นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา โฆษกส่วนตัวพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เปิดเผยก่อนเดินทางร่วมกับคณะของพ.ต.ท.ทักษิณ ไปประเทศอินโดนีเซีย ที่อ้างว่าเพื่อเข้าร่วมประชุมเกี่ยวกับการลงทุนในภูมิภาค ถึงการที่ คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดเพื่อฟ้องยึดทรัพย์ 76,000 ล้านบาทว่า ทรัพย์สินนี้เป็นของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่มีมาก่อนเข้าดำรงตำแหน่งทางการเมือง ไม่ใข่ทรัพย์สินที่มีขึ้นหลังจากการปฎิบัติหน้าที่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ด้านนายบรรเจิด สิงคะเนติ คณะกรรมการ คตส. หนึ่งในคณะอนุกรรมการ ไต่สวนคดีกล่าวหา พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบในการเอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจ ตนเองและพวกพ้อง กล่าวว่า หาก พ.ต.ท.ทักษิณมั่นใจว่าเป็นทรัพย์สินที่มีมาก่อนรับตำแหน่งทางการเมืองก็สามารถโต้แย้งและไปสู้ในชั้นศาลได้ เพื่อให้ศาลตัดสิน
นายบรรเจิด กล่าวว่าที่ คตส.ลงมติยึดทรัพย์ครั้งนี้ประเด็นสำคัญ ไม่ได้อยู่ที่ว่า เป็นทรัพย์สินก้อนเก่าหรือก้อนใหม่ เพราะหัวใจของเรื่องคือ คตส.มีหลักฐานเชื่อได้ว่า ในช่วงที่เข้ามาดำรงตำแหน่งทางการเมืองพ.ต.ท.ทักษิณ ยังคงถือครองหุ้นสัมปทานอยู่ และในช่วงที่ทำหน้าที่ ก็มีการออกมาตราการเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจตนเอง จนทำให้ มูลค่าทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติ
“เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่เราตรวจสอบพบว่าคุณทำผิดวินัยนักการเมือง มาตรา 100 ที่ห้ามรัฐมนตรี ไม่ให้ถือหุ้นในบริษัทที่มีสัมปทาน และก็ได้มีการใช้อำนาจ ในตำแหน่งหน้าที่ของตน ทั้งทางตรงและทางอ้อม เพื่อเอื้อประโยชน์ ให้กับบริษัท ที่ตนถือครองหุ้นอยู่ จนทำให้มูลค่าเพิ่มขึ้น เอาทรัพย์สินเดิมมาต่อยอด เพราะฉะนั้น เป็นทรัพย์สินที่ได้มาจากการดำเนินการในเรื่องนี้ จึงถือเป็นทรัพย์สินที่ได้มาโดยมิสมควร”
ส่วนที่ทีมทนายความ ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ออกมาระบุว่า ในระหว่างการไต่สวน ข้อมูล คตส.ไม่ให้ความเป็นธรรม เพราะมีการเสนอรายชื่อพยาน เข้าไปให้สอบปากคำ เพิ่ม แต่คณะอนุฯไต่สวนไม่สอบตามข้อเสนอนั้น นายบรรเจิด กล่าวว่า ในประเด็นนี้ ต้องพิจารณาข้อมูลกันให้ครบถ้วน เพราะในชั้นการไต่สวนคณะอนุฯ เปิดโอกาส ให้ผู้ถูกกล่าวหาใช้เวลาชี้แจงข้อมูลอย่างเต็มที่
“ส่วนที่บอกว่า เราไม่ยอมเชิญพยาน มาสอบปากคำตามที่ร้องขอ เรื่องนี้ คณะอนุฯไต่สวน เคยมีมติให้ยกคำร้องไปแล้ว เนื่องจากรายการพยานที่ทีมทนายความ ทำมา มีลักษณะการอ้างเหตุผลแบบคุมๆ ไม่มีการระบุข้อมูลให้ชัดเจนว่าจะให้สอบถามประเด็นอะไร ตัวอย่างเช่น อ้างว่าให้ไปสอบพนักงานบริษัทเอไอเอส หรือ ให้ไปสอบ ส.ส ทั้งสภา เมื่ออ้างมาแบบนี้ จะให้เราไปสอบได้อย่างไง”
นายบรรเจิด กล่าวว่า ในมติการส่งเรื่องให้อัยการฟ้องศาลยึดทรัพครั้งนี้ เป็นในส่วนของคดีแพ่งเท่านั้น เพราะยังมีเรื่องของเงื่อนเวลาในการทำงานของ คตส. เข้ามาเกี่ยวข้อง ส่วนมูลคดีอาญา คณะอนุฯไต่สวนกำลังอยู่ระหว่างการสรุปผลการ ไต่สวน และน่าจะได้ข้อสรุปในเร็วๆ นี้ ส่วนเมื่อส่งเรื่องไปให้อัยการแล้วจะเกิดปัญหาอะไรหรือไม่ คงตอบแไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องที่อัยการจะต้องพิจารณา แต่ถ้ามีความแตกต่าง คตส.สามารถแต่งทีมทนายความขึ้นมาฟ้องร้องต่อศาลเองได้ ตามขั้นตอนกฎหมายปกติ
ด้านนายกล้านรงค์ จันทิก คณะกรรมการ คตส. ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการไต่สวนคดีดังกล่าว กล่าวว่า ที่ คตส.มีมติให้อายัดทรัพย์ เนื่องจาก ดูพฤติกรรมต่างๆ หลายอย่างประกอบไปด้วย ไม่ได้ดูเพียงที่ไปที่มาอย่างเดียว
“เรื่องนี้ กรรมการ คตส. ได้ดูอย่างละเอียดแล้ว เชื่อว่าข้อกล่าวหานี้ มีมูลเพียงพอ ซึ่งยืนยันอีกครั้งว่ามติดังกล่าวเป็นเอกฉันท์ จากคณะกรรมการทุกท่าน”
นายสิทธิโชค ศรีเจริญ หัวหน้าทีมทนายความคดีการออกสลากพิเศษ แบบเลขท้าย 3 ตัว 2 ตัว หรือหวยบนดินของ คตส. เปิดเผยว่า ขณะนี้ทีมทนายความ ได้ส่งคำแถลงการณ์คัดค้านคำร้องของผู้ถูกกล่าวหาคดีหวยบนดิน ไปให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยประเด็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับสถานะ และการต่ออายุ การทำงาน คตส.เรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่วันที่ 23 พ.ค. ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ จากการประสานงานไปยังศาลฎีกาฯ ทราบว่า ศาลฎีกาฯ ได้จัดส่งคำแถลงการณ์ของ คตส.ไปให้ศาลรัฐธรรมนูญ เรียบร้อยแล้ว ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่า ศาลรัฐธรรมนูญ จะพิจารณาเรื่องนี้ เมื่อไร แต่ในส่วนทีมทนายความก็คาดหวังว่า ศาลรัฐธรรมนูญ อาจจะให้กรุณาพิจารณาเรื่องนี้เป็นเรื่องเร่งด่วน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในเวลา 09.30 น. วันนี้ (28 พ.ค.) ตัวแทนของ คตส.จะเดินทางไปส่งมอบสำนวนคดีการจัดซื้อเครื่องตรวจสอบระเบิดซีทีเอ็กซ์ 9000 ในสนามบินสุวรรณภูมิให้กับอัยการคดีพิเศษ ถนนรัชดาภิเก แทนการส่งมอบให้กับสำนักงานอัยการสูงสุด โดยยืนยันว่าจะไม่ส่งมอบสำนวนในส่วนของนายชัยเกษม นิติสิริ อัยการสูงสุด ซึ่งตกเป็นหนึ่งในผู้ถูกกล่าวหาในคดีดังกล่าว โดยทาง คตส.ยืนยันที่จะยื่นคำร้องฟ้องต่อศาลเองแยกต่างหาก
ด้านนายบรรเจิด สิงคะเนติ คณะกรรมการ คตส. หนึ่งในคณะอนุกรรมการ ไต่สวนคดีกล่าวหา พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบในการเอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจ ตนเองและพวกพ้อง กล่าวว่า หาก พ.ต.ท.ทักษิณมั่นใจว่าเป็นทรัพย์สินที่มีมาก่อนรับตำแหน่งทางการเมืองก็สามารถโต้แย้งและไปสู้ในชั้นศาลได้ เพื่อให้ศาลตัดสิน
นายบรรเจิด กล่าวว่าที่ คตส.ลงมติยึดทรัพย์ครั้งนี้ประเด็นสำคัญ ไม่ได้อยู่ที่ว่า เป็นทรัพย์สินก้อนเก่าหรือก้อนใหม่ เพราะหัวใจของเรื่องคือ คตส.มีหลักฐานเชื่อได้ว่า ในช่วงที่เข้ามาดำรงตำแหน่งทางการเมืองพ.ต.ท.ทักษิณ ยังคงถือครองหุ้นสัมปทานอยู่ และในช่วงที่ทำหน้าที่ ก็มีการออกมาตราการเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจตนเอง จนทำให้ มูลค่าทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติ
“เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่เราตรวจสอบพบว่าคุณทำผิดวินัยนักการเมือง มาตรา 100 ที่ห้ามรัฐมนตรี ไม่ให้ถือหุ้นในบริษัทที่มีสัมปทาน และก็ได้มีการใช้อำนาจ ในตำแหน่งหน้าที่ของตน ทั้งทางตรงและทางอ้อม เพื่อเอื้อประโยชน์ ให้กับบริษัท ที่ตนถือครองหุ้นอยู่ จนทำให้มูลค่าเพิ่มขึ้น เอาทรัพย์สินเดิมมาต่อยอด เพราะฉะนั้น เป็นทรัพย์สินที่ได้มาจากการดำเนินการในเรื่องนี้ จึงถือเป็นทรัพย์สินที่ได้มาโดยมิสมควร”
ส่วนที่ทีมทนายความ ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ออกมาระบุว่า ในระหว่างการไต่สวน ข้อมูล คตส.ไม่ให้ความเป็นธรรม เพราะมีการเสนอรายชื่อพยาน เข้าไปให้สอบปากคำ เพิ่ม แต่คณะอนุฯไต่สวนไม่สอบตามข้อเสนอนั้น นายบรรเจิด กล่าวว่า ในประเด็นนี้ ต้องพิจารณาข้อมูลกันให้ครบถ้วน เพราะในชั้นการไต่สวนคณะอนุฯ เปิดโอกาส ให้ผู้ถูกกล่าวหาใช้เวลาชี้แจงข้อมูลอย่างเต็มที่
“ส่วนที่บอกว่า เราไม่ยอมเชิญพยาน มาสอบปากคำตามที่ร้องขอ เรื่องนี้ คณะอนุฯไต่สวน เคยมีมติให้ยกคำร้องไปแล้ว เนื่องจากรายการพยานที่ทีมทนายความ ทำมา มีลักษณะการอ้างเหตุผลแบบคุมๆ ไม่มีการระบุข้อมูลให้ชัดเจนว่าจะให้สอบถามประเด็นอะไร ตัวอย่างเช่น อ้างว่าให้ไปสอบพนักงานบริษัทเอไอเอส หรือ ให้ไปสอบ ส.ส ทั้งสภา เมื่ออ้างมาแบบนี้ จะให้เราไปสอบได้อย่างไง”
นายบรรเจิด กล่าวว่า ในมติการส่งเรื่องให้อัยการฟ้องศาลยึดทรัพครั้งนี้ เป็นในส่วนของคดีแพ่งเท่านั้น เพราะยังมีเรื่องของเงื่อนเวลาในการทำงานของ คตส. เข้ามาเกี่ยวข้อง ส่วนมูลคดีอาญา คณะอนุฯไต่สวนกำลังอยู่ระหว่างการสรุปผลการ ไต่สวน และน่าจะได้ข้อสรุปในเร็วๆ นี้ ส่วนเมื่อส่งเรื่องไปให้อัยการแล้วจะเกิดปัญหาอะไรหรือไม่ คงตอบแไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องที่อัยการจะต้องพิจารณา แต่ถ้ามีความแตกต่าง คตส.สามารถแต่งทีมทนายความขึ้นมาฟ้องร้องต่อศาลเองได้ ตามขั้นตอนกฎหมายปกติ
ด้านนายกล้านรงค์ จันทิก คณะกรรมการ คตส. ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการไต่สวนคดีดังกล่าว กล่าวว่า ที่ คตส.มีมติให้อายัดทรัพย์ เนื่องจาก ดูพฤติกรรมต่างๆ หลายอย่างประกอบไปด้วย ไม่ได้ดูเพียงที่ไปที่มาอย่างเดียว
“เรื่องนี้ กรรมการ คตส. ได้ดูอย่างละเอียดแล้ว เชื่อว่าข้อกล่าวหานี้ มีมูลเพียงพอ ซึ่งยืนยันอีกครั้งว่ามติดังกล่าวเป็นเอกฉันท์ จากคณะกรรมการทุกท่าน”
นายสิทธิโชค ศรีเจริญ หัวหน้าทีมทนายความคดีการออกสลากพิเศษ แบบเลขท้าย 3 ตัว 2 ตัว หรือหวยบนดินของ คตส. เปิดเผยว่า ขณะนี้ทีมทนายความ ได้ส่งคำแถลงการณ์คัดค้านคำร้องของผู้ถูกกล่าวหาคดีหวยบนดิน ไปให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยประเด็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับสถานะ และการต่ออายุ การทำงาน คตส.เรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่วันที่ 23 พ.ค. ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ จากการประสานงานไปยังศาลฎีกาฯ ทราบว่า ศาลฎีกาฯ ได้จัดส่งคำแถลงการณ์ของ คตส.ไปให้ศาลรัฐธรรมนูญ เรียบร้อยแล้ว ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่า ศาลรัฐธรรมนูญ จะพิจารณาเรื่องนี้ เมื่อไร แต่ในส่วนทีมทนายความก็คาดหวังว่า ศาลรัฐธรรมนูญ อาจจะให้กรุณาพิจารณาเรื่องนี้เป็นเรื่องเร่งด่วน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในเวลา 09.30 น. วันนี้ (28 พ.ค.) ตัวแทนของ คตส.จะเดินทางไปส่งมอบสำนวนคดีการจัดซื้อเครื่องตรวจสอบระเบิดซีทีเอ็กซ์ 9000 ในสนามบินสุวรรณภูมิให้กับอัยการคดีพิเศษ ถนนรัชดาภิเก แทนการส่งมอบให้กับสำนักงานอัยการสูงสุด โดยยืนยันว่าจะไม่ส่งมอบสำนวนในส่วนของนายชัยเกษม นิติสิริ อัยการสูงสุด ซึ่งตกเป็นหนึ่งในผู้ถูกกล่าวหาในคดีดังกล่าว โดยทาง คตส.ยืนยันที่จะยื่นคำร้องฟ้องต่อศาลเองแยกต่างหาก
