ทีมโฆษก ปชป.ย้ำการยื่นหนังสือถึง “สมัคร” เพื่อให้ตรวจสอบทัศนคติอันตราย “เจ๊เพ็ญ” เตรียมยื่นถอดถอนตอกย้ำอีกรอบพุธนี้ จับโกหก “พลังแม้ว” สารภาพล่อนจ้อนแก้ รธน.เพื่อตัวเอง ชงประเด็นยุบสภาเพียงหวังขู่พรรคร่วม
วันนี้ (18 พ.ค.) นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการยื่นหนังสือถึงนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ให้พิจารณาคำปราศรัยของนายจักรภพ เพ็ญแข รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อต้องการให้เห็นถึงพฤติกรรมและทัศนคติ แนวความคิดที่ถือเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพราะหากพิจารณาในเนื้อหาและแปลความออกมาแล้วสื่อความหมายได้อย่างชัดเจน นอกจากจะพูดเป็นภาษาอังกฤษแล้วยังได้พูดเป็นภาษาไทยให้คนไทยฟังที่แอลเอด้วย ซึ่งคำปราศรัยล้วนสร้างความไม่สบายใจ และวิตกอย่างยิ่งว่าไม่ใช่จะมีทัศนคติที่เป็นอันตรายอย่างเดียว แต่มีเป้าหมายอื่นแฝงเร้นหรือไม่
นายองอาจ กล่าวว่า การยื่นหนังสือดังกล่าวไม่เกี่ยวกับการยื่นถอดถอนนายจักรภพออกจากตำแหน่ง เพราะพรรคไม่ประสงค์จะให้นายกฯ พิจารณาให้รัฐมนตรีคนใดพ้นตำแหน่ง และไม่ต้องการให้เกิดความเข้าใจผิดว่าพรรคมีเป้าหมายเพื่อล้มรัฐบาล หรือไปก่อให้เกิดปัญหาในการทำงานของรัฐบาลแต่อย่างใด โดยยังให้โอกาสรัฐบาลทำงานต่อไป แม้ช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาการทำงานของรัฐบาลจะอยู่ในขั้นสอบตกก็ตาม
“อยากให้คนในรัฐบาลแยกแยะประเด็นให้ชัดเจนว่า การยื่นหนังสือถึงนายกฯ เป็นเรื่องเกี่ยวกับพฤติกรรม ส่วนการยื่นถอดถอนเป็นเรื่องของการบริหารราชการแผ่นดินที่เห็นว่าไม่สมควรให้บริหารต่อไปเราจึงได้รวบรวมข้อมูลต่างๆ ให้แก่หน่วยงานที่มีหน้าที่พิจารณาถอดถอนตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ โดยพรรคจะมีการยื่นถอดถอนในวันที่ 21 พ.ค.นี้แน่นอน”
นายองอาจยังกล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.ท.กานต์ เทียนแก้ว รองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน ออกมาระบุว่า การแก้รัฐธรรมนูญไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะจะมีการต่อต้านมาก ง่ายที่สุดควรยุบสภาแล้วเลือกตั้งใหม่ โดยพรรคพลังประชาชนจะชูนโยบายการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าจะเลือกฝ่ายที่ต้องการแก้ไขเพื่อให้เป็นประชาธิปไตย หรือต้องการเลือกฝ่ายที่ต้องการรักษารัฐธรรมนูญฉบับนี้ต่อไปว่า ไม่ควรเอาเงื่อนไขการยุบสภามาเกี่ยวข้อง เพราะขณะนี้ไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะนำไปสู่การยุบสภา เพราะการทำงานในสภาแม้รัฐบาลไม่ได้เสนอร่างกฎหมายเข้ามาแม้แต่ฉบับเดียว หรือไม่มีการตั้งคณะกรรมาธิการสามัญใดๆ เนื่องจากมีความขัดแย้งกันภายในของพรรคพลังประชาชนเอง แต่สภาก็ไม่ได้เกิดปัญหาอะไรที่จะนำไปสู่การไม่สามารถทำหน้าที่ของสมาชิกได้ ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่จะยุบสภา
“พลังประชาชนไม่ควรยุบสภาเพื่อแก้ปัญหาตัวเอง ถ้าจะชูประเด็นนี้หาเสียง เราก็พร้อมจะชูนโยบายว่าจะเลือกพรรคที่มุ่งแก้รัฐธรรมนูญโดยไม่สนใจแก้ปัญหาปากท้องของประชาชน หรือจะเลือกพรรคที่มุ่งแก้ปัญหาปากท้องประชาชนก่อนจะแก้รัฐธรรมนูญ เชื่อว่าสังคมจะได้คิดว่าจะเลือกพรรคที่มุ่งทำงานเพื่อนายใหญ่ หรือทำเพื่อชาวบ้าน แต่ผมเชื่อว่าเวลานี้ไม่มีอะไรที่จะนำไปสู่การยุบสภา ดังนั้น อย่าเอามาข่มขู่พรรคร่วมรัฐบาล หรือพรรคฝ่ายค้าน เพราะเราไม่ตกใจกับการยุบสภาหรือเลือกตั้งใหม่ และเชื่อว่าพลังประชาชนต้องการข่มขู่พรรคร่วมรัฐบาลให้สนับสนุนการแก้รัฐธรรมนูญมากกว่า”
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ยังกล่าวว่า นอกจากนี้ พ.ต.กานต์ ยังระบุว่าหากมีการยุบพรรคพลังประชาชนจะมีคนถูกตัดสิทธิหลายคน จึงควรแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 237 คำพูดนี้ชี้ชัดว่า การเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคพลังประชาชนเพื่อหนีการถูกยุบพรรคชัดเจน เพราะจะนำไปสู่การพิจารณาว่าจะยุบหรือไม่ยุบได้ เท่ากับเป็นการออกมาเปิดโปงตัวเองอย่างล่อนจ้อนว่าต้องการอะไร แต่ถึงแม้นักการเมืองบางส่วนจะถูกตัดสิทธิไปก็ไม่ได้กระทบต่อการบริหารบ้านเมือง เพราะโครงสร้างก็ยังเหมือนเดิม ยังสามารถเลือกตั้งใหม่เข้มมาทดแทน พรรคพลังประชาชนอาจจะไปตั้งพรรคใหม่แล้วกลับเข้ามาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล โดยพรรคร่วมก็อาจจะยังเป็นเหมือนเดิม ที่ผ่านมากรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย 111 คนถูกตัดสิทธิ ระบอบประชาธิปไตยก็ยังเดินหน้าไปได้ ดังนั้น อย่าเอาเรื่องพวกนี้มาเป็นข้ออ้าง เพราะเหตุผลล้วนแต่ฟังไม่ขึ้นจะเป็นการสร้างความสับสนมากกว่า
ด้าน นายสาธิต ปิตุเตชะ รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่โฆษกปะจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุว่าอุปสรรคการทำงานของรัฐบาลคือการที่นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีต้องเสียเวลาไปตอบกระทู้ในสภาแทนที่จะนั่งทำงานว่า ขอฝากเรียนกลับไปยังนายกฯ ว่า ควรอบรมโฆษกรัฐบาลให้เข้าใจถึงการทำงานของสภาว่าการถามกระทู้เป็นสิทธิของ ส.ส.ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 156 และมีหลักการชัดเจนว่าเป็นหน้าที่ของผู้แทนที่ต้องสะท้อนปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนเข้ามาสู่การแก้ไขเพื่อให้ผู้บริหารรับฟัง ตนไม่ทราบว่าโฆษกรัฐบาลไปอยู่ประเทศไหนมาจึงไม่รู้เรื่องนี้ และเป็นหน้าที่ของรัฐมนตรีทุกคนต้องให้ความสำคัญ ตั้งแต่มีรัฐธรรมนูญมา สภาก็ปฏิบัติกันมาตลอด
“โฆษกรัฐบาลควรกลับไปศึกษาการทำงานระบบรัฐสภา มากกว่าออกมาพูดเรื่องที่ไม่เป็นสาระ เพราะจะยิ่งสร้างผลกระทบด้านลบต่อรัฐบาลมากขึ้น” นายสาธิต กล่าว