การชุมนุมคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อทำให้พรรคการเมืองที่ทำผิดกฎหมายไม่ต้องรับผิด เพื่อให้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่ต้องขึ้นศาล พัฒนามาจนกระทั่งกลายเป็นการขับไล่รัฐบาลหุ่น นายสมัคร สุนทรเวช และล้มระบอบทักษิณให้หมดไปจากประเทศไทยแล้ว
ย้อนกลับไปดูเหตุการณ์ก่อนหน้าที่จะมีการชุมนุมของประชาชน เราก็จะพบว่า เกือบ 4 เดือนของการบริหารบ้านเมืองของรัฐบาลหุ่นนายสมัคร สุนทรเวช เป็นตลอดเวลา 4 เดือนที่ได้มีการเตือน และคัดค้านความพยายามที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญใน 2 ประเด็นสำคัญดังกล่าวตลอดมา แต่เพราะความไม่ต้องการที่จะพิสูจน์ตัวเองในศาลสถิตยุติธรรมทั้งที่ปากแข็งตลอดมาว่า พร้อมที่จะพิสูจน์ข้อเท็จจริงในศาล ทำให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคไทยรักไทยที่กลายสภาพมาเป็นพรรคพลังประชาชนจำเป็นที่จะต้องทำงานรับใช้นายที่แท้จริงของเขา จนกระทั่งแม้นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีหุ่นต้องพลิกลิ้นกลายเป็นคนกลับกลอก เชื่อถือไม่ได้
นายกรัฐมนตรีหุ่นนายสมัคร สุนทรเวช เมื่อแรกที่มารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีบอกว่า จะแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ต่อเมื่อเหลือเวลาในการบริหารสัก 2-3 เดือน แต่มาถึงตอนนี้กลายเป็นความเร่งด่วนที่จะต้องทำ
เพราะนายยงยุทธ ติยะไพรัช รองหัวหน้าพรรคถูกดำเนินคดี และอาจจะนำไปสู่การยุบพรรค และจะทำให้นายสมัคร สุนทรเวช ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคติดร่างแหไปด้วย และที่สำคัญคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่อยากขึ้นศาล อยากจะเป็นผู้บริสุทธิ์ และได้ทรัพย์สินที่ถูก คตส.อายัดไว้คืน ทำให้พวกเขาเร่งวันเร่งคืนที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยเอานายชัย ชิดชอบ มาเป็นประธานสภาฯ แทนนายยงยุทธ ไม่สนใจเสียงคัดค้านว่า นายชัย ชิดชอบ มีคดีรุกที่การรถไฟฯ และสติปัญญาความรู้ ความสามารถ ไม่น่าที่จะดำรงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรได้ พวกเขาก็ไม่สนใจรวบรวมรายชื่อเสนอญัตติขอแก้ไขรัฐธรรมนูญจนได้
จนกระทั่งพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยร่วมกับประชาชนทั้งหลายที่ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญออกมาคัดค้าน และพัฒนาไปสู่การเรียกร้องให้รัฐบาลหุ่นนายสมัคร สุนทรเวช ลาออกและหาทางที่จะต้องล้มระบอบทักษิณให้พ้นไปจากประเทศไทย
เพราะต้นตอปัญหาของประเทศ คือ ระบอบทักษิณ และรัฐบาลที่เป็นตัวแทนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ไม่อาจจะแก้ปัญหาด้วยวิธีอื่น
หลังจากที่หมดอำนาจไปเพราะรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็เฝ้ารอคอยตลอดมาว่า การที่จะกลับมามีอำนาจได้อีกครั้ง ก็ต้องใช้วิธีการเลือกตั้งเท่านั้น
และเขาก็ทำได้จริงๆ
เพราะ 1. สามารถรวบรวมสมาชิกพรรคไทยรักไทยมาจัดตั้งพรรคใหม่เป็นพรรคพลังประชาชน 2. สามารถเกลี้ยกล่อมให้นายสมัคร สุนทรเวช มาเป็นหัวหน้าพรรค เพราะนายสมัครเองก็ดีดลูกคิดรางแก้วว่า คราวนี้อาจจะได้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมความตั้งใจ หลังจากที่พยายามมาตลอดชีวิต แต่ยังทำไม่ได้
หลังการเลือกตั้ง 23 ธันวาคม 2550 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ประสบความสำเร็จตามที่ได้คาดการณ์ไว้ พรรคพลังประชาชนชนะการเลือกตั้งและเป็นแกนในการจัดตั้งรัฐบาล นายสมัคร สุนทรเวช ได้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีหลายต่อหลายตำแหน่งอยู่ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะให้ใครเป็น
อำนาจเกือบจะเบ็ดเสร็จเป็นของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เขาจึงเดินทางกลับประเทศไทย เขาสามารถเดินเข้าเดินออกประเทศไทยเป็นว่าเล่น โดยมีรัฐมนตรีหลายคนที่เป็นหนี้บุญคุณของเขาตั้งแต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และอีกหลายๆ รัฐมนตรีล้อมหน้าล้อมหลัง
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยถึงกับปวารณาตัวที่จะเป็นโฆษกแก้ต่างให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ทั้งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีคดีความที่จะต้องขึ้นพิสูจน์ตัวเองหลายคดี
เป็นคดีทุจริต ประพฤติมิชอบ
เมื่อการชุมนุมของประชาชนคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้มข้นขึ้น ก้าวสู่กระแสสูงขึ้น พรรคพลังประชาชนจึงหาทางที่จะถอดสลักด้วยการถอนชื่อจากญัตติการขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่กระนั้นก็ยังบอกว่า จะรวบรวมรายชื่อเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่อีกครั้ง
ถึงตอนนี้ก็สายไปแล้ว เพราะการต่อสู้ของประชาชนยกระดับขึ้นเป็นการขับไล่รัฐบาล และล้มระบอบทักษิณไปแล้ว
3-4 เดือนของรัฐบาลหุ่นนายสมัคร สุนทรเวช เป็น 3-4 เดือนของการสำรวมอยู่กับการรับใช้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยไม่สนใจปัญหาของประเทศชาติและประชาชน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาข้าวยากหมากแพง ปัญหาภาคใต้
3-4 เดือนจึงเป็น 3-4 เดือนที่สูญเปล่าของประเทศ ซ้ำมีแต่ที่จะทำให้ระบอบทักษิณแข็งแกร่งขึ้น
3-4 เดือนพวกเขาไม่สนใจความรู้สึกของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นการโยกย้ายข้าราชการในกระทรวงยุติธรรม กระทรวงสาธารณสุข หรือสำนักนายกรัฐมนตรี
เช่นเดียวกับที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่สนใจความรู้สึกของประชาชนในการขายหุ้นชินคอร์ปโดยไม่เสียภาษี และการปล่อยให้มีการทุจริตโครงการต่างๆ ในระหว่างที่เขาบริหารประเทศในช่วงเวลา 5-6 ปี
นายสมัคร สุนทรเวช ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง พูดอยู่เสมอว่า พวกเขามาจากการเลือกตั้ง
แต่เขาไม่ได้ส่องกระจกดูตัวตนที่แท้จริงของตัวว่า มีสภาพที่แท้จริงอย่างไร
ไม่รู้ตัวเลยว่า ตัวเป็นเพียงหุ่น ตลบตะแลง ปลิ้นปล้อน
และที่สำคัญไม่มีอำนาจสั่งการอันใดแล้ว.
ย้อนกลับไปดูเหตุการณ์ก่อนหน้าที่จะมีการชุมนุมของประชาชน เราก็จะพบว่า เกือบ 4 เดือนของการบริหารบ้านเมืองของรัฐบาลหุ่นนายสมัคร สุนทรเวช เป็นตลอดเวลา 4 เดือนที่ได้มีการเตือน และคัดค้านความพยายามที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญใน 2 ประเด็นสำคัญดังกล่าวตลอดมา แต่เพราะความไม่ต้องการที่จะพิสูจน์ตัวเองในศาลสถิตยุติธรรมทั้งที่ปากแข็งตลอดมาว่า พร้อมที่จะพิสูจน์ข้อเท็จจริงในศาล ทำให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคไทยรักไทยที่กลายสภาพมาเป็นพรรคพลังประชาชนจำเป็นที่จะต้องทำงานรับใช้นายที่แท้จริงของเขา จนกระทั่งแม้นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีหุ่นต้องพลิกลิ้นกลายเป็นคนกลับกลอก เชื่อถือไม่ได้
นายกรัฐมนตรีหุ่นนายสมัคร สุนทรเวช เมื่อแรกที่มารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีบอกว่า จะแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ต่อเมื่อเหลือเวลาในการบริหารสัก 2-3 เดือน แต่มาถึงตอนนี้กลายเป็นความเร่งด่วนที่จะต้องทำ
เพราะนายยงยุทธ ติยะไพรัช รองหัวหน้าพรรคถูกดำเนินคดี และอาจจะนำไปสู่การยุบพรรค และจะทำให้นายสมัคร สุนทรเวช ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคติดร่างแหไปด้วย และที่สำคัญคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่อยากขึ้นศาล อยากจะเป็นผู้บริสุทธิ์ และได้ทรัพย์สินที่ถูก คตส.อายัดไว้คืน ทำให้พวกเขาเร่งวันเร่งคืนที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยเอานายชัย ชิดชอบ มาเป็นประธานสภาฯ แทนนายยงยุทธ ไม่สนใจเสียงคัดค้านว่า นายชัย ชิดชอบ มีคดีรุกที่การรถไฟฯ และสติปัญญาความรู้ ความสามารถ ไม่น่าที่จะดำรงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรได้ พวกเขาก็ไม่สนใจรวบรวมรายชื่อเสนอญัตติขอแก้ไขรัฐธรรมนูญจนได้
จนกระทั่งพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยร่วมกับประชาชนทั้งหลายที่ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญออกมาคัดค้าน และพัฒนาไปสู่การเรียกร้องให้รัฐบาลหุ่นนายสมัคร สุนทรเวช ลาออกและหาทางที่จะต้องล้มระบอบทักษิณให้พ้นไปจากประเทศไทย
เพราะต้นตอปัญหาของประเทศ คือ ระบอบทักษิณ และรัฐบาลที่เป็นตัวแทนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ไม่อาจจะแก้ปัญหาด้วยวิธีอื่น
หลังจากที่หมดอำนาจไปเพราะรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็เฝ้ารอคอยตลอดมาว่า การที่จะกลับมามีอำนาจได้อีกครั้ง ก็ต้องใช้วิธีการเลือกตั้งเท่านั้น
และเขาก็ทำได้จริงๆ
เพราะ 1. สามารถรวบรวมสมาชิกพรรคไทยรักไทยมาจัดตั้งพรรคใหม่เป็นพรรคพลังประชาชน 2. สามารถเกลี้ยกล่อมให้นายสมัคร สุนทรเวช มาเป็นหัวหน้าพรรค เพราะนายสมัครเองก็ดีดลูกคิดรางแก้วว่า คราวนี้อาจจะได้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมความตั้งใจ หลังจากที่พยายามมาตลอดชีวิต แต่ยังทำไม่ได้
หลังการเลือกตั้ง 23 ธันวาคม 2550 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ประสบความสำเร็จตามที่ได้คาดการณ์ไว้ พรรคพลังประชาชนชนะการเลือกตั้งและเป็นแกนในการจัดตั้งรัฐบาล นายสมัคร สุนทรเวช ได้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีหลายต่อหลายตำแหน่งอยู่ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะให้ใครเป็น
อำนาจเกือบจะเบ็ดเสร็จเป็นของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เขาจึงเดินทางกลับประเทศไทย เขาสามารถเดินเข้าเดินออกประเทศไทยเป็นว่าเล่น โดยมีรัฐมนตรีหลายคนที่เป็นหนี้บุญคุณของเขาตั้งแต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และอีกหลายๆ รัฐมนตรีล้อมหน้าล้อมหลัง
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยถึงกับปวารณาตัวที่จะเป็นโฆษกแก้ต่างให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ทั้งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีคดีความที่จะต้องขึ้นพิสูจน์ตัวเองหลายคดี
เป็นคดีทุจริต ประพฤติมิชอบ
เมื่อการชุมนุมของประชาชนคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้มข้นขึ้น ก้าวสู่กระแสสูงขึ้น พรรคพลังประชาชนจึงหาทางที่จะถอดสลักด้วยการถอนชื่อจากญัตติการขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่กระนั้นก็ยังบอกว่า จะรวบรวมรายชื่อเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่อีกครั้ง
ถึงตอนนี้ก็สายไปแล้ว เพราะการต่อสู้ของประชาชนยกระดับขึ้นเป็นการขับไล่รัฐบาล และล้มระบอบทักษิณไปแล้ว
3-4 เดือนของรัฐบาลหุ่นนายสมัคร สุนทรเวช เป็น 3-4 เดือนของการสำรวมอยู่กับการรับใช้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยไม่สนใจปัญหาของประเทศชาติและประชาชน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาข้าวยากหมากแพง ปัญหาภาคใต้
3-4 เดือนจึงเป็น 3-4 เดือนที่สูญเปล่าของประเทศ ซ้ำมีแต่ที่จะทำให้ระบอบทักษิณแข็งแกร่งขึ้น
3-4 เดือนพวกเขาไม่สนใจความรู้สึกของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นการโยกย้ายข้าราชการในกระทรวงยุติธรรม กระทรวงสาธารณสุข หรือสำนักนายกรัฐมนตรี
เช่นเดียวกับที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่สนใจความรู้สึกของประชาชนในการขายหุ้นชินคอร์ปโดยไม่เสียภาษี และการปล่อยให้มีการทุจริตโครงการต่างๆ ในระหว่างที่เขาบริหารประเทศในช่วงเวลา 5-6 ปี
นายสมัคร สุนทรเวช ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง พูดอยู่เสมอว่า พวกเขามาจากการเลือกตั้ง
แต่เขาไม่ได้ส่องกระจกดูตัวตนที่แท้จริงของตัวว่า มีสภาพที่แท้จริงอย่างไร
ไม่รู้ตัวเลยว่า ตัวเป็นเพียงหุ่น ตลบตะแลง ปลิ้นปล้อน
และที่สำคัญไม่มีอำนาจสั่งการอันใดแล้ว.