ต้องยอมรับว่าภายในเดือนเมษายน-พฤษภาคมนี้ ส่อเค้าว่าเป็นช่วงที่อุณหภูมิความร้อนได้พุ่งสูงขึ้น เข้าขั้นองศาเดือดเข้าไปทุกทีแล้ว โดยเฉพาะอุณภูมิทางการเมืองที่กำลังไต่ระดับพุ่งสูงปรี๊ดขึ้นไปทุกขณะ จนหวั่นกันว่าถ้าไม่หาทางลดดีกรีลงมา โอกาสปรอทแตกก็เกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
นับตั้งแต่พรรคพลังประชาชนเดินเครื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญบางมาตราอย่างรวบรัด ตั้งเป้าให้แล้วเสร็จภายใน 1-3 เดือน เล่นกันประเภทม้วนเดียวจบ ไม่แคร์สายตาคนทั้งบ้านทั้งเมืองว่าจะส่งเสียงโวยวายทักท้วงอย่างไร
เดินหน้าอ้างเสียงข้างมากในสภา มาจากการเลือกตั้งตามครรลอง ท่องคาถาประชาธิปไตยนำหน้ากันทั้งวัน เช้ายันค่ำ
ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาข้อมูลย้อนไปในอดีต หากมีการแก้ไข หรือร่างรัฐธรรมนูญเป็นอันต้องเกิดวิกฤตในสังคมเกิดขึ้นทุกครั้ง
ที่ผ่านมามักมีข้อถกเถียง หรือวิพากษ์กันถึงเรื่องหลักการประชาธิปไตย กับเผด็จการ ว่ากันโต้งๆ แม้จะ"หมกเม็ด" แต่ก็พอมองกันออก
อย่างไรก็ดีในการผลักดันแก้ไขรัฐธรรมนูญคราวนี้ นอกเหนือจากการถกเถียงในเรื่องหลักการเดิมๆ เช่นทุกครั้งแล้ว ยังเพิ่มเรื่องของผลประโยชน์ส่วนตัวของบรรดา “ขาใหญ่” และพวกพ้องเน้นกันเฉพาะบางรายเท่านั้น
ถ้าโฟกัสให้ตรงประเด็นก็คือ แก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อ “แม้ว” กับพรรคพวกไม่กี่คนนั่นแหละโดยมีการล็อกคอพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรค เช่น พรรคชาติไทย กับพรรคมัชฌิมาธิปไตย เป็นตัวประกัน
ใช้ประเด็นเรื่องคดียุบพรรคที่กำลังถูกคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ลากเอาคอขึ้นมาพาดเขียงมาหาแนวร่วมในคราวเดียวกันไปด้วย
อย่างไรก็ดี เพื่อให้เกิดภาพชัดเจน และรู้ทันที่มาที่ไป จะโฟกัสเฉพาะมาตราที่ พรรคพลังประชาชนกำลังเดินหน้าขอแก้ไข ชนิดหน้าดำคร่ำเครียดอยู่ในขณะนี้มีประมาณ 5 มาตรา คือ 163 ,190, 226, 237 และ 309
ขณะเดียวกันเพื่อป้องกันการเวียนหัวมึนงงกับการท่องจำสาระในแต่ละมาตรา ก็จะชี้ให้เห็นเฉพาะในภาพรวม และหลักการรวมทั้งจะชี้ให้เห็นถึงเล่ห์เหลี่ยมที่ซ่อนเอาไว้เบื้องหลังในการเคลื่อนไหวขอแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้
เริ่มจาก มาตรา 163 ก่อน หากพิเคราะห์กันให้ลึกๆแล้ว น่าจะเป็นอีกมาตราหนึ่งที่เป็นเป้าหมายสำคัญนั่นคือ เรื่องกำหนดให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่น้อยกว่า 1 หมื่นคน สามารถเสนอร่างพระราชบัญญัติต่อรัฐสภาได้ทุกประเภท โดยไม่มีข้อจำกัด จากเดิมที่ทำได้เฉพาะในหมวด 3 และหมวด 5 ว่าด้วยเรื่องสิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย และแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐเท่านั้น
หมายความว่า ต่อไปในอนาคตจะไม่มีหลักประกันอะไรเลยว่า หากถึงจังหวะเหมาะ พรรคพลังประชาชนจะเสนอร่างพระราชบัญญัติ เพื่อให้นิรโทษกรรมกับ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยทั้ง 111 คน ซึ่งในจำนวนนั้นรวม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นเป้าหมายหลักนั่นเอง
เปิดทางให้หวนคืนสู่อำนาจทางการเมือง เปิดทางกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง
แต่นั่นยังไม่ร้ายเท่ากับการแก้ไข มาตรา 309 ซึ่งเป็นการเสนอขอแก้ไขแบบฉับพลันทันด่วน เพื่อปกป้องไม่ให้ “นายใหญ่” ต้องเข้าคุกจากคดีทุจริตที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) กำลังทยอยสรุปส่งฟ้องศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เข้ามาเรื่อยๆ
บางคดีก็ขึ้นไปค้างอยู่ในศาลแล้ว ซึ่งศาลฎีกาฯ ดังกล่าวมีวิธีการที่แตกต่างจากกระบวนการศาลอื่นๆ คือใช้ระบบการใต่สวนเฉพาะนักการเมือง แค่ 4-5 เดือนก็รู้เรื่องไม่มีอุทธรณ์-ฎีกาใดๆ ทั้งสิ้น
ถ้าผิดก็ต้องติดคุก เร็วทันใจ
และที่สำคัญ เมื่อเข้าสู่กระบวนการในชั้นศาลมันควบคุมเกมได้ยากเสียด้วย ต้องรอลุ้น รอเสียวลูกเดียว
รับรู้กันไปแล้วว่า สาระสำคัญในการแก้ไข มาตรา 309 มีวัตถุประสงค์หลักคือ “ฟอกแม้ว” ให้พ้นผิดจากสารพัดคดีทุจริต
หมายความว่าต้องการให้คำสั่งของ คมช.(หรือคปค.) มิชอบ ส่งผลให้การดำเนินการสอบสวนของ คตส.เป็นโมฆะ กลายเป็นองค์กรเถื่อนทันที และในทางกลับกันยังเปิดช่องให้ “แม้ว” กับพวกพลิกกลับจากจำเลยในคดีโกงเป็นโจทก์ฟ้องร้องเอาคืนกับ คตส.ได้ทุกดอกเสียอีก
ทำให้อดีต 111 กรรมการบริหารไทยรักไทย ใช้เป็นช่องทางกลับคืนสู่การเมืองได้อีกรอบ
ส่วนมาตรา 237 แม้ในเบื้องต้นจะเป็นอีกมาตราหนึ่งที่ต้องผลักดันให้แก้ไข แต่ถ้าพิจารณาให้ละเอียดจะเห็นได้ว่า น่าจะเป็นเรื่องรอง ยังไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนเท่าใดนัก เพราะกว่าจะเข้าสู่การพิจารณาของตุลาการรัฐธรรมนูญ เพื่อพิจารณาคดียุบพรรค
ต้องใช้เวลากันอีกยาวนานเป็นปี หรือถ้าโชคร้ายถูกยุบพรรคจริงก็สามารถตั้งพรรคใหม่ได้ อีกทั้งพรรคร่วมรัฐบาล ก็น่าจะผนึกกำลังจัดตั้งรัฐบาลกันได้เหมือนเหมือนเดิม
การแก้ไขมาตรานี้ จึงน่าจะเป็นเป้าลวงเพื่อล่อให้ พรรคชาติไทยกับมัชฌิมาธิปไตย ที่กำลังลุ้นเรื่องนี้อยู่อย่างใจจดใจจ่อเข้ามาเป็นแนวร่วมโดยปริยาย
ดังนั้น ถ้าให้ฟันธงการแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคพลังประชาชนเที่ยวนี้ เน้นเฉพาะมาตรา 309 เพียงมาตราเดียว
เป้าหมายคือ ต้องการฟอก “แม้ว” ให้พ้นผิด สกัดกั้นไม่ให้ต้องถูกดำเนินคดีในศาล หรือป้องกันการ “ติดคุก”ในภายหน้า
เมื่อมีลุ้นได้เสียแบบนี้ มันก็ต้องเร่งทำ แข่งกับเวลาที่ไล่หลังเข้ามาทุกขณะ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่มีความพยายามเสนอแก้ไขแบบรวบรัด แบบม้วนเดียวจบ แค่ 1-3 เดือนเท่านั้น
นั่นเป็นเกมที่เล่นกันในสภา โดยอ้างกติกาเสียงข้างมาก
ขณะเดียวกันอีกมุมหนึ่งเมื่อมีการเสนอแก้ไขกับแบบนี้ก็ย่อมมีคนรู้ทัน และนำไปโพนทนาให้คนอื่นได้รับรู้ และรับรองว่า ถ้ามีการรับฟังแล้วรู้แจ้งเห็นจริงก็จะทำให้เกิดการต่อต้านขยายวงไปเรื่อยๆ
ขณะที่ฝ่าย “นายใหญ่” ก็ย่อมไม่นิ่งเฉย เพราะรู้ว่ามันเดิมพันสูงรู้กันอยู่แล้ว
และถ้าพิจารณาจากแบ็กกราวด์ในอดีตประกอบแล้ว คนอย่างเศรษฐีแสนล้าน ที่ยังมีทุกอย่างอยู่ในมือต้องเดินหน้าเต็มตัวแน่
ไม่เชื่อลองปะติดปะต่อกันแล้วจะเห็นว่าทุกอย่างมันเชื่อมโยงกัน ไม่ว่าจะเป็นการเดินสายขึ้นเหนือ-อีสาน แตะมือมวลชนเอาไว้ให้พร้อมสรรพ เตรียมรับศึกใหญ่ในช่วงหลังสงกรานต์ไปแล้ว
ดังนั้น นาทีนี้ถ้าประเมินทุกอย่างรอบด้านแล้วฟันธงได้ทันที การผลักดันแก้ไขรัฐธรรมนูญเที่ยวนี้ของพรรคพลังประชาชนมีวัตถุประสงค์เพียงเพื่อไม่ให้ “นายใหญ่” ต้องถูกดำเนินคดีในศาล ที่เสี่ยงต่อการติดคุก และริบทรัพย์สิน
แต่เพื่อให้การดำเนินการอย่างแนบเนียน ก็ต้อง ลับ-ลวง-พราง (ของจริง)เพื่อหาแนวร่วม แต่ขณะเดียวกันอีกทางหนึ่งก็ย่อมมีคนรู้ทัน และออกมายืนขวางกันมากขึ้นเรื่อยๆ
และนี่ไงถึงบอกว่า หลังสงกรานต์เป็นต้นไป อุณภูมิองศาเดือดแน่ ถ้าไม่รู้จักลดระดับดีกรีลงมาโอกาสระเบิดก็เกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ !!
นับตั้งแต่พรรคพลังประชาชนเดินเครื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญบางมาตราอย่างรวบรัด ตั้งเป้าให้แล้วเสร็จภายใน 1-3 เดือน เล่นกันประเภทม้วนเดียวจบ ไม่แคร์สายตาคนทั้งบ้านทั้งเมืองว่าจะส่งเสียงโวยวายทักท้วงอย่างไร
เดินหน้าอ้างเสียงข้างมากในสภา มาจากการเลือกตั้งตามครรลอง ท่องคาถาประชาธิปไตยนำหน้ากันทั้งวัน เช้ายันค่ำ
ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาข้อมูลย้อนไปในอดีต หากมีการแก้ไข หรือร่างรัฐธรรมนูญเป็นอันต้องเกิดวิกฤตในสังคมเกิดขึ้นทุกครั้ง
ที่ผ่านมามักมีข้อถกเถียง หรือวิพากษ์กันถึงเรื่องหลักการประชาธิปไตย กับเผด็จการ ว่ากันโต้งๆ แม้จะ"หมกเม็ด" แต่ก็พอมองกันออก
อย่างไรก็ดีในการผลักดันแก้ไขรัฐธรรมนูญคราวนี้ นอกเหนือจากการถกเถียงในเรื่องหลักการเดิมๆ เช่นทุกครั้งแล้ว ยังเพิ่มเรื่องของผลประโยชน์ส่วนตัวของบรรดา “ขาใหญ่” และพวกพ้องเน้นกันเฉพาะบางรายเท่านั้น
ถ้าโฟกัสให้ตรงประเด็นก็คือ แก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อ “แม้ว” กับพรรคพวกไม่กี่คนนั่นแหละโดยมีการล็อกคอพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรค เช่น พรรคชาติไทย กับพรรคมัชฌิมาธิปไตย เป็นตัวประกัน
ใช้ประเด็นเรื่องคดียุบพรรคที่กำลังถูกคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ลากเอาคอขึ้นมาพาดเขียงมาหาแนวร่วมในคราวเดียวกันไปด้วย
อย่างไรก็ดี เพื่อให้เกิดภาพชัดเจน และรู้ทันที่มาที่ไป จะโฟกัสเฉพาะมาตราที่ พรรคพลังประชาชนกำลังเดินหน้าขอแก้ไข ชนิดหน้าดำคร่ำเครียดอยู่ในขณะนี้มีประมาณ 5 มาตรา คือ 163 ,190, 226, 237 และ 309
ขณะเดียวกันเพื่อป้องกันการเวียนหัวมึนงงกับการท่องจำสาระในแต่ละมาตรา ก็จะชี้ให้เห็นเฉพาะในภาพรวม และหลักการรวมทั้งจะชี้ให้เห็นถึงเล่ห์เหลี่ยมที่ซ่อนเอาไว้เบื้องหลังในการเคลื่อนไหวขอแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้
เริ่มจาก มาตรา 163 ก่อน หากพิเคราะห์กันให้ลึกๆแล้ว น่าจะเป็นอีกมาตราหนึ่งที่เป็นเป้าหมายสำคัญนั่นคือ เรื่องกำหนดให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่น้อยกว่า 1 หมื่นคน สามารถเสนอร่างพระราชบัญญัติต่อรัฐสภาได้ทุกประเภท โดยไม่มีข้อจำกัด จากเดิมที่ทำได้เฉพาะในหมวด 3 และหมวด 5 ว่าด้วยเรื่องสิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย และแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐเท่านั้น
หมายความว่า ต่อไปในอนาคตจะไม่มีหลักประกันอะไรเลยว่า หากถึงจังหวะเหมาะ พรรคพลังประชาชนจะเสนอร่างพระราชบัญญัติ เพื่อให้นิรโทษกรรมกับ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยทั้ง 111 คน ซึ่งในจำนวนนั้นรวม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นเป้าหมายหลักนั่นเอง
เปิดทางให้หวนคืนสู่อำนาจทางการเมือง เปิดทางกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง
แต่นั่นยังไม่ร้ายเท่ากับการแก้ไข มาตรา 309 ซึ่งเป็นการเสนอขอแก้ไขแบบฉับพลันทันด่วน เพื่อปกป้องไม่ให้ “นายใหญ่” ต้องเข้าคุกจากคดีทุจริตที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) กำลังทยอยสรุปส่งฟ้องศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เข้ามาเรื่อยๆ
บางคดีก็ขึ้นไปค้างอยู่ในศาลแล้ว ซึ่งศาลฎีกาฯ ดังกล่าวมีวิธีการที่แตกต่างจากกระบวนการศาลอื่นๆ คือใช้ระบบการใต่สวนเฉพาะนักการเมือง แค่ 4-5 เดือนก็รู้เรื่องไม่มีอุทธรณ์-ฎีกาใดๆ ทั้งสิ้น
ถ้าผิดก็ต้องติดคุก เร็วทันใจ
และที่สำคัญ เมื่อเข้าสู่กระบวนการในชั้นศาลมันควบคุมเกมได้ยากเสียด้วย ต้องรอลุ้น รอเสียวลูกเดียว
รับรู้กันไปแล้วว่า สาระสำคัญในการแก้ไข มาตรา 309 มีวัตถุประสงค์หลักคือ “ฟอกแม้ว” ให้พ้นผิดจากสารพัดคดีทุจริต
หมายความว่าต้องการให้คำสั่งของ คมช.(หรือคปค.) มิชอบ ส่งผลให้การดำเนินการสอบสวนของ คตส.เป็นโมฆะ กลายเป็นองค์กรเถื่อนทันที และในทางกลับกันยังเปิดช่องให้ “แม้ว” กับพวกพลิกกลับจากจำเลยในคดีโกงเป็นโจทก์ฟ้องร้องเอาคืนกับ คตส.ได้ทุกดอกเสียอีก
ทำให้อดีต 111 กรรมการบริหารไทยรักไทย ใช้เป็นช่องทางกลับคืนสู่การเมืองได้อีกรอบ
ส่วนมาตรา 237 แม้ในเบื้องต้นจะเป็นอีกมาตราหนึ่งที่ต้องผลักดันให้แก้ไข แต่ถ้าพิจารณาให้ละเอียดจะเห็นได้ว่า น่าจะเป็นเรื่องรอง ยังไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนเท่าใดนัก เพราะกว่าจะเข้าสู่การพิจารณาของตุลาการรัฐธรรมนูญ เพื่อพิจารณาคดียุบพรรค
ต้องใช้เวลากันอีกยาวนานเป็นปี หรือถ้าโชคร้ายถูกยุบพรรคจริงก็สามารถตั้งพรรคใหม่ได้ อีกทั้งพรรคร่วมรัฐบาล ก็น่าจะผนึกกำลังจัดตั้งรัฐบาลกันได้เหมือนเหมือนเดิม
การแก้ไขมาตรานี้ จึงน่าจะเป็นเป้าลวงเพื่อล่อให้ พรรคชาติไทยกับมัชฌิมาธิปไตย ที่กำลังลุ้นเรื่องนี้อยู่อย่างใจจดใจจ่อเข้ามาเป็นแนวร่วมโดยปริยาย
ดังนั้น ถ้าให้ฟันธงการแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคพลังประชาชนเที่ยวนี้ เน้นเฉพาะมาตรา 309 เพียงมาตราเดียว
เป้าหมายคือ ต้องการฟอก “แม้ว” ให้พ้นผิด สกัดกั้นไม่ให้ต้องถูกดำเนินคดีในศาล หรือป้องกันการ “ติดคุก”ในภายหน้า
เมื่อมีลุ้นได้เสียแบบนี้ มันก็ต้องเร่งทำ แข่งกับเวลาที่ไล่หลังเข้ามาทุกขณะ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่มีความพยายามเสนอแก้ไขแบบรวบรัด แบบม้วนเดียวจบ แค่ 1-3 เดือนเท่านั้น
นั่นเป็นเกมที่เล่นกันในสภา โดยอ้างกติกาเสียงข้างมาก
ขณะเดียวกันอีกมุมหนึ่งเมื่อมีการเสนอแก้ไขกับแบบนี้ก็ย่อมมีคนรู้ทัน และนำไปโพนทนาให้คนอื่นได้รับรู้ และรับรองว่า ถ้ามีการรับฟังแล้วรู้แจ้งเห็นจริงก็จะทำให้เกิดการต่อต้านขยายวงไปเรื่อยๆ
ขณะที่ฝ่าย “นายใหญ่” ก็ย่อมไม่นิ่งเฉย เพราะรู้ว่ามันเดิมพันสูงรู้กันอยู่แล้ว
และถ้าพิจารณาจากแบ็กกราวด์ในอดีตประกอบแล้ว คนอย่างเศรษฐีแสนล้าน ที่ยังมีทุกอย่างอยู่ในมือต้องเดินหน้าเต็มตัวแน่
ไม่เชื่อลองปะติดปะต่อกันแล้วจะเห็นว่าทุกอย่างมันเชื่อมโยงกัน ไม่ว่าจะเป็นการเดินสายขึ้นเหนือ-อีสาน แตะมือมวลชนเอาไว้ให้พร้อมสรรพ เตรียมรับศึกใหญ่ในช่วงหลังสงกรานต์ไปแล้ว
ดังนั้น นาทีนี้ถ้าประเมินทุกอย่างรอบด้านแล้วฟันธงได้ทันที การผลักดันแก้ไขรัฐธรรมนูญเที่ยวนี้ของพรรคพลังประชาชนมีวัตถุประสงค์เพียงเพื่อไม่ให้ “นายใหญ่” ต้องถูกดำเนินคดีในศาล ที่เสี่ยงต่อการติดคุก และริบทรัพย์สิน
แต่เพื่อให้การดำเนินการอย่างแนบเนียน ก็ต้อง ลับ-ลวง-พราง (ของจริง)เพื่อหาแนวร่วม แต่ขณะเดียวกันอีกทางหนึ่งก็ย่อมมีคนรู้ทัน และออกมายืนขวางกันมากขึ้นเรื่อยๆ
และนี่ไงถึงบอกว่า หลังสงกรานต์เป็นต้นไป อุณภูมิองศาเดือดแน่ ถ้าไม่รู้จักลดระดับดีกรีลงมาโอกาสระเบิดก็เกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ !!