายน 2551 สรุปว่า โดยชาวกรุงเทพมหานครส่วนใหญ่ถึงร้อยละ 54.9 สนับสนุนการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในขณะที่ชาวต่างจังหวัดส่วนใหญ่ก็สนับสนุนการชุมนุมถึงร้อยละ 52.7 ในทางตรงกันข้ามฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แบ่งเป็นชาวกรุงเทพมหานคร ร้อยละ 37.9 และชาวต่างจังหวัดร้อยละ 40.9
ผลสำรวจออกมาเช่นนี้อาจทำให้ใครบางคนที่ชอบหลงตัวเอง และกำลังจะลงสมัครชิงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครถึงกับ “ไม่ปลื้ม” เอาได้
เหตุผลของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยยกระดับการต่อสู้ จากการต่อต้านการล้มล้างรัฐธรรมนูญมาเป็นขับไล่รัฐบาลหุ่นเชิดมีถึง 12 ข้อ ซึ่งเป็นภัยต่อทั้งชาติ ศาสน์ กษัตริย์ คือความถูกต้องและเอาธรรมนำหน้า ประชาชนจึงได้ยอมรับเพิ่มมากขึ้น
น่าสังเกตว่า คนที่ออกมาชุมนุมต่อสู้กับเรื่องเหล่านี้ส่วนใหญ่กลับเป็นผู้หญิง ผู้สูงวัย และประชาชนตาดำๆ ที่ไม่มีอาวุธและอำนาจรัฐใดๆ ทั้งสิ้น
ทหารหาญทั้งหลายจะได้อับอายขายหน้าบ้างไหม? เมื่อเห็นภาพ อ.อารมณ์ มีชัย สุภาพสตรีสูงวัย เป็นมะเร็งป่วยอย่างหนัก ต้องถอดน้ำเกลือออกมาทั้งๆ ที่ร่างกายอ่อนแอ ขึ้นเวทีปราศรัยปลุกให้ประชาชนร่วมกันปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ในสถานการณ์ที่เกิดภัยคุกคามอันใหญ่หลวงอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
เพราะความล้มเหลวที่เกิดขึ้น ภายหลังจากการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 จึงเป็นผลทำให้ประชาชนจำนวนมากไม่ได้คาดหวังว่าจะให้ทหารออกมารัฐประหาร “เหมือนแบบเดิม” อีกต่อไปแล้ว ดูได้จากผลสำรวจประชาชนของมหาวิทยาลัยรังสิตครั้งล่าสุดระหว่างวันที่ 3-4 มิถุนายน 2551 ระบุว่าเห็นด้วยถ้าทหารรัฐประหารจะล้มล้างรัฐบาล มีเพียงแค่ร้อยละ 7.67 เท่านั้น
แต่อย่างน้อยทหารก็มีหน้าที่โดยตรงที่จะต้องแสดงปฏิกิริยาบางอย่างบ้าง เพื่อพิทักษ์ ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน อันเป็นหน้าที่ของตัวเองโดยตรง
ไม่ใช่มัวมานั่งบ่นว่ารถติดจากการชุมนุมหน้ากองบัญชาการกองทัพบก หรือโดยไม่รู้สึกรู้สาสักนิดว่าเขามาชุมนุมทั้งวันทั้งคืน ที่หน้าทำงานตัวเองกว่าครึ่งเดือนเพื่อต่อสู้กับภัยต่อความมั่นคงของชาติที่ร้ายแรงแค่ไหน?
ไม่ใช่อยู่ไปวันๆ เพื่อวิ่งเต้นตำแหน่งหน้าที่การงาน หรือมีความสุขดีกับการเล่นกอล์ฟ ออกกำลังกาย และเล่นฟุตบอล ฯลฯ
เพราะถ้าทหารไม่รู้จักหน้าที่ของตัวเอง ก็ไม่รู้จะไปกินเงินเดือนที่ได้มาจากภาษีประชาชนไปเพื่ออะไร?
อยู่ไปก็เลี้ยงเสียข้าวสุก ไม่ต่างอะไรกับขอทาน!
การลาออกของนายจักรภพ เพ็ญแข จากตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีก็ดี หรือกรณีของการที่สมาชิกวุฒิสภาถอนรายชื่อจนญัตติการล้มล้างรัฐธรรมนูญสะดุดลงชั่วคราวก็ดี ก็ไม่ใช่การถอยหลังของรัฐบาลอย่างแท้จริง
เพราะชัยชนะของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็คือ การไม่เข้าสู่การพิจารณาในชั้นศาล ในขณะที่พันธมิตรฯ ต่อสู้โดยมีเป้าหมายสุดท้ายเพื่อให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พิสูจน์ตัวเองในกระบวนการยุติธรรมโดยไม่ถูกแทรกแซง
สงครามครั้งนี้ทั้งสองฝ่ายจึงไม่มีทางที่จะถอยไปได้ เพราะไม่ใช่เรื่องการเอาชนะคะคาน หากแต่เป็นเรื่อง “เดิมพัน” ระหว่างพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่เดิมพันด้วยอนาคตของชาติ กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัว ที่เดิมพันด้วยชีวิต อิสรภาพและทรัพย์สินของตัวเอง
เป็นเดิมพันอนาคตของชาติระหว่าง การดำรงอยู่ของสถาบันในกระบวนการยุติธรรม หรือการถูกทำลายความยุติธรรมในชาติให้พินาศย่อยยับลงไป
เป็นการเดิมพันระหว่างขบวนการสาธารณรัฐกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ยุคนี้หน้าที่พิทักษ์ ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน จึงเป็นหน้าที่ของประชาชนธรรมดา ตาดำๆ ที่ไม่มียศถาบรรดาศักดิ์ ไม่รวยล้นฟ้า และไม่มีอาวุธใดๆ ทั้งสิ้น
“เล่นกอล์ฟไปเถิดทหารกล้า ปวงประชาจะคุ้มภัย”
ข้างซ้ายของการชุมนุมเป็นองค์การสหประชาชาติ เบื้องหน้าเป็นกองทัพภาคที่หนึ่ง ด้านหลังเป็นกองบัญชาการกองทัพบก คือยุทธภูมิที่เป็นเกราะกำบังที่เข้มแข็งเกินกว่าที่รัฐบาลจะสั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุมได้ ยังไม่นับสื่อสารมวลชนทั้งในประเทศและต่างประเทศที่จะทำหน้าที่ด้วยจิตวิญญาณที่จะนำเสนอข้อเท็จจริงเป็นสักขีพยานให้ปรากฏได้ในทุกวินาที
หลังจากวันนั้นเป็นต้นมาก็ได้พบว่าปฏิกิริยาของคนในรัฐบาลได้ถูกบังคับให้เปลี่ยนแปลงยุทธวิธีการต่อสู้ไปจากเดิมทั้งบนดินและใต้ดิน
เป็นเกมแห่งจิตวิทยามวลชน เป็นเกมแห่งสงครามสื่อสารมวลชน เป็นเกมการเมืองและอำนาจเถื่อน ที่สร้างบรรยากาศแห่งการโฆษณาชวนเชื่อพร้อมๆ กับการคุกคามองค์กรตรวจสอบทุจริตทุกรูปแบบ
เพราะเหตุนี้ใช่หรือไม่ เราจึงเห็นการระดมพลของการชุมนุมแก๊งมอเตอร์ไซค์ปิดป้ายทะเบียนจัดตั้งมา เพื่อก่อกวนการชุมนุมให้ประชาชนหวาดหวั่น โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้จับกุมดำเนินคดีแต่อย่างใด
เพราะเหตุนี้ใช่หรือไม่ เราจึงเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูงบางคนใช้เครื่องบินเฮลิคอปเตอร์เพื่อพานักข่าวไปดูการจราจรที่ติดขัดเพื่อกล่าวโทษว่าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยคือสาเหตุเดียวที่ทำให้รถติดทั้งสิ้น ทั้งๆ ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นฝ่ายปิดกั้นถนนไม่ให้ผ่านไปทำเนียบรัฐบาล และเป็นฝ่ายตัดสินใจให้ชุมนุมปักหลักพักค้างอยู่ในที่แห่งนี้เอง
เพราะเหตุนี้ใช่หรือไม่ เราจึงได้เห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูงบางคน สั่งให้ปิดกั้นถนนเกินกว่าความจำเป็น ลามไปถึงการปิดการจราจรแยกมิสกวัน และหลายครั้งก็ลามปิดไปถึงถนนพิษณุโลกและหน้าทำเนียบรัฐบาล ทำให้การจราจรติดขัดอย่างหนักเพื่อเพิ่มความเกลียดชังให้กับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเพิ่มมากขึ้น
วันดีคืนดีก็มีการใช้แผนสกปรก จัดฉากกลุ่มคนขึ้นมาอ้างว่าเป็นพ่อค้าแม่ค้าขายผลไม้ ขายของไม่ได้เพราะมีการชุมนุม เลยมาประท้วงร้องห่มร้องไห้ ด้วยการยอมเจ๊งมากกว่าเดิมเทผลไม้ที่จะนำไปขายเหล่านั้นทิ้งบริเวณหน้าสถานที่ชุมนุม ในขณะที่พ่อค้าแม่ค้าบริเวณที่ชุมนุมเกิดขายดิบขายดีหน้าชื่นตาบาน ร้านอาหารใกล้เคียงขายดีขึ้นทันตาเห็น ซึ่งขัดแย้งกับข้อเท็จจริงอย่างสิ้นเชิง
วันดีคืนดีก็มีขบวนการเสื้อขาวที่สร้างกระแส เป็นกลาง ลดความวุ่นวาย ถอยคนละก้าว ทั้งๆ ที่เนื้อแท้ก็คือการทำลายการเคลื่อนไหวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เพราะก่อนหน้านี้คนเหล่านี้ก็ไม่ได้ออกมาห้ามปรามการฉ้อราษฎร์บังหลวงของระบอบทักษิณแต่อย่างใด มีแต่จะห้ามคนที่มาต่อต้านรัฐบาลแต่ฝ่ายเดียว อีกทั้งยังมีอาจารย์บางคนที่รับใช้ระบอบทักษิณฉกฉวยโอกาสเหมาการเคลื่อนไหวริบบิ้นสีขาวของนิสิต นักศึกษา ที่ไม่ต้องการความรุนแรงมาเป็นขบวนการของตนอย่างไร้ยางอาย เพียงเพื่อใช้เป็นเครื่องมือทำลายการเคลื่อนไหวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่กำลังต่อต้านความชั่วร้ายของรัฐบาลอย่างเข้มข้น
ในขณะที่สื่อฟรีทีวีและวิทยุของภาครัฐหลายรายการ ก็ได้ให้ความเห็นและนำเสนอข่าวเป็นโทษต่อพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยฝ่ายเดียวเพื่อบั่นทอนการชุมนุมให้อ่อนกำลังลงเรื่อยๆ
มิพักต้องพูดถึงพฤติกรรมอันแสนเลวทรามต่ำช้าที่สุนัขรับใช้ระบอบทักษิณได้ทำทุกวิถีทางเพื่อจะหาทางใช้เครื่องมือและกลไกภาครัฐเข้าข่มขู่ คุกคาม และจะเข้าจับกุมกลุ่มคนที่ทำหน้าที่ตรวจสอบการทุจริตคอร์รัปชันในรัฐบาลทักษิณ ทั้งอดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ และคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ในข้อหาหมิ่นประมาทพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในขณะที่คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ ของคนที่เคยอยู่ในอำนาจรัฐกลับดำเนินไปอย่างล่าช้า
รัฐบาลใช้ทุกวิถีทางขนาดนี้ประชาชนก็หาได้เชื่อตามที่รัฐบาลสร้างภาพไว้ไม่!
ดูเอาเถิดผลสำรวจประชาชนทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด ของมหาวิทยาลัยรังสิต ระหว่างวันที่ 3-4 มิถุนายน 2551 ระบุว่า ประชาชนเห็นด้วยถ้านายสมัคร สุนทรเวช ลาออก หรือยุบสภา หรือถูกรัฐประหาร รวมกันร้อยละ 49.75 ในขณะที่เห็นด้วยหากพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะสลายการชุมนุมไปเอง 36.50
ล่าสุดเอแบคโพลล์ก็มีผลสำรวจประชาชนทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดด้วยข้อมูลล่าสุด ระหว่างวันที่ 1-8 มิถุนายน 2551 สรุปว่า โดยชาวกรุงเทพมหานครส่วนใหญ่ถึงร้อยละ 54.9 สนับสนุนการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในขณะที่ชาวต่างจังหวัดส่วนใหญ่ก็สนับสนุนการชุมนุมถึงร้อยละ 52.7 ในทางตรงกันข้ามฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แบ่งเป็นชาวกรุงเทพมหานคร ร้อยละ 37.9 และชาวต่างจังหวัดร้อยละ 40.9
ผลสำรวจออกมาเช่นนี้อาจทำให้ใครบางคนที่ชอบหลงตัวเอง และกำลังจะลงสมัครชิงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครถึงกับ “ไม่ปลื้ม” เอาได้
เหตุผลของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยยกระดับการต่อสู้ จากการต่อต้านการล้มล้างรัฐธรรมนูญมาเป็นขับไล่รัฐบาลหุ่นเชิดมีถึง 12 ข้อ ซึ่งเป็นภัยต่อทั้งชาติ ศาสน์ กษัตริย์ คือความถูกต้องและเอาธรรมนำหน้า ประชาชนจึงได้ยอมรับเพิ่มมากขึ้น
น่าสังเกตว่า คนที่ออกมาชุมนุมต่อสู้กับเรื่องเหล่านี้ส่วนใหญ่กลับเป็นผู้หญิง ผู้สูงวัย และประชาชนตาดำๆ ที่ไม่มีอาวุธและอำนาจรัฐใดๆ ทั้งสิ้น
ทหารหาญทั้งหลายจะได้อับอายขายหน้าบ้างไหม? เมื่อเห็นภาพ อ.อารมณ์ มีชัย สุภาพสตรีสูงวัย เป็นมะเร็งป่วยอย่างหนัก ต้องถอดน้ำเกลือออกมาทั้งๆ ที่ร่างกายอ่อนแอ ขึ้นเวทีปราศรัยปลุกให้ประชาชนร่วมกันปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ในสถานการณ์ที่เกิดภัยคุกคามอันใหญ่หลวงอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
เพราะความล้มเหลวที่เกิดขึ้น ภายหลังจากการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 จึงเป็นผลทำให้ประชาชนจำนวนมากไม่ได้คาดหวังว่าจะให้ทหารออกมารัฐประหาร “เหมือนแบบเดิม” อีกต่อไปแล้ว ดูได้จากผลสำรวจประชาชนของมหาวิทยาลัยรังสิตครั้งล่าสุดระหว่างวันที่ 3-4 มิถุนายน 2551 ระบุว่าเห็นด้วยถ้าทหารรัฐประหารจะล้มล้างรัฐบาล มีเพียงแค่ร้อยละ 7.67 เท่านั้น
แต่อย่างน้อยทหารก็มีหน้าที่โดยตรงที่จะต้องแสดงปฏิกิริยาบางอย่างบ้าง เพื่อพิทักษ์ ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน อันเป็นหน้าที่ของตัวเองโดยตรง
ไม่ใช่มัวมานั่งบ่นว่ารถติดจากการชุมนุมหน้ากองบัญชาการกองทัพบก หรือโดยไม่รู้สึกรู้สาสักนิดว่าเขามาชุมนุมทั้งวันทั้งคืน ที่หน้าทำงานตัวเองกว่าครึ่งเดือนเพื่อต่อสู้กับภัยต่อความมั่นคงของชาติที่ร้ายแรงแค่ไหน?
ไม่ใช่อยู่ไปวันๆ เพื่อวิ่งเต้นตำแหน่งหน้าที่การงาน หรือมีความสุขดีกับการเล่นกอล์ฟ ออกกำลังกาย และเล่นฟุตบอล ฯลฯ
เพราะถ้าทหารไม่รู้จักหน้าที่ของตัวเอง ก็ไม่รู้จะไปกินเงินเดือนที่ได้มาจากภาษีประชาชนไปเพื่ออะไร?
อยู่ไปก็เลี้ยงเสียข้าวสุก ไม่ต่างอะไรกับขอทาน!
การลาออกของนายจักรภพ เพ็ญแข จากตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีก็ดี หรือกรณีของการที่สมาชิกวุฒิสภาถอนรายชื่อจนญัตติการล้มล้างรัฐธรรมนูญสะดุดลงชั่วคราวก็ดี ก็ไม่ใช่การถอยหลังของรัฐบาลอย่างแท้จริง
เพราะชัยชนะของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็คือ การไม่เข้าสู่การพิจารณาในชั้นศาล ในขณะที่พันธมิตรฯ ต่อสู้โดยมีเป้าหมายสุดท้ายเพื่อให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พิสูจน์ตัวเองในกระบวนการยุติธรรมโดยไม่ถูกแทรกแซง
สงครามครั้งนี้ทั้งสองฝ่ายจึงไม่มีทางที่จะถอยไปได้ เพราะไม่ใช่เรื่องการเอาชนะคะคาน หากแต่เป็นเรื่อง “เดิมพัน” ระหว่างพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่เดิมพันด้วยอนาคตของชาติ กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัว ที่เดิมพันด้วยชีวิต อิสรภาพและทรัพย์สินของตัวเอง
เป็นเดิมพันอนาคตของชาติระหว่าง การดำรงอยู่ของสถาบันในกระบวนการยุติธรรม หรือการถูกทำลายความยุติธรรมในชาติให้พินาศย่อยยับลงไป
เป็นการเดิมพันระหว่างขบวนการสาธารณรัฐกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ยุคนี้หน้าที่พิทักษ์ ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน จึงเป็นหน้าที่ของประชาชนธรรมดา ตาดำๆ ที่ไม่มียศถาบรรดาศักดิ์ ไม่รวยล้นฟ้า และไม่มีอาวุธใดๆ ทั้งสิ้น
“เล่นกอล์ฟไปเถิดทหารกล้า ปวงประชาจะคุ้มภัย”