นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา ผู้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)ให้ตรวจสอบกรณีนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม จัดรายการ “ชิมไปบ่นไป” และ รายการ “ยกโขยงหกโมงเช้า” ให้สัมภาษณ์ วานนี้ (22 พ.ค.) ว่า วันนี้ตนได้ส่งหนังสือถึงกกต.อีก 1 ฉบับ เพื่อให้ข้อมูล เพิ่มเติมเรื่องการเป็นพิธีกรกิตติมศักดิ์ของนายสมัครในรายการ ชิมไปบ่นไป โดยได้แนบบทสัมภาษณ์ของนายสมัคร ในหัวข้อ สมัคร สุนทรเวช ผู้ว่าราชการกทม. เปิดบ้านส่วนตัวและบ้านเพื่อชาวกทม.กับนิตยสารสกุลไทย ฉบับที่ 2453 ปีที่ 47 ประจำวันอังคารที่ 23 ต.ค. 2544 ซึ่งเป็นช่วงที่นายสมัคร ยังดำรงตำแหน่ง ผู้ว่าฯ กทม.
ซึ่งบทสัมภาษณ์นั้นนายสมัครยอมรับเองว่าการทำหน้าที่พิธีกรกิตติมศักดิ์ ในรายการ ชิมไปบ่นไป ที่ออกอากาศทุกวันเสาร์ เวลา 10.30 น.-11.00 น. ทางไอทีวี ผลิตรายการโดยบริษัท เฟส มีเดียนั้น เป็นเงินเดือนๆ ละ 8 หมื่นบาท ก็บริจาคให้กองทุนสุนัขและแมวจรจัด สังกัด กทม. เพื่อทำหมันและใส่ปลอกคอสีเขียว
นายเรืองไกร กล่าวอีกว่า บทสัมภาษณ์นี้เป็นการตอบคำถามของนายสมัครที่พูดในรายการ สนทนาประสาสมัคร เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาได้ดีว่าเป็นอย่างไร ใช่ค่าน้ำมันรถ หรือค่าอะไรตอบแทนเป็นคราวๆ ที่เรียกว่ารับจ้างหรือไม่ ซึ่งหากนับต่อเนื่องจากปี 2544 มาจนถึงช่วงที่นายสมัครเป็นนายกรัฐมนตรีในตอนนี้ ก็เป็นเวลา 7 ปีเศษแล้ว ที่นายสมัครได้ดำเนินการเป็นพิธีกรกิตติมศักดิ์ให้กับบริษัทดังกล่าว
ดังนั้น เป็นเครื่องบ่งบอกได้ดีว่ามีพฤติกรรมที่ทำให้บริษัทดังกล่าวมีผลกำไร มาอย่างต่อเนื่อง จึงอยากให้ กกต.ได้พิจารณาถึงเนื้อหาและพฤติกรรมที่ผ่านมา อย่างต่อเนื่องตลอด 7 ปีเศษที่ผ่านมา นอกจากนี้ ตนกำลังทำเรื่องเพื่อขอข้อมูลของ บริษัท เฟซ มีเดีย จำกัด จากกรมพัฒนาธุรกิจ กระทรวงพาณิชย์ เพื่อจะนำมาตรวจสอบข้อมูลในเชิงลึกต่อไป
แม้วปัดชวนประภัตรตั้งพรรค
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ปฎิเสธข่าวที่ว่าการได้พบกับนายประภัตร โพธสุธน เลขาธิการพรรคชาติไทย เพื่อขอพบนายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยเพื่อหารือถึงการตั้งพรรคการเมืองหากพรรคถูกยุบโดยให้ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นหัวหน้าพรรค โดยยืนยันว่าการพบกับนายประภัตร คุยกันแต่เรื่องชาวนาและเกษตรกร
พล.ต.สนั่น ขจรประศาสตร์ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทย กล่าวว่าไม่ทราบว่าการที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หารือกับนายประภัตร โพธสุธน เลขาธิการพรรคชาติไทย เพื่อตั้งพรรคการเมืองใหม่หากถูกยุบพรรค โดยจะทาบทาม พล.อ.ชวลิตร ยงใจยุทธ มาเป็นหัวหน้าพรรค และให้นายประภัตร เป็นเลขาธิการพรรคฯ จริงหรือไม่ แต่คิดว่าเป็นความคิดที่ดีหากจะตั้งพรรคใหม่
พปช.ไม่เชื่อแม้วดึงชท.-มฌ.ตั้งพรรค
นายสมาน เลิศวงศ์รัตน์ นายทะเบียนและกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน ปฏิเสธกรณีที่มีรายงานข่าวว่าการพบกันระหว่างพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและนายประภัตร โพธสุธน เลขาธิการพรรคชาติไทยเพื่อหารือตั้งพรรคการเมืองใหม่ร่วมกันหากพรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทยและพรรคมัชฌิมาธิปไตยถูกยุบ โดยสนับสนุนพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นหัวหน้าพรรค ว่า ไม่เป็นความจริงอย่างแน่นอน และไม่เคยมีการหารือเรื่องนี้ในพรรคพลังประชาชน พรรคยังสนับสนุนนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรีและเป็นหัวหน้าพรรคต่อไป
สำหรับกระบวนการยุบพรรคยังไม่เกิดขึ้น ทำไมต้องไปคิดไกลขนาดนั้น พรรคพลังประชาชนเป็นพรรคใหญ่และเลือกตั้งอีกครั้งเราก็จะได้ส.ส.มากกว่า ที่มีอยู่ด้วยซ้ำไป เรื่องการรวมตัวตั้งพรรคจึงไม่ใช่ประเด็น หรือถ้า พ.ต.ท.ทักษิณ และนายประพัตรจะหารือกันก็มีแค่ 2 คน คงไม่มีใครได้ยินแต่ส่วนตัวไม่เชื่อว่าจะคุยเรื่องนี้กัน
ส่วนในอนาคตหากถูกยุบพรรคจะร่วมตั้งพรรคกับชาติไทยและพรรคมัชฌิมา หรือไม่นั้น นายสมาน กล่าวว่า การตั้งสมมุติฐานว่า 3 พรรคถูกยุบแล้วมารวมตัวกันเป็นอนาคตที่ไกลมาก ควรรอให้คดีสิ้นสุดเสียก่อน แต่ตนคิดว่าส.ส.พรรคชาติไทย มีประสบการณ์มาเยอะและเป็นพรรคใหญ่เขาคงไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
อย่างไรก็ตาม ตนยอมรับว่าพรรคพลังประชาชนได้เตรียมพรรคสำรองไว้แล้ว ซึ่งมีมากกว่า 1 พรรค เนื่องจากกระบวนการยุบพรรคเกิดขึ้นง่ายเกินไป จึงต้องเตรียม พร้อมทุกอย่าง ทั้งนี้แม้พรรคพลังประชาชนจะเช่าอาคารของคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยาอดีตนายกรัฐมนตรีเป็นที่ทำการพรรค แต่ยืนยันว่าพ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมานไม่เคยเข้ามายุ่งเกี่ยวแม้แต่การส่งสัญญาณก็ไม่มี
ด้านนายศุภชัย โพธิ์สุ ส.ส.นครพนม พรรคพลังประชาชน กล่าวว่า ตนไม่ทราบ ข้อมูลเรื่องการตั้งพรรคใหม่และสนับสนุนพล.อ.ชวลิต เป็นหัวหน้าพรรค เพราะหลังจาก ที่พล.อ.ชวลิต ประกาศวางมือทางการเมือง ก็เป็นเวลานานแล้วที่ไม่มีโอกาสได้พูดคุยกัน ส่วนข่าวพล.อ.ชวลิต จะกลับมาเล่นการเมืองตนก็ไม่เคยทราบ ได้แต่ทราบจากสื่อ
ชท.ระบุผลวินิจฉัยอสส.ตรงกับพรรค
นายอนุรักษ์ จุรีมาศ รมช.คมนาคม ในฐานะรองหัวหน้าพรรคชาติไทยและผู้ประสานงานทีมกฎหมายของพรรค กล่าวถึงกรณีอัยการสูงสุด (อสส.) มีความเห็น ให้สอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติมสำนวนคดียุบพรรคชาติไทยและพรรคมัชฌิมาธิปไตยว่า อัยการสูงสุดยังไม่ได้ชี้ชัดสำนวนว่าจะยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ เพราะเห็นว่าข้อเท็จจริงในการยุบพรรคยังมีความไม่ชัดเจน และยังไม่ครอบคลุมมากพอที่จะมีการในการส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาตัดสินยุบพรรค ซึ่งเทียบแล้วก็จะไม่แตกต่างไปจากกรณีคดีหวยบนดิน ที่อัยการสูงสุดมีความเห็นให้สอบสวน ข้อมูลเพิ่มเติม
นายอนุรักษ์ กล่าว่า หาก คตส. ส่งสำนวนฟ้องให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญา ผู้ดำรงตำแหน่ง ทางการเมืองเองก็จะเท่ากับเกิดการคำถามเรื่องการตีความทันทีว่า เมื่ออัยการยังไม่ได้ชี้ชัดว่าจะส่งเรื่องฟ้องหรือไม่ แต่คตส.ใช้อำนาจของ ป.ป.ช. ชิงสรุปส่งเรื่อง ให้ศาลเองทำได้หรือไม่ ดังนั้นขั้นตอนนี้ จึงยังไม่ถึงเรื่องการตีกลับสำนวน เพื่อขอให้มีการตั้งคณะกรรมการร่วมระหว่าง กกต. กับอัยการ ตามมาตรา 95 ของพ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง เพราะต้องขึ้นอยู่กับทางกกต. ว่ามีความเห็นอย่างไร ต่อการที่อัยการมีความเห็นให้ไปในกรณีนี้เช่นจะทำสำนวนส่งขึ้นมาใหม่ หรือจะส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญเอง ก็คงต้องดูต่อไป
“เรื่องนี้ เป็นไปตามที่ทีมกฎหมายพรรคชาติไทยมองไว้และได้หารือกฎหมายกันไว้แล้ว เพราะการยุบพรรคการเมืองเป็นการใช้กฎหมายคนละฉบับกับการให้ใบแดง นายมณเฑียร สงฆ์ประชา ผู้สมัครส.ส.ชัยนาท พรรคชาติไทย การยุบพรรค เป็นเรื่องใหญ่ได้รับผลกระทบกับกรรมการบริหารพรรคทุกคน ดังนั้นเพียงแค่มูลความผิดอันเชื่อได้ว่า ที่กกต.ใช้ทำสำนวนนั้น ย่อมไม่เพียงพอกับการไต่สวนในชั้นศาลของรัฐธรรมนูญแน่”
ซึ่งบทสัมภาษณ์นั้นนายสมัครยอมรับเองว่าการทำหน้าที่พิธีกรกิตติมศักดิ์ ในรายการ ชิมไปบ่นไป ที่ออกอากาศทุกวันเสาร์ เวลา 10.30 น.-11.00 น. ทางไอทีวี ผลิตรายการโดยบริษัท เฟส มีเดียนั้น เป็นเงินเดือนๆ ละ 8 หมื่นบาท ก็บริจาคให้กองทุนสุนัขและแมวจรจัด สังกัด กทม. เพื่อทำหมันและใส่ปลอกคอสีเขียว
นายเรืองไกร กล่าวอีกว่า บทสัมภาษณ์นี้เป็นการตอบคำถามของนายสมัครที่พูดในรายการ สนทนาประสาสมัคร เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาได้ดีว่าเป็นอย่างไร ใช่ค่าน้ำมันรถ หรือค่าอะไรตอบแทนเป็นคราวๆ ที่เรียกว่ารับจ้างหรือไม่ ซึ่งหากนับต่อเนื่องจากปี 2544 มาจนถึงช่วงที่นายสมัครเป็นนายกรัฐมนตรีในตอนนี้ ก็เป็นเวลา 7 ปีเศษแล้ว ที่นายสมัครได้ดำเนินการเป็นพิธีกรกิตติมศักดิ์ให้กับบริษัทดังกล่าว
ดังนั้น เป็นเครื่องบ่งบอกได้ดีว่ามีพฤติกรรมที่ทำให้บริษัทดังกล่าวมีผลกำไร มาอย่างต่อเนื่อง จึงอยากให้ กกต.ได้พิจารณาถึงเนื้อหาและพฤติกรรมที่ผ่านมา อย่างต่อเนื่องตลอด 7 ปีเศษที่ผ่านมา นอกจากนี้ ตนกำลังทำเรื่องเพื่อขอข้อมูลของ บริษัท เฟซ มีเดีย จำกัด จากกรมพัฒนาธุรกิจ กระทรวงพาณิชย์ เพื่อจะนำมาตรวจสอบข้อมูลในเชิงลึกต่อไป
แม้วปัดชวนประภัตรตั้งพรรค
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ปฎิเสธข่าวที่ว่าการได้พบกับนายประภัตร โพธสุธน เลขาธิการพรรคชาติไทย เพื่อขอพบนายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยเพื่อหารือถึงการตั้งพรรคการเมืองหากพรรคถูกยุบโดยให้ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นหัวหน้าพรรค โดยยืนยันว่าการพบกับนายประภัตร คุยกันแต่เรื่องชาวนาและเกษตรกร
พล.ต.สนั่น ขจรประศาสตร์ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทย กล่าวว่าไม่ทราบว่าการที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หารือกับนายประภัตร โพธสุธน เลขาธิการพรรคชาติไทย เพื่อตั้งพรรคการเมืองใหม่หากถูกยุบพรรค โดยจะทาบทาม พล.อ.ชวลิตร ยงใจยุทธ มาเป็นหัวหน้าพรรค และให้นายประภัตร เป็นเลขาธิการพรรคฯ จริงหรือไม่ แต่คิดว่าเป็นความคิดที่ดีหากจะตั้งพรรคใหม่
พปช.ไม่เชื่อแม้วดึงชท.-มฌ.ตั้งพรรค
นายสมาน เลิศวงศ์รัตน์ นายทะเบียนและกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน ปฏิเสธกรณีที่มีรายงานข่าวว่าการพบกันระหว่างพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและนายประภัตร โพธสุธน เลขาธิการพรรคชาติไทยเพื่อหารือตั้งพรรคการเมืองใหม่ร่วมกันหากพรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทยและพรรคมัชฌิมาธิปไตยถูกยุบ โดยสนับสนุนพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นหัวหน้าพรรค ว่า ไม่เป็นความจริงอย่างแน่นอน และไม่เคยมีการหารือเรื่องนี้ในพรรคพลังประชาชน พรรคยังสนับสนุนนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรีและเป็นหัวหน้าพรรคต่อไป
สำหรับกระบวนการยุบพรรคยังไม่เกิดขึ้น ทำไมต้องไปคิดไกลขนาดนั้น พรรคพลังประชาชนเป็นพรรคใหญ่และเลือกตั้งอีกครั้งเราก็จะได้ส.ส.มากกว่า ที่มีอยู่ด้วยซ้ำไป เรื่องการรวมตัวตั้งพรรคจึงไม่ใช่ประเด็น หรือถ้า พ.ต.ท.ทักษิณ และนายประพัตรจะหารือกันก็มีแค่ 2 คน คงไม่มีใครได้ยินแต่ส่วนตัวไม่เชื่อว่าจะคุยเรื่องนี้กัน
ส่วนในอนาคตหากถูกยุบพรรคจะร่วมตั้งพรรคกับชาติไทยและพรรคมัชฌิมา หรือไม่นั้น นายสมาน กล่าวว่า การตั้งสมมุติฐานว่า 3 พรรคถูกยุบแล้วมารวมตัวกันเป็นอนาคตที่ไกลมาก ควรรอให้คดีสิ้นสุดเสียก่อน แต่ตนคิดว่าส.ส.พรรคชาติไทย มีประสบการณ์มาเยอะและเป็นพรรคใหญ่เขาคงไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
อย่างไรก็ตาม ตนยอมรับว่าพรรคพลังประชาชนได้เตรียมพรรคสำรองไว้แล้ว ซึ่งมีมากกว่า 1 พรรค เนื่องจากกระบวนการยุบพรรคเกิดขึ้นง่ายเกินไป จึงต้องเตรียม พร้อมทุกอย่าง ทั้งนี้แม้พรรคพลังประชาชนจะเช่าอาคารของคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยาอดีตนายกรัฐมนตรีเป็นที่ทำการพรรค แต่ยืนยันว่าพ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมานไม่เคยเข้ามายุ่งเกี่ยวแม้แต่การส่งสัญญาณก็ไม่มี
ด้านนายศุภชัย โพธิ์สุ ส.ส.นครพนม พรรคพลังประชาชน กล่าวว่า ตนไม่ทราบ ข้อมูลเรื่องการตั้งพรรคใหม่และสนับสนุนพล.อ.ชวลิต เป็นหัวหน้าพรรค เพราะหลังจาก ที่พล.อ.ชวลิต ประกาศวางมือทางการเมือง ก็เป็นเวลานานแล้วที่ไม่มีโอกาสได้พูดคุยกัน ส่วนข่าวพล.อ.ชวลิต จะกลับมาเล่นการเมืองตนก็ไม่เคยทราบ ได้แต่ทราบจากสื่อ
ชท.ระบุผลวินิจฉัยอสส.ตรงกับพรรค
นายอนุรักษ์ จุรีมาศ รมช.คมนาคม ในฐานะรองหัวหน้าพรรคชาติไทยและผู้ประสานงานทีมกฎหมายของพรรค กล่าวถึงกรณีอัยการสูงสุด (อสส.) มีความเห็น ให้สอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติมสำนวนคดียุบพรรคชาติไทยและพรรคมัชฌิมาธิปไตยว่า อัยการสูงสุดยังไม่ได้ชี้ชัดสำนวนว่าจะยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ เพราะเห็นว่าข้อเท็จจริงในการยุบพรรคยังมีความไม่ชัดเจน และยังไม่ครอบคลุมมากพอที่จะมีการในการส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาตัดสินยุบพรรค ซึ่งเทียบแล้วก็จะไม่แตกต่างไปจากกรณีคดีหวยบนดิน ที่อัยการสูงสุดมีความเห็นให้สอบสวน ข้อมูลเพิ่มเติม
นายอนุรักษ์ กล่าว่า หาก คตส. ส่งสำนวนฟ้องให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญา ผู้ดำรงตำแหน่ง ทางการเมืองเองก็จะเท่ากับเกิดการคำถามเรื่องการตีความทันทีว่า เมื่ออัยการยังไม่ได้ชี้ชัดว่าจะส่งเรื่องฟ้องหรือไม่ แต่คตส.ใช้อำนาจของ ป.ป.ช. ชิงสรุปส่งเรื่อง ให้ศาลเองทำได้หรือไม่ ดังนั้นขั้นตอนนี้ จึงยังไม่ถึงเรื่องการตีกลับสำนวน เพื่อขอให้มีการตั้งคณะกรรมการร่วมระหว่าง กกต. กับอัยการ ตามมาตรา 95 ของพ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง เพราะต้องขึ้นอยู่กับทางกกต. ว่ามีความเห็นอย่างไร ต่อการที่อัยการมีความเห็นให้ไปในกรณีนี้เช่นจะทำสำนวนส่งขึ้นมาใหม่ หรือจะส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญเอง ก็คงต้องดูต่อไป
“เรื่องนี้ เป็นไปตามที่ทีมกฎหมายพรรคชาติไทยมองไว้และได้หารือกฎหมายกันไว้แล้ว เพราะการยุบพรรคการเมืองเป็นการใช้กฎหมายคนละฉบับกับการให้ใบแดง นายมณเฑียร สงฆ์ประชา ผู้สมัครส.ส.ชัยนาท พรรคชาติไทย การยุบพรรค เป็นเรื่องใหญ่ได้รับผลกระทบกับกรรมการบริหารพรรคทุกคน ดังนั้นเพียงแค่มูลความผิดอันเชื่อได้ว่า ที่กกต.ใช้ทำสำนวนนั้น ย่อมไม่เพียงพอกับการไต่สวนในชั้นศาลของรัฐธรรมนูญแน่”