9. จอมคนของหวงอี้ (ต่อ)
มัน แม้มีชาติกำเนิดที่ต่ำต้อย ใบหน้า มัน ไม่อาจเรียกว่าหล่อเหลา แต่ก็ไม่ขี้ริ้ว แต่ รูปร่างของมันกำยำ กอปรด้วยเค้าอันองอาจสมชายชาตรี ท่าทีที่ปลอดโปร่งไม่นำพาของ มัน ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหนและในสถานภาพเช่นใด ทำให้ มัน ออกเป็นที่สะดุดตาผู้คนอยู่บ้าง
แต่สิ่งที่ดึงดูดใจที่สุดในตัวของ มัน คือ ประกายตาที่ลึกล้ำสุดหยั่งคาดของมัน ผู้คนที่ได้เห็นดวงตาคู่นี้ของ มัน ต่อให้ มัน ตอนนี้แต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่ซอมซ่อ ผู้พบเห็น มัน ก็อดรู้สึกไม่ได้ว่า วันข้างหน้าคนผู้นี้ต้องไม่รวบรัดธรรมดาอย่างแน่นอน
มัน คือ โค่วจง! อดีตอันธพาลน้อยแห่งเมืองหยางโจวที่มีคู่หูเพื่อนซี้ชื่อ ฉีจื่อหลิง ผู้เรียกตนเองทั้งคู่เป็น มังกรคู่แห่งหยางโจว ชีวิตของเด็กหนุ่มทั้งสองเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อโชคชะตาเล่นตลกกับพวกมันให้ได้ครอบครองตำราเคล็ดวิชาอมตะของกว่างเฉิงจื่อโดยบังเอิญ มิหนำซ้ำยังฝึกเคล็ดวิชานี้ได้เป็นผลสำเร็จทั้งคู่ แม้จะมีความแตกต่างกันในแนวทาง และอุปนิสัยใจคอก็ตาม เพราะคนหนึ่งได้พลังร้อนคือ ฉีจื่อหลิง ส่วน โค่วจง กลับได้พลังเย็น ขณะที่ของ ฉีจื่อหลิง พลังพุ่งขึ้นจากฝ่าเท้า ส่วนของ โค่วจง พลังลงจากขม่อม ในขณะที่ ฉีจื่อหลิง กลายเป็นมุ่งสงบนิ่ง ส่วน โค่วจง กลับกลายเป็นมุ่งเคลื่อนไหว
คนที่เห็นการเปลี่ยนแปลงของ โค่วจง หลังจากสำเร็จเคล็ดวิชาอมตะได้อย่างชัดแจ้งที่สุดคือ ฉีจื่อหลิง เพราะนับวันแนวความคิด และการกระทำของโค่วจงกับตัวเขา ก็ยิ่งแปลกแยกแตกต่าง นี่มิใช่เรื่องใครผิดใครถูก หรือใครดีกว่า เลวกว่า แต่มันเป็น ความแตกต่างแต่ไม่แตกแยก ในโลกทัศน์ และชีวทัศน์ของมังกรคู่แห่งหยางโจวที่มีผลสืบเนื่องมาจากการฝึกเคล็ดวิชาอมตะเท่านั้น
ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ถึงความสามารถ และศักยภาพของ โค่วจง ยิ่งกว่า ฉีจื่อหลิง เพราะ โค่วจง มิเพียงเจ้าปัญญาความคิด ทั้งยังช่างเจรจาพาทีรู้จักหันหางเสือตามลม ทำให้ผู้คนยากที่จะโกรธเขา มิหนำซ้ำเขายังมีลักษณะของความเป็นผู้นำมาตั้งแต่เกิด
ขณะที่ตัว ฉีจื่อหลิง เอง ยิ่งฝึกเคล็ดวิชาอมตะ เขาก็ยิ่งบังเกิดความชืดชาต่อชื่อเสียงลาภยศ แม้แต่ความรักชอบต่อเพศตรงข้ามก็ยังจืดจางลง เพียงคิดเสาะหาทิพยสถานที่ห่างไกลผู้คน ค้นคว้ามรรควิชาบู๊ดูว่าตนเองจะสามารถบรรลุถึงขอบเขตขั้นใดได้
ส่วน โค่วจง กลับตั้งจิตปณิธานยิ่งใหญ่ คิดซ่องสุมกำลังคนเพื่อมุ่งเข้าร่วมช่วงชิงแผ่นดิน คาดหวังเป็นฮ่องเต้เพื่อรวบรวมประเทศให้เป็นหนึ่งสร้างสันติภาพความผาสุกให้แก่มวลประชาราษฎร์
ตู้ฝูเว่ย ผู้นำกองทัพเจียงไหว ซึ่งเป็นหนึ่งในขุมกำลังที่มีโอกาสเข้าร่วมช่วงชิงแผ่นดินเช่นกัน ก็แลเห็นศักยภาพของ โค่วจง รู้ว่า มันไม่ยอมอยู่ใต้ปกครองของผู้คน ตัว ตู้ฝูเว่ย เอง ก็ต้องการแค่สำแดงฝีมือให้ลือลั่น ไม่ยอมอยู่อย่างเงียบเหงา โดยไม่ได้คิดเป็นฮ่องเต้ เขาจึงยื่นข้อเสนออันน่าสนใจให้แก่ โค่วจง ว่า
“หากเจ้ายอมรับเราตู้ฝูเว่ยเป็นบิดา โดยเปลี่ยนเป็นใช้แซ่ตู้ของเรา เราตู้ฝูเว่ยจะรักเจ้าราวลูกในไส้ และผลักดันเจ้าให้เป็นฮ่องเต้ราชวงศ์ใหม่ให้จงได้”
สำหรับคนที่มีแต่ตัวเช่น โค่วจง ข้อเสนอนี้เท่ากับเป็น บุญหล่นทับ หรือเป็น ทางลัด ที่จะนำพาตัวเขาไปสู่ความสำเร็จในชีวิต คนหนุ่มสมัยนี้ร้อยทั้งร้อย หากได้รับข้อเสนอเช่นนี้ คงล้วนตอบตกลงโดยไม่ลังเลใจทั้งสิ้น
แต่ โค่วจง เป็นคนที่ไม่ธรรมดา และมีความนึกคิดที่แตกต่างไปจากชายหนุ่มทั่วไป เขาจึงตอบปฏิเสธข้อเสนออันโอชะของ ตู้ฝูเว่ย และนี่คือคำอธิบายของเขา
“หากแม้นข้าพเจ้าสามารถครองแผ่นดินได้ โดยการพึ่งพาท่านพ่อ ชีวิตของข้าพเจ้าก็ออกจะไร้ความหมายเกินไปกระมัง ใช่แล้ว! ข้าพเจ้าก็มีความตั้งใจเข้าร่วมช่วงชิงแผ่นดินเช่นกัน แต่ที่ ข้าพเจ้าใฝ่ฝันคือ ขั้นตอนระหว่างที่กำลังช่วงชิงแผ่นดินที่เริ่มต้นจากไม่มีอะไร จนกระทั่งมีซึ่งทุกสิ่ง ด้วยการสร้างตัวด้วยสองมือเปล่าท่ามกลางหยาดเหงื่อและโลหิต ท่านพ่อเข้าใจหรือไม่?”
เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่กล้าพูดออกมาเช่นนี้ อย่าง ไม่หวาดหวั่นต่อความยากลำบากของการสร้างตัว และไม่หวั่นไหวต่อความง่าย ความสะดวก รวมทั้งเส้นทางลัดไปสู่ความสำเร็จ ไม่ว่ามันจะทำได้สำเร็จตามปณิธานหรือไม่ก็ตาม เราท่านไม่เลื่อมใสชื่นชมเด็กหนุ่มอย่างมันก็ไม่ได้แล้ว นี่แหละคือ วิถีอย่างโค่วจง และ ปรัชญาชีวิตอย่างโค่วจง!
โค่วจง ยังกล่าวอีกว่า
“โลกนี้จะมีสิ่งใดเร้าใจยิ่งกว่า ชีวิต และ ความหมายของชีวิตที่เกิดขึ้น ในช่วงระยะนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่า ความสำเร็จหรือความล้มเหลวในชีวิตไม่ใช่เรื่องสำคัญ ขั้นตอนของการต่อสู้ดิ้นรนในขณะที่กำลังมีชีวิตอยู่ต่างหากที่น่าลุ่มหลงที่สุด”
ปัจจุบันมีกลุ่มพลังจำนวนไม่น้อยที่ต้องการเอาชีวิตของ โค่วจง และ ฉีจื่อหลิง หรือไม่ก็หลอกใช้พวกเขา หรือหาผลประโยชน์จากพวกเขา ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ยิ่งทำให้ โค่วจง รู้สึกว่า แผ่นดินเฉกเช่นขนมเปี๊ยะก้อนใหญ่ ผู้ใดเก่งกล้าสามารถ ผู้นั้นจะได้แบ่งปันชิ้นหนึ่ง นั่นหมายถึง ขุมกำลังและอำนาจ หลังจากที่ครอบครองขุมกำลังและอำนาจได้แล้ว ผู้นั้นจึงค่อยมีคุณสมบัติกระทำเรื่องที่ตนเองชมชอบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการสร้างสันติสุขแก่ส่วนรวม หรือเรื่องชำระบุญคุณความแค้นส่วนตัวก็ตาม
การมีคุณสมบัติสามารถกระทำเรื่องที่ตัวเองชมชอบ ทั้งในเรื่องส่วนรวม และเรื่องส่วนตัวนี่แหละที่ทำให้ชีวิตเร้าใจ และมีรสชาติในสายตาของ โค่วจง ตัว โค่วจง จึงไม่เกรงกลัวต่อการคบมิตรและสร้างศัตรูที่หลากหลาย เพราะ ชีวิตก็เป็นเช่นนี้เอง มีทั้งมิตรและศัตรู มีทั้งคนรักและคนชัง ไม่ว่าอย่างไรขอให้ถือว่า ชีวิตคือการฝึกฝนตัวเอง เป็นพอแล้ว
โค่วจง มักมีปมในใจว่า ตัวเองถือกำเนิดมาจากชาติตระกูลที่ต่ำต้อง มันจึงมักหลงรักสตรีที่มีชาติตระกูลสูงส่งกว่าเสมอ รักแรกของมันจึงจบลงด้วยความผิดหวัง เพราะเป็นความรักข้างเดียวของมัน และศักดิ์ฐานะที่แตกต่างกันราวฟ้ากับดิน ความผิดหวังในความรักอย่างรุนแรง ถือเป็นจุดหักเหครั้งสำคัญในชีวิตของโค่วจง เพราะหลังจากนั้นเป็นต้นมา มันได้หันเหความใฝ่ฝันที่มีต่อเรื่องราวความรักอันเพริศแพร้ว เปลี่ยนเป็นมุ่งเป้าไปที่กิจการงานโดยคิดการใหญ่ ตั้งจิตปณิธานใหญ่
โค่วจง เป็นคนฉลาดหลักแหลม รักความก้าวหน้า มาตรว่านึกถึงผลประโยชน์ตนเองอยู่บ้าง เมื่อเทียบกับ ฉีจื่อหลิง แต่มันมิใช่คนเลวร้าย มันเป็นคนที่มีจิตใจดีงาม ทั้งยังมีอารมณ์อ่อนไหวด้วย ไม่ว่าจะพิจารณาจากบรรทัดฐานใดๆ ก็ตาม มันย่อมสามารถเป็น ชายในฝัน ของสตรีทั้งแผ่นดินได้อย่างแน่นอน
คุณสมบัติอีกประการหนึ่งของ โค่วจง คือ มันรู้จักตัวเองดีพอ มันรู้ดีว่า ชีวิตไม่มีคำว่า “ถ้า...” ในโชคชะตาไม่มีคำว่า “หากแม้น...” สิ่งที่แล้วมาต้องปล่อยให้ผ่านไป วันพรุ่งนี้เป็นความหวังเสมอ โชคชะตาของคนเราไม่ควรอยู่ในกำมือของผู้อื่น หากต้องอยู่ในมือของตัวเอง ถึงจะต้องต่อสู้จนตัวตาย ก็ไม่สำนึกเสียใจเด็ดขาด
เมื่อ โค่วจง ได้มีโอกาสฝึกเคล็ดวิชาอมตะสำเร็จ นี่ย่อมมิใช่เรื่อง “บังเอิญ” ในชีวิตของเขาอย่างแน่นอน เมื่อฟ้าลิขิตให้ตัวเขาได้เคล็ดวิชาอมตะนี้มา ฟ้าก็ย่อมวางตัวเขา และฉีจื่อหลิงให้อยู่ในตำแหน่งบทบาทหนึ่งในประวัติศาสตร์ ไม่ว่าพวกเขาจะยินยอมพร้อมใจหรือไม่ ก็ได้แต่แสดงบทบาทที่ได้รับมอบนี้มาให้ดีที่สุดเท่านั้น
เชื่อในโชคชะตาที่ผ่านไปของตัวเอง
แต่ไม่เชื่อโชคชะตาที่ทำนายเกี่ยวกับอนาคตตนเอง
สำหรับอนาคตข้างหน้า เพียงเชื่อในสิ่งที่ทำอยู่ในกำมือของตนเองเท่านั้น...นี่แหละคือ วิถีอย่างโค่วจง!
โค่วจง เห็นว่า ชีวิตมนุษย์เราเป็นเพียงประสบการณ์ และผลพวงที่ตัวเองเลือกไว้เท่านั้น ต่อให้เป็นฮ่องเต้เจ้าชีวิต หรือเป็นวีรบุรุษผู้กล้า หรือเป็นผู้มีชื่อเสียงสะท้านแผ่นดิน หรือเป็นคนร่ำรวยล้นฟ้า เพียงชั่วลัดนิ้วมือเดียว ชีวิตก็ผ่านพ้นไป มิหนำซ้ำจะผ่านไปอย่างรวดเร็วยิ่งดุจความฝันตื่นหนึ่งเท่านั้น
หลังจากผ่านความยากลำบากแบบเลือดตาแทบกระเด็น ในที่สุด โค่วจง ก็สามารถก่อตั้ง กองทัพขุนพลน้อย ของเขาขึ้นมาเป็นขุมกำลังของตนเอง และยึดครองดินแดนส่วนหนึ่งเอาไว้ได้ พอถึงตอนนี้ ความใฝ่ฝันของ โค่วจง ที่จะเข้าร่วมช่วงชิงแผ่นดิน มิใช่เรื่องเพ้อฝันโคมลอยอีกต่อไปแล้ว
ในฐานะที่เป็นผู้บังคับบัญชากองทัพ โค่วจง มีบุคลิกภาพอันโดดเด่น ท่วงท่ามั่นคงดุจขุนเขา สายตาที่แหลมคม และเจิดจ้าดั่งสายฟ้าถ่ายทอดความเชื่อมั่นอย่างเปี่ยมล้มออกมา ในสายตาของผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของมัน โค่วจง เป็นทั้งผู้นำทัพที่รบชนะทุกครั้งครา และเป็นมือดาบที่ไร้ผู้ต่อต้าน เมื่อรวมทั้งสองประการเข้าด้วยกัน ทำให้ “ขุนพลน้อย” อย่างเขาได้รับการเคารพเทิดทูนจากผู้ใต้บังคับบัญชา ประดุจเทพเจ้าแห่งการต่อสู้
อันที่จริงโอกาสที่ โค่วจง จะได้ชัยในการช่วงชิงแผ่นดินมีไม่มากนัก เมื่อเทียบกับขุมพลังกลุ่มอื่นๆ แต่ก็มีนักรบผู้มีฝีมือจำนวนไม่น้อยที่เลือกที่จะอยู่ร่วมกับ โค่วจง เพราะนอกจากพวกเขาจะยอมรับนับถือในเรื่องไหวพริบ ฝีมือ ตลอดจนความคิดความอ่านของ โค่วจง แล้ว
ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ พวกเขาล้วนยกย่องพฤติการณ์ของโค่วจง ที่ใจกว้าง ไม่ริษยา ไม่หวาดระแวงคนใกล้ตัว ใครที่อยู่ใกล้ชิดกับ โค่วจง จะมักรู้สึกเสมอว่า เรื่องที่เป็นไปไม่ได้มันกลับสามารถทำให้กลายเป็นไปได้ ทุกสิ่งล้วนสามารถสำเร็จลุล่วง การได้อยู่ร่วมกับโค่วจง จึงเป็นความตื่นเต้นเร้าใจยิ่งนักในชีวิต ที่หาได้ยากจากผู้นำคนอื่น
เสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของ โค่วจง ก็คือ มันจะไม่สร้างความเสียหายแก่คนที่มันรักเด็ดขาด เพราะเหตุนี้บางครั้งมันก็ประพฤติตนโง่งม โดยไม่คำนึงถึงเหตุผลใดหรือผลลัพธ์ในกาลข้างหน้า ถ้าหากมันต้องกระทำเพื่อปกป้องคนที่มันรัก โค่วจง ไม่เคยทิ้งเพื่อน พรรคพวกเพื่อเอาตัวรอดเลย คนอย่าง โค่วจง เลือกตายดีกว่าที่จะเลือกมีชีวิตรอดอย่างอดสูละอายแก่ใจตนเอง
วิถีของโค่วจง เป็นวิถีของลูกผู้ชายที่แท้จริงอย่างแน่นอน เพราะ ลูกผู้ชายที่แท้จริงพึงกำหนดเป้าหมายชีวิตอันยิ่งใหญ่ จากนั้นก็ต้องทุ่มเทชีวิตจิตใจเข้ากระทำมุ่งสู่จุดหมายนั้น โดยไม่คำนึงถึงความสำเร็จ และความล้มเหลว ขณะที่ผู้คนทั่วไปมุ่งแสวงหาความสุขจากกองทุกข์ แต่คนอย่าง โค่วจง มุ่งต่อสู้ดิ้นรนท่ามกลางคลื่นลมแห่งยุคสมัย ต่อให้ถูกคลื่นท่วมท้นศีรษะบังมิดหายก็จะไม่สำนึกเสียใจ
เพราะมีแต่ การท้าทายยุคสมัย เยี่ยงนี้ คนอย่างมันจึงค่อยรู้สึกถึงคุณค่า และตระหนักถึงการดำรงคงอยู่ของตัวเองได้ ในท่ามกลางยุคแห่งความวุ่นวายดุจกลียุคเช่นปัจจุบันนี้ คนอย่างโค่วจง มีเท่าไหร่ก็ไม่ถือว่าพอ และคงมีแต่ คนอย่างโค่วจง เท่านั้นที่จะกล้าเผชิญหน้าท้าทาย ระบอบทักษิณ และก้าวข้าม ระบอบอำมาตยาธิปไตย ได้ (ยังมีต่อ)
มัน แม้มีชาติกำเนิดที่ต่ำต้อย ใบหน้า มัน ไม่อาจเรียกว่าหล่อเหลา แต่ก็ไม่ขี้ริ้ว แต่ รูปร่างของมันกำยำ กอปรด้วยเค้าอันองอาจสมชายชาตรี ท่าทีที่ปลอดโปร่งไม่นำพาของ มัน ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหนและในสถานภาพเช่นใด ทำให้ มัน ออกเป็นที่สะดุดตาผู้คนอยู่บ้าง
แต่สิ่งที่ดึงดูดใจที่สุดในตัวของ มัน คือ ประกายตาที่ลึกล้ำสุดหยั่งคาดของมัน ผู้คนที่ได้เห็นดวงตาคู่นี้ของ มัน ต่อให้ มัน ตอนนี้แต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่ซอมซ่อ ผู้พบเห็น มัน ก็อดรู้สึกไม่ได้ว่า วันข้างหน้าคนผู้นี้ต้องไม่รวบรัดธรรมดาอย่างแน่นอน
มัน คือ โค่วจง! อดีตอันธพาลน้อยแห่งเมืองหยางโจวที่มีคู่หูเพื่อนซี้ชื่อ ฉีจื่อหลิง ผู้เรียกตนเองทั้งคู่เป็น มังกรคู่แห่งหยางโจว ชีวิตของเด็กหนุ่มทั้งสองเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อโชคชะตาเล่นตลกกับพวกมันให้ได้ครอบครองตำราเคล็ดวิชาอมตะของกว่างเฉิงจื่อโดยบังเอิญ มิหนำซ้ำยังฝึกเคล็ดวิชานี้ได้เป็นผลสำเร็จทั้งคู่ แม้จะมีความแตกต่างกันในแนวทาง และอุปนิสัยใจคอก็ตาม เพราะคนหนึ่งได้พลังร้อนคือ ฉีจื่อหลิง ส่วน โค่วจง กลับได้พลังเย็น ขณะที่ของ ฉีจื่อหลิง พลังพุ่งขึ้นจากฝ่าเท้า ส่วนของ โค่วจง พลังลงจากขม่อม ในขณะที่ ฉีจื่อหลิง กลายเป็นมุ่งสงบนิ่ง ส่วน โค่วจง กลับกลายเป็นมุ่งเคลื่อนไหว
คนที่เห็นการเปลี่ยนแปลงของ โค่วจง หลังจากสำเร็จเคล็ดวิชาอมตะได้อย่างชัดแจ้งที่สุดคือ ฉีจื่อหลิง เพราะนับวันแนวความคิด และการกระทำของโค่วจงกับตัวเขา ก็ยิ่งแปลกแยกแตกต่าง นี่มิใช่เรื่องใครผิดใครถูก หรือใครดีกว่า เลวกว่า แต่มันเป็น ความแตกต่างแต่ไม่แตกแยก ในโลกทัศน์ และชีวทัศน์ของมังกรคู่แห่งหยางโจวที่มีผลสืบเนื่องมาจากการฝึกเคล็ดวิชาอมตะเท่านั้น
ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ถึงความสามารถ และศักยภาพของ โค่วจง ยิ่งกว่า ฉีจื่อหลิง เพราะ โค่วจง มิเพียงเจ้าปัญญาความคิด ทั้งยังช่างเจรจาพาทีรู้จักหันหางเสือตามลม ทำให้ผู้คนยากที่จะโกรธเขา มิหนำซ้ำเขายังมีลักษณะของความเป็นผู้นำมาตั้งแต่เกิด
ขณะที่ตัว ฉีจื่อหลิง เอง ยิ่งฝึกเคล็ดวิชาอมตะ เขาก็ยิ่งบังเกิดความชืดชาต่อชื่อเสียงลาภยศ แม้แต่ความรักชอบต่อเพศตรงข้ามก็ยังจืดจางลง เพียงคิดเสาะหาทิพยสถานที่ห่างไกลผู้คน ค้นคว้ามรรควิชาบู๊ดูว่าตนเองจะสามารถบรรลุถึงขอบเขตขั้นใดได้
ส่วน โค่วจง กลับตั้งจิตปณิธานยิ่งใหญ่ คิดซ่องสุมกำลังคนเพื่อมุ่งเข้าร่วมช่วงชิงแผ่นดิน คาดหวังเป็นฮ่องเต้เพื่อรวบรวมประเทศให้เป็นหนึ่งสร้างสันติภาพความผาสุกให้แก่มวลประชาราษฎร์
ตู้ฝูเว่ย ผู้นำกองทัพเจียงไหว ซึ่งเป็นหนึ่งในขุมกำลังที่มีโอกาสเข้าร่วมช่วงชิงแผ่นดินเช่นกัน ก็แลเห็นศักยภาพของ โค่วจง รู้ว่า มันไม่ยอมอยู่ใต้ปกครองของผู้คน ตัว ตู้ฝูเว่ย เอง ก็ต้องการแค่สำแดงฝีมือให้ลือลั่น ไม่ยอมอยู่อย่างเงียบเหงา โดยไม่ได้คิดเป็นฮ่องเต้ เขาจึงยื่นข้อเสนออันน่าสนใจให้แก่ โค่วจง ว่า
“หากเจ้ายอมรับเราตู้ฝูเว่ยเป็นบิดา โดยเปลี่ยนเป็นใช้แซ่ตู้ของเรา เราตู้ฝูเว่ยจะรักเจ้าราวลูกในไส้ และผลักดันเจ้าให้เป็นฮ่องเต้ราชวงศ์ใหม่ให้จงได้”
สำหรับคนที่มีแต่ตัวเช่น โค่วจง ข้อเสนอนี้เท่ากับเป็น บุญหล่นทับ หรือเป็น ทางลัด ที่จะนำพาตัวเขาไปสู่ความสำเร็จในชีวิต คนหนุ่มสมัยนี้ร้อยทั้งร้อย หากได้รับข้อเสนอเช่นนี้ คงล้วนตอบตกลงโดยไม่ลังเลใจทั้งสิ้น
แต่ โค่วจง เป็นคนที่ไม่ธรรมดา และมีความนึกคิดที่แตกต่างไปจากชายหนุ่มทั่วไป เขาจึงตอบปฏิเสธข้อเสนออันโอชะของ ตู้ฝูเว่ย และนี่คือคำอธิบายของเขา
“หากแม้นข้าพเจ้าสามารถครองแผ่นดินได้ โดยการพึ่งพาท่านพ่อ ชีวิตของข้าพเจ้าก็ออกจะไร้ความหมายเกินไปกระมัง ใช่แล้ว! ข้าพเจ้าก็มีความตั้งใจเข้าร่วมช่วงชิงแผ่นดินเช่นกัน แต่ที่ ข้าพเจ้าใฝ่ฝันคือ ขั้นตอนระหว่างที่กำลังช่วงชิงแผ่นดินที่เริ่มต้นจากไม่มีอะไร จนกระทั่งมีซึ่งทุกสิ่ง ด้วยการสร้างตัวด้วยสองมือเปล่าท่ามกลางหยาดเหงื่อและโลหิต ท่านพ่อเข้าใจหรือไม่?”
เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่กล้าพูดออกมาเช่นนี้ อย่าง ไม่หวาดหวั่นต่อความยากลำบากของการสร้างตัว และไม่หวั่นไหวต่อความง่าย ความสะดวก รวมทั้งเส้นทางลัดไปสู่ความสำเร็จ ไม่ว่ามันจะทำได้สำเร็จตามปณิธานหรือไม่ก็ตาม เราท่านไม่เลื่อมใสชื่นชมเด็กหนุ่มอย่างมันก็ไม่ได้แล้ว นี่แหละคือ วิถีอย่างโค่วจง และ ปรัชญาชีวิตอย่างโค่วจง!
โค่วจง ยังกล่าวอีกว่า
“โลกนี้จะมีสิ่งใดเร้าใจยิ่งกว่า ชีวิต และ ความหมายของชีวิตที่เกิดขึ้น ในช่วงระยะนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่า ความสำเร็จหรือความล้มเหลวในชีวิตไม่ใช่เรื่องสำคัญ ขั้นตอนของการต่อสู้ดิ้นรนในขณะที่กำลังมีชีวิตอยู่ต่างหากที่น่าลุ่มหลงที่สุด”
ปัจจุบันมีกลุ่มพลังจำนวนไม่น้อยที่ต้องการเอาชีวิตของ โค่วจง และ ฉีจื่อหลิง หรือไม่ก็หลอกใช้พวกเขา หรือหาผลประโยชน์จากพวกเขา ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ยิ่งทำให้ โค่วจง รู้สึกว่า แผ่นดินเฉกเช่นขนมเปี๊ยะก้อนใหญ่ ผู้ใดเก่งกล้าสามารถ ผู้นั้นจะได้แบ่งปันชิ้นหนึ่ง นั่นหมายถึง ขุมกำลังและอำนาจ หลังจากที่ครอบครองขุมกำลังและอำนาจได้แล้ว ผู้นั้นจึงค่อยมีคุณสมบัติกระทำเรื่องที่ตนเองชมชอบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการสร้างสันติสุขแก่ส่วนรวม หรือเรื่องชำระบุญคุณความแค้นส่วนตัวก็ตาม
การมีคุณสมบัติสามารถกระทำเรื่องที่ตัวเองชมชอบ ทั้งในเรื่องส่วนรวม และเรื่องส่วนตัวนี่แหละที่ทำให้ชีวิตเร้าใจ และมีรสชาติในสายตาของ โค่วจง ตัว โค่วจง จึงไม่เกรงกลัวต่อการคบมิตรและสร้างศัตรูที่หลากหลาย เพราะ ชีวิตก็เป็นเช่นนี้เอง มีทั้งมิตรและศัตรู มีทั้งคนรักและคนชัง ไม่ว่าอย่างไรขอให้ถือว่า ชีวิตคือการฝึกฝนตัวเอง เป็นพอแล้ว
โค่วจง มักมีปมในใจว่า ตัวเองถือกำเนิดมาจากชาติตระกูลที่ต่ำต้อง มันจึงมักหลงรักสตรีที่มีชาติตระกูลสูงส่งกว่าเสมอ รักแรกของมันจึงจบลงด้วยความผิดหวัง เพราะเป็นความรักข้างเดียวของมัน และศักดิ์ฐานะที่แตกต่างกันราวฟ้ากับดิน ความผิดหวังในความรักอย่างรุนแรง ถือเป็นจุดหักเหครั้งสำคัญในชีวิตของโค่วจง เพราะหลังจากนั้นเป็นต้นมา มันได้หันเหความใฝ่ฝันที่มีต่อเรื่องราวความรักอันเพริศแพร้ว เปลี่ยนเป็นมุ่งเป้าไปที่กิจการงานโดยคิดการใหญ่ ตั้งจิตปณิธานใหญ่
โค่วจง เป็นคนฉลาดหลักแหลม รักความก้าวหน้า มาตรว่านึกถึงผลประโยชน์ตนเองอยู่บ้าง เมื่อเทียบกับ ฉีจื่อหลิง แต่มันมิใช่คนเลวร้าย มันเป็นคนที่มีจิตใจดีงาม ทั้งยังมีอารมณ์อ่อนไหวด้วย ไม่ว่าจะพิจารณาจากบรรทัดฐานใดๆ ก็ตาม มันย่อมสามารถเป็น ชายในฝัน ของสตรีทั้งแผ่นดินได้อย่างแน่นอน
คุณสมบัติอีกประการหนึ่งของ โค่วจง คือ มันรู้จักตัวเองดีพอ มันรู้ดีว่า ชีวิตไม่มีคำว่า “ถ้า...” ในโชคชะตาไม่มีคำว่า “หากแม้น...” สิ่งที่แล้วมาต้องปล่อยให้ผ่านไป วันพรุ่งนี้เป็นความหวังเสมอ โชคชะตาของคนเราไม่ควรอยู่ในกำมือของผู้อื่น หากต้องอยู่ในมือของตัวเอง ถึงจะต้องต่อสู้จนตัวตาย ก็ไม่สำนึกเสียใจเด็ดขาด
เมื่อ โค่วจง ได้มีโอกาสฝึกเคล็ดวิชาอมตะสำเร็จ นี่ย่อมมิใช่เรื่อง “บังเอิญ” ในชีวิตของเขาอย่างแน่นอน เมื่อฟ้าลิขิตให้ตัวเขาได้เคล็ดวิชาอมตะนี้มา ฟ้าก็ย่อมวางตัวเขา และฉีจื่อหลิงให้อยู่ในตำแหน่งบทบาทหนึ่งในประวัติศาสตร์ ไม่ว่าพวกเขาจะยินยอมพร้อมใจหรือไม่ ก็ได้แต่แสดงบทบาทที่ได้รับมอบนี้มาให้ดีที่สุดเท่านั้น
เชื่อในโชคชะตาที่ผ่านไปของตัวเอง
แต่ไม่เชื่อโชคชะตาที่ทำนายเกี่ยวกับอนาคตตนเอง
สำหรับอนาคตข้างหน้า เพียงเชื่อในสิ่งที่ทำอยู่ในกำมือของตนเองเท่านั้น...นี่แหละคือ วิถีอย่างโค่วจง!
โค่วจง เห็นว่า ชีวิตมนุษย์เราเป็นเพียงประสบการณ์ และผลพวงที่ตัวเองเลือกไว้เท่านั้น ต่อให้เป็นฮ่องเต้เจ้าชีวิต หรือเป็นวีรบุรุษผู้กล้า หรือเป็นผู้มีชื่อเสียงสะท้านแผ่นดิน หรือเป็นคนร่ำรวยล้นฟ้า เพียงชั่วลัดนิ้วมือเดียว ชีวิตก็ผ่านพ้นไป มิหนำซ้ำจะผ่านไปอย่างรวดเร็วยิ่งดุจความฝันตื่นหนึ่งเท่านั้น
หลังจากผ่านความยากลำบากแบบเลือดตาแทบกระเด็น ในที่สุด โค่วจง ก็สามารถก่อตั้ง กองทัพขุนพลน้อย ของเขาขึ้นมาเป็นขุมกำลังของตนเอง และยึดครองดินแดนส่วนหนึ่งเอาไว้ได้ พอถึงตอนนี้ ความใฝ่ฝันของ โค่วจง ที่จะเข้าร่วมช่วงชิงแผ่นดิน มิใช่เรื่องเพ้อฝันโคมลอยอีกต่อไปแล้ว
ในฐานะที่เป็นผู้บังคับบัญชากองทัพ โค่วจง มีบุคลิกภาพอันโดดเด่น ท่วงท่ามั่นคงดุจขุนเขา สายตาที่แหลมคม และเจิดจ้าดั่งสายฟ้าถ่ายทอดความเชื่อมั่นอย่างเปี่ยมล้มออกมา ในสายตาของผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของมัน โค่วจง เป็นทั้งผู้นำทัพที่รบชนะทุกครั้งครา และเป็นมือดาบที่ไร้ผู้ต่อต้าน เมื่อรวมทั้งสองประการเข้าด้วยกัน ทำให้ “ขุนพลน้อย” อย่างเขาได้รับการเคารพเทิดทูนจากผู้ใต้บังคับบัญชา ประดุจเทพเจ้าแห่งการต่อสู้
อันที่จริงโอกาสที่ โค่วจง จะได้ชัยในการช่วงชิงแผ่นดินมีไม่มากนัก เมื่อเทียบกับขุมพลังกลุ่มอื่นๆ แต่ก็มีนักรบผู้มีฝีมือจำนวนไม่น้อยที่เลือกที่จะอยู่ร่วมกับ โค่วจง เพราะนอกจากพวกเขาจะยอมรับนับถือในเรื่องไหวพริบ ฝีมือ ตลอดจนความคิดความอ่านของ โค่วจง แล้ว
ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ พวกเขาล้วนยกย่องพฤติการณ์ของโค่วจง ที่ใจกว้าง ไม่ริษยา ไม่หวาดระแวงคนใกล้ตัว ใครที่อยู่ใกล้ชิดกับ โค่วจง จะมักรู้สึกเสมอว่า เรื่องที่เป็นไปไม่ได้มันกลับสามารถทำให้กลายเป็นไปได้ ทุกสิ่งล้วนสามารถสำเร็จลุล่วง การได้อยู่ร่วมกับโค่วจง จึงเป็นความตื่นเต้นเร้าใจยิ่งนักในชีวิต ที่หาได้ยากจากผู้นำคนอื่น
เสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของ โค่วจง ก็คือ มันจะไม่สร้างความเสียหายแก่คนที่มันรักเด็ดขาด เพราะเหตุนี้บางครั้งมันก็ประพฤติตนโง่งม โดยไม่คำนึงถึงเหตุผลใดหรือผลลัพธ์ในกาลข้างหน้า ถ้าหากมันต้องกระทำเพื่อปกป้องคนที่มันรัก โค่วจง ไม่เคยทิ้งเพื่อน พรรคพวกเพื่อเอาตัวรอดเลย คนอย่าง โค่วจง เลือกตายดีกว่าที่จะเลือกมีชีวิตรอดอย่างอดสูละอายแก่ใจตนเอง
วิถีของโค่วจง เป็นวิถีของลูกผู้ชายที่แท้จริงอย่างแน่นอน เพราะ ลูกผู้ชายที่แท้จริงพึงกำหนดเป้าหมายชีวิตอันยิ่งใหญ่ จากนั้นก็ต้องทุ่มเทชีวิตจิตใจเข้ากระทำมุ่งสู่จุดหมายนั้น โดยไม่คำนึงถึงความสำเร็จ และความล้มเหลว ขณะที่ผู้คนทั่วไปมุ่งแสวงหาความสุขจากกองทุกข์ แต่คนอย่าง โค่วจง มุ่งต่อสู้ดิ้นรนท่ามกลางคลื่นลมแห่งยุคสมัย ต่อให้ถูกคลื่นท่วมท้นศีรษะบังมิดหายก็จะไม่สำนึกเสียใจ
เพราะมีแต่ การท้าทายยุคสมัย เยี่ยงนี้ คนอย่างมันจึงค่อยรู้สึกถึงคุณค่า และตระหนักถึงการดำรงคงอยู่ของตัวเองได้ ในท่ามกลางยุคแห่งความวุ่นวายดุจกลียุคเช่นปัจจุบันนี้ คนอย่างโค่วจง มีเท่าไหร่ก็ไม่ถือว่าพอ และคงมีแต่ คนอย่างโค่วจง เท่านั้นที่จะกล้าเผชิญหน้าท้าทาย ระบอบทักษิณ และก้าวข้าม ระบอบอำมาตยาธิปไตย ได้ (ยังมีต่อ)