เมื่อเวลา 13.30 น. วานนี้ (26 พ.ค.) ที่ห้องแถลงข่าวรัฐสภา แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาชนต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ประกอบด้วยนาย จรัล ดิษฐาอภิชัย น.พ.เหวง โตจิราการ นายชินวัฒน์ หาบุญพาด และนายสุชาติ นาคบางไทร ได้ร่วมกันแถลงข่าวปฎิเสธว่า นปช.ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความรุนแรงที่เกิดขึ้นในระหว่างการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อคืนวันที่ 25 พ.ค. ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ บรรยากาศการแถลงข่าวเป็นไปอย่างดุเดือด เมื่อผู้สื่อข่าวได้ซักถามนายจรัล ว่าเหตุใดจึงปฎิเสธความรับผิดชอบ ในเมื่อนายสุชาติ ซึ่งมาแถลงข่าวด้วยกันก็เป็นหนึ่งในผู้ปราศรัยบนเวทีต่อต้านพันธมิตรฯ แต่นายจรัล อ้างว่าเป็นการกระทำส่วนบุคคลไม่ใช่ในนาม นปช. เพราะนปช.ไม่มีมติให้เคลื่อนไหว จากนั้นนายจรัล ได้มอบหมายให้นายสุชาติ ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์เป็นผู้ชี้แจง โดยนายสุชาติ ระบุว่า ความจริงพวกตนเป็นกลุ่มผู้รักประชาธิปไตย คัดค้านเผด็จการ ไม่อยากไปชุมนุมใกล้พันธมิตรฯ แต่เมื่อพันธมิตรฯ จะเดินขบวนไปทำเนียบรัฐบาล เราจึงมีมติเคลื่อนด้วย
ผู้สื่อข่าวถามว่า การตั้งใจที่จะเดินขบวนประกบพันธมิตรฯ ส่อเจตนาว่าต้องการมีเรื่องใช่หรือไม่ นายสุชาติ ตอบว่า เราไม่อยากมีเรื่อง เพราะตำรวจกั้นพวกเรากับพันธมิตรฯไว้ แต่คนของพันธมิตรฯ วิ่งมาตีพวกเราก่อน และมีการไล่ตีประชาชนที่รอรถเมล์อยู่บริเวณนั้นด้วย
ผู้สื่อข่าวได้สอบถามว่า ในฐานะที่เป็นแกนนำทราบหรือไม่ว่า ในกลุ่มต่อต้านนั้นมีการพกพาอาวุธหลายชนิด ทั้งมีด และไม้หน้าสาม เพื่อโจมตีกลุ่มพันธมิตรฯ นายสุชาติ ได้ย้อนถามผู้สื่อข่าวด้วยความไม่พอใจว่า ตนไม่เห็นอาวุธใดๆ เลย ถ้ามีจริงให้เอาภาพถ่ายมายืนยัน ก่อนจะถามกลับว่า คุณเห็นอะไรที่พันธมิตรฯ บ้างหรือไม่ ผู้สื่อข่าวตอบว่า ได้ทำข่าวการชุมนุมของกลุ่ม นปช. จึงเห็นพฤติกรรมและความเคลื่อนไหวตลอด และช่วงหนึ่งมวลชนของนปช. เองได้มาขอร้องให้ตนช่วยถือไม้ไปตีพันธมิตรฯ ด้วย นายสุชาติ โต้ทันทีว่า แสดงว่าคุณก็ใช้ความรุนแรง แต่ผู้สื่อข่าวบอกกลับไปว่ากลุ่มของนปช. มาขอให้ถือ แต่ตนไม่ได้ถือแต่อย่างใด
นายสุชาติ กล่าวเหน็บแนมว่า "ขอบคุณมาก คุณทำหน้าที่เป็นนักข่าวให้กับนปก.อย่างเดียว" และถามว่าอยู่สำนักพิมพ์ไหน เมื่อผู้สื่อข่าวปฏิเสธที่จะตอบ นายสุชาติ กล่าวว่า "ถ้าถามอย่างนี้ แสดงคุณว่าจ้องแต่จะจับผิดเฉพาะนปช. หรือไม่ หรือหวังดีกับ นปช. อะไรที่ผมไม่รู้ อย่ายัดเยียด ฉะนั้นพวกคุณชอบไปเขียนกันเองอยู่แล้ว จริงๆแล้วผมไม่ได้ปรารถนาที่จะมาพูดต่อหน้าพวกคุณเลย และพวกคุณถามเรื่องนี้ทำไม"
เมื่อผู้สื่อข่าวแย้งว่า ในเมื่อมาแถลง ผู้สื่อข่าวก็มีสิทธิซักถาม ซึ่งท่านก็มีสิทธิที่จะตอบหรือไม่ตอบก็ได้ นายสุชาติ กล่าวอย่างมีอารมณ์ว่า คุณถามมา ผมก็ตอบไปแล้ว แต่ผมไม่อยากมาแถลงที่นี่ แต่นายจรัล พามา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงท้ายการแถลงข่าว นายสุชาติ ได้นำกล้องส่วนตัวขึ้นมาถ่ายรูปผู้สื่อข่าวหลายคนที่ตั้งคำถามต่อเนื่อง จนผู้สื่อข่าวต่างรุมถามว่า ถ่ายรูปไปทำไม นายสุชาติ กล่าวว่า "แค่ถ่ายรูปแค่นี้ คุณก็กลัวแล้วหรือ ผมแค่ถ่ายรูปเพื่อดูหน้าพวกคุณคือใคร ผมจะได้ไปศึกษาท่าน"
ผู้สื่อข่าวถามว่า ศึกษาไปทำไม นายสุชาติ กล่าวว่า "มันเป็นสิทธิของผม ทีพวกคุณถ่ายผม ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร" แต่ผู้สื่อข่าวชี้แจงว่านายสุชาติ เป็นผู้แถลงข่าว ก็ต้องถูกถ่ายรูปทำข่าวได้
จากนั้นบรรยากาศเป็นไปอย่างโกลาหล ผู้สื่อข่าวขอให้นายจรัล ลบภาพรูปผู้สื่อข่าวในกล้องของนายสุชาติ แต่ นายสุชาติ แย้งว่า "ทรัพย์สินของผม ใครอย่าแตะก็แล้วกัน"
ผู้สื่อข่าวจึงถามนายจรัลว่า ในฐานะที่เป็นผู้พามา จะรับผิดชอบนายสุชาติได้ไหม เพราะพฤติกรรมเช่นนี้ เคยเกิดกรณีการคุกคามสื่อ โดยให้ชายฉกรรจ์มาติดตามผู้สื่อข่าวมาแล้ว แต่นายจรัล นิ่งเงียบ จากนั้นผู้สื่อข่าวถามต่อว่า ในฐานะเป็นอดีตกรรมสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ คิดอย่างไรกับประเด็นสิทธิเสรีภาพ และท่าทีของการคุกคามสื่อเช่นนี้ นายจรัลจึงกล่าวอย่างมีอารมณ์ว่า "พวกคุณชอบใช้คำว่า คุกคาม และผมก็เลิกนับถือสื่อมวลชนมานานแล้ว ก่อนจะตบไมค์ลงกับโต๊ะด้วยความไม่พอใจ พร้อมบอกว่า "เลิกโว๊ย" และลุกหนีไปทันที พร้อมกับนายสุชาติ โดยนายจรัลได้เดินไปพูดคุยกับนายนิสิต สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคพลังประชาชน อดีตประธานกลุ่มคนรักทักษิณ ซึ่งร่วมชุมนุมอยู่ด้วยในคืนเกิดเหตุ และเป็นผู้นำกลุ่มนปช. มาแถลงข่าวว่า "ผมต้องกลับก่อน อยู่ต่อเดี๋ยวอดใจไม่ไหว เดี๋ยวชกเอา"
ขณะที่นพ.เหวง พยายามยุติการตอบโต้ โดยกล่าวว่าไม่อยากให้เสียบรรยากาศการแถลงข่าว เรื่องนี้เป็นเรื่องเล็ก ขอกันกินมากกว่านี้ แต่ผู้สื่อข่าวเรียกร้องให้อย่าใช้คำว่า "ขอกันกินมากกว่านี้" เพราะไม่มีนักข่าวคนไหนไปขอนปช.กิน ทำให้นพ.เหวง ต้องเปลี่ยนไปใช้คำว่า ล่วงล้ำกันบ้างก็ไม่เป็นไร และรับปากว่าหากผู้สื่อข่าวจะแจ้งความเอาไว้เป็นหลักฐานว่ามีการถ่ายรูปผู้สื่อข่าวจริง ก็พร้อมจะเป็นพยานให้
จากนั้นตัวแทนคณะผู้สื่อข่าวรัฐสภา ได้เข้าไปแจ้งกับนายนิสิต ถึงพฤติกรรมการข่มขู่ผู้เสื่อข่าว ด้วยวาจา และการถ่ายภาพดังกล่าว และขอให้นายนิสิต รับรองว่าถ้าจะมีการแจ้งความ นายนิสิต ต้องเป็นพยานว่าเป็นคนที่พาคนเหล่านี้มาจริง ซึ่งนายนิสิต รับปากว่า พร้อมไปให้การกับตำรวจ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากนั้นผู้สื่อข่าวทั้งหมดได้หารือร่วมกัน และมีมติร่วมกันว่า จะดำเนินการแจ้งความไว้ที่ ส.น.ดุสิต ไว้เป็นหลักฐานว่า มีเจตนาจะคุกคามสื่อ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการการชุมชุมของกลุ่มพันธมิตรฯและม็อบต้าน เมื่อช่วงกลางดึกวันที่ 25 พ.ค. ที่ผ่านมา ปรากฎว่า นายนิสิต สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคพลังประชาชน ได้เดินทางไปอยู่ในกลุ่มม็อบนปก. ด้วย เมื่อเห็นผู้สื่อข่าวนายนิสิต ก็พยายามหลบหน้า และเดินหนีไป
นายนิสิต กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ตนเห็นข่าวในทีวี ซึ่งมีเหตุรุนแรง มีการปะทะกันเกิดขึ้น ตนและลูกสาวจึงได้ขับรถไปดูม็อบเพื่อสังเกตการณ์ และยังได้เข้าไปในส่วนของพันธมิตรฯด้วย ที่ว่าหลบหน้าผู้สื่อข่าวนั้น ตนไม่ได้หลบ แต่เป็นช่วงชุลมุน อย่างไรก็ตาม การปะทะของม็อบทั้ง 2 กลุ่ม ตนถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาตามระบอบประชาธิปไตย สมัยตนเป็นนักศึกษาก็คลุกคลีกับม็อบประเภท ถือว่าปกติ
เมื่อถามว่าการปรากฏตัวเช่นนั้น อาจถูกมองว่าอยู่เบื้องหลังม็อบดังกล่าวหรือไม่ และอาจทำให้โยงว่า เป็นคนสนิทของนายเนวิน ชิดชอบ ที่มาเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง นายนิสิต กล่าวว่า นายเนวิน ไม่เกี่ยวข้องอะไรด้วย และพวกม็อบที่มา ก็มาด้วยสิทธิส่วนตัว ตามระบอบประชาธิปไตย
**จี้สมาคมวิชาชีพสื่อจัดการ
นายอภิชาต ศักดิเศรษฐ์ รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า เป็นการสะท้อนให้เห็นวุฒิภาวะของบุคคลที่เป็นบุคคลสาธารณะ แม้จะใช้สื่อเป็นช่องทางเผยแพร่ข้อมูลของตนเอง แต่กลับไม่เข้าใจหน้าที่ที่แท้จริงของสื่อมวลชน คิดว่าสิ่งที่สื่อถามเป็นอันตราย และตั้งตัวเป็นศัตรูกับตนเอง จึงได้แสดงอาการดังกล่าวออกมา นอกจากนี้ จะสังเกตได้ว่าตลอดรัฐบาลนี้ มีการคุกคามสื่อเกิดขึ้นบ่อยมาก เริ่มตั้งแต่คนที่เป็นนายกรัฐมนตรีที่ปะทะกับสื่อมาโดยตลอด หรือรัฐมนตรี และส.ส. ตนจึงอยากให้บุคคลสาธารณะเหล่านี้ ควรมีวุฒิภาวะให้มาก และควรเข้าใจหน้าที่ของสื่อมวลชน
"ผมอยากให้สมาคมวิชาชีพสื่อมวลชนออกมาเรียกร้องเรื่องนี้ เพราะการถ่ายรูปผู้สื่อข่าว หากมองในแง่ร้ายถือเป็นการคุกคามสิทธิเสรีภาพและความปลอดภัยในชีวิต ดังนั้น ต้องออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลจัดการเรื่องนี้อย่างจริงจัง" นายอภิชาตกล่าว
**เพื่อนระอา"สุชาติ"พาคนไปโดนตีน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในเวปไซต์ www. Prachatai .com ในเว็บบอร์ด แสดงความคิดเห็น ได้กล่าวถึงกรณี นายสุชาติ นาคบางไทร แกนนำกลุ่มคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ ไปปลุกระดมมวลชนที่สนามหลวง ออกไปก่อกวนกลุ่มพันธมิตรฯ จนสมาชิกหลายคนบาดเจ็บตามๆ กันนั้น ผู้ใช้นามว่า"จิตเปี่อย" กล่าวถามนายสุชาติว่า กำลังทำอะไรอยู่ พาคนไปบาดเจ็บ ทั้งบาดเจ็บเล็กน้อย ถึงสาหัส วางแผนประสาอะไร เดินตามไปก่อกวนเขา สุดท้ายโดนเขาโต้กลับเจ็บกันระนาว นี่หรือจอมวางแผน มวลชนที่เขามีใจ ไปด้วยใจ หวังพึ่งผู้นำที่ออกมาเชิญชวน บอกว่าเรามีพลังมวลชนสนับสนุนเยอะ พันธมิตรฯ มากันนับอย่างดีหลายรอบ ก็ได้แค่ไม่เกิน 6 - 7 พันคน แต่เขามีแผนการที่รอบคอบ แล้วกุนซือ ชาติ ลอกแผนอาจารย์ไหนมา ปล่อยคนไปเจ็บกันขนาดนั้น นายสุชาติ จะรับผิดชอบคนที่เขาบาดเจ็บอย่างไร ถ้านายสุชาติ อยากเป็นผู้นำขอให้แสดงภาวะผู้นำให้ประจักษ์ ต่อเพื่อนร่วมอุดมการด้วย อยากจะด่าแต่เกรงว่าจะใช้คำที่ไม่สุภาพ ทางด้านผู้ใช้นามว่า boonshoo กล่าวว่า ตนและเพื่อนๆร่วมอุดมการณ์อีกหลายคนได้เตือนนายสุชาติแล้ว ขอให้ยกเลิกการพบกันตามปกติที่สนามหลวงไปก่อน แต่นายสุชาติไม่ฟัง อ้างข้างๆคูๆว่า เราชุมนุมอยู่คนละจุด และห่างกันคงไม่มีใครฝ่ายเราไปยุ่งเกี่ยว แล้วในที่สุดเป็นอย่างไร นายสุชาติ กลับใช้ปากยั่วยุ วางแผนโดยไม่ต้องรับผิดชอบอะไร นอกจากใช้ปากปลุกระดม พาเพื่อนๆไปโดนเขาทุบตีบาดเจ็บไปตามๆ กัน ตนเห็นแล้วน้ำตาซึมน่าอดสูยิ่งนัก นายสุชาติ ก็จะออกมาแก้ตัวอีกว่า ไม่ใช่ความผิดของตัวเองอีกเหมือนเดิม โดยอ้างว่าพวกเพื่อนๆไปกันเอง ทั้งๆที่ตัวเองยั่วยุวางแผน จากประสบการณ์ในอดีตที่บ้านสี่เสา ในครั้งนั้นสอนเราว่าการต่อสู้ตามเกมมือเปล่าๆนั้น พวกเราได้รับอะไรมาบ้าง แต่นายสุชาติ ไม่เคยจดจำ เพราะนายสุชาติ เอาตัวรอดอยู่แล้ว ก็ได้แต่สงสารเพื่อนๆ ร่วมอุดมการณ์ ที่ต้องเจ็บตัวและเดือดร้อนถึงครอบครัว ผมคงไม่เตือนนายสุชาติอีกแล้ว เพราะระยะหลังๆ พวกเราพบว่าคนอย่างคุณ ทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ทำเป็นคนเก่ง ด่าฝ่ายตรงข้ามเขาเป็นควาย โดยลืมดูตัวเอง ว่าใครเป็นควายกันแน่ ผลประโยช์มันบังตา คุณจึงพาเพื่อนๆไปโดนเขาทุบเขากระทืบ ขอให้เพื่อนๆ ถอยออกมา และใช้สมองของตัวเองพิจารณา หาวิธีที่ปลอดภัยที่สุด ออกไปสู้กับพันธมิตรฯโดยปราศจากนายสุชาติเป็นคนนำ ไม่อย่างนั้นก็จะต้องเป็นบ่าให้นายสุชาติเหยียบตลอดไปเพราะคนๆนี้ต้องการเป็นฮีโร่ บนหยดเลือดของคนอื่น เพื่อผลประโยชน์ของตัวเองที่จะตามมาตามที่พวกเราได้ข่าวเรื่อง เงินๆ ทองๆ มาตลอดจนพวกร่วมอุดมการณ์ คนวันเสาร์จริงๆ หลายคนเอือมละอาไม่ร่วมมือด้วยแล้ว
ทั้งนี้ บรรยากาศการแถลงข่าวเป็นไปอย่างดุเดือด เมื่อผู้สื่อข่าวได้ซักถามนายจรัล ว่าเหตุใดจึงปฎิเสธความรับผิดชอบ ในเมื่อนายสุชาติ ซึ่งมาแถลงข่าวด้วยกันก็เป็นหนึ่งในผู้ปราศรัยบนเวทีต่อต้านพันธมิตรฯ แต่นายจรัล อ้างว่าเป็นการกระทำส่วนบุคคลไม่ใช่ในนาม นปช. เพราะนปช.ไม่มีมติให้เคลื่อนไหว จากนั้นนายจรัล ได้มอบหมายให้นายสุชาติ ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์เป็นผู้ชี้แจง โดยนายสุชาติ ระบุว่า ความจริงพวกตนเป็นกลุ่มผู้รักประชาธิปไตย คัดค้านเผด็จการ ไม่อยากไปชุมนุมใกล้พันธมิตรฯ แต่เมื่อพันธมิตรฯ จะเดินขบวนไปทำเนียบรัฐบาล เราจึงมีมติเคลื่อนด้วย
ผู้สื่อข่าวถามว่า การตั้งใจที่จะเดินขบวนประกบพันธมิตรฯ ส่อเจตนาว่าต้องการมีเรื่องใช่หรือไม่ นายสุชาติ ตอบว่า เราไม่อยากมีเรื่อง เพราะตำรวจกั้นพวกเรากับพันธมิตรฯไว้ แต่คนของพันธมิตรฯ วิ่งมาตีพวกเราก่อน และมีการไล่ตีประชาชนที่รอรถเมล์อยู่บริเวณนั้นด้วย
ผู้สื่อข่าวได้สอบถามว่า ในฐานะที่เป็นแกนนำทราบหรือไม่ว่า ในกลุ่มต่อต้านนั้นมีการพกพาอาวุธหลายชนิด ทั้งมีด และไม้หน้าสาม เพื่อโจมตีกลุ่มพันธมิตรฯ นายสุชาติ ได้ย้อนถามผู้สื่อข่าวด้วยความไม่พอใจว่า ตนไม่เห็นอาวุธใดๆ เลย ถ้ามีจริงให้เอาภาพถ่ายมายืนยัน ก่อนจะถามกลับว่า คุณเห็นอะไรที่พันธมิตรฯ บ้างหรือไม่ ผู้สื่อข่าวตอบว่า ได้ทำข่าวการชุมนุมของกลุ่ม นปช. จึงเห็นพฤติกรรมและความเคลื่อนไหวตลอด และช่วงหนึ่งมวลชนของนปช. เองได้มาขอร้องให้ตนช่วยถือไม้ไปตีพันธมิตรฯ ด้วย นายสุชาติ โต้ทันทีว่า แสดงว่าคุณก็ใช้ความรุนแรง แต่ผู้สื่อข่าวบอกกลับไปว่ากลุ่มของนปช. มาขอให้ถือ แต่ตนไม่ได้ถือแต่อย่างใด
นายสุชาติ กล่าวเหน็บแนมว่า "ขอบคุณมาก คุณทำหน้าที่เป็นนักข่าวให้กับนปก.อย่างเดียว" และถามว่าอยู่สำนักพิมพ์ไหน เมื่อผู้สื่อข่าวปฏิเสธที่จะตอบ นายสุชาติ กล่าวว่า "ถ้าถามอย่างนี้ แสดงคุณว่าจ้องแต่จะจับผิดเฉพาะนปช. หรือไม่ หรือหวังดีกับ นปช. อะไรที่ผมไม่รู้ อย่ายัดเยียด ฉะนั้นพวกคุณชอบไปเขียนกันเองอยู่แล้ว จริงๆแล้วผมไม่ได้ปรารถนาที่จะมาพูดต่อหน้าพวกคุณเลย และพวกคุณถามเรื่องนี้ทำไม"
เมื่อผู้สื่อข่าวแย้งว่า ในเมื่อมาแถลง ผู้สื่อข่าวก็มีสิทธิซักถาม ซึ่งท่านก็มีสิทธิที่จะตอบหรือไม่ตอบก็ได้ นายสุชาติ กล่าวอย่างมีอารมณ์ว่า คุณถามมา ผมก็ตอบไปแล้ว แต่ผมไม่อยากมาแถลงที่นี่ แต่นายจรัล พามา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงท้ายการแถลงข่าว นายสุชาติ ได้นำกล้องส่วนตัวขึ้นมาถ่ายรูปผู้สื่อข่าวหลายคนที่ตั้งคำถามต่อเนื่อง จนผู้สื่อข่าวต่างรุมถามว่า ถ่ายรูปไปทำไม นายสุชาติ กล่าวว่า "แค่ถ่ายรูปแค่นี้ คุณก็กลัวแล้วหรือ ผมแค่ถ่ายรูปเพื่อดูหน้าพวกคุณคือใคร ผมจะได้ไปศึกษาท่าน"
ผู้สื่อข่าวถามว่า ศึกษาไปทำไม นายสุชาติ กล่าวว่า "มันเป็นสิทธิของผม ทีพวกคุณถ่ายผม ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร" แต่ผู้สื่อข่าวชี้แจงว่านายสุชาติ เป็นผู้แถลงข่าว ก็ต้องถูกถ่ายรูปทำข่าวได้
จากนั้นบรรยากาศเป็นไปอย่างโกลาหล ผู้สื่อข่าวขอให้นายจรัล ลบภาพรูปผู้สื่อข่าวในกล้องของนายสุชาติ แต่ นายสุชาติ แย้งว่า "ทรัพย์สินของผม ใครอย่าแตะก็แล้วกัน"
ผู้สื่อข่าวจึงถามนายจรัลว่า ในฐานะที่เป็นผู้พามา จะรับผิดชอบนายสุชาติได้ไหม เพราะพฤติกรรมเช่นนี้ เคยเกิดกรณีการคุกคามสื่อ โดยให้ชายฉกรรจ์มาติดตามผู้สื่อข่าวมาแล้ว แต่นายจรัล นิ่งเงียบ จากนั้นผู้สื่อข่าวถามต่อว่า ในฐานะเป็นอดีตกรรมสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ คิดอย่างไรกับประเด็นสิทธิเสรีภาพ และท่าทีของการคุกคามสื่อเช่นนี้ นายจรัลจึงกล่าวอย่างมีอารมณ์ว่า "พวกคุณชอบใช้คำว่า คุกคาม และผมก็เลิกนับถือสื่อมวลชนมานานแล้ว ก่อนจะตบไมค์ลงกับโต๊ะด้วยความไม่พอใจ พร้อมบอกว่า "เลิกโว๊ย" และลุกหนีไปทันที พร้อมกับนายสุชาติ โดยนายจรัลได้เดินไปพูดคุยกับนายนิสิต สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคพลังประชาชน อดีตประธานกลุ่มคนรักทักษิณ ซึ่งร่วมชุมนุมอยู่ด้วยในคืนเกิดเหตุ และเป็นผู้นำกลุ่มนปช. มาแถลงข่าวว่า "ผมต้องกลับก่อน อยู่ต่อเดี๋ยวอดใจไม่ไหว เดี๋ยวชกเอา"
ขณะที่นพ.เหวง พยายามยุติการตอบโต้ โดยกล่าวว่าไม่อยากให้เสียบรรยากาศการแถลงข่าว เรื่องนี้เป็นเรื่องเล็ก ขอกันกินมากกว่านี้ แต่ผู้สื่อข่าวเรียกร้องให้อย่าใช้คำว่า "ขอกันกินมากกว่านี้" เพราะไม่มีนักข่าวคนไหนไปขอนปช.กิน ทำให้นพ.เหวง ต้องเปลี่ยนไปใช้คำว่า ล่วงล้ำกันบ้างก็ไม่เป็นไร และรับปากว่าหากผู้สื่อข่าวจะแจ้งความเอาไว้เป็นหลักฐานว่ามีการถ่ายรูปผู้สื่อข่าวจริง ก็พร้อมจะเป็นพยานให้
จากนั้นตัวแทนคณะผู้สื่อข่าวรัฐสภา ได้เข้าไปแจ้งกับนายนิสิต ถึงพฤติกรรมการข่มขู่ผู้เสื่อข่าว ด้วยวาจา และการถ่ายภาพดังกล่าว และขอให้นายนิสิต รับรองว่าถ้าจะมีการแจ้งความ นายนิสิต ต้องเป็นพยานว่าเป็นคนที่พาคนเหล่านี้มาจริง ซึ่งนายนิสิต รับปากว่า พร้อมไปให้การกับตำรวจ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากนั้นผู้สื่อข่าวทั้งหมดได้หารือร่วมกัน และมีมติร่วมกันว่า จะดำเนินการแจ้งความไว้ที่ ส.น.ดุสิต ไว้เป็นหลักฐานว่า มีเจตนาจะคุกคามสื่อ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการการชุมชุมของกลุ่มพันธมิตรฯและม็อบต้าน เมื่อช่วงกลางดึกวันที่ 25 พ.ค. ที่ผ่านมา ปรากฎว่า นายนิสิต สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคพลังประชาชน ได้เดินทางไปอยู่ในกลุ่มม็อบนปก. ด้วย เมื่อเห็นผู้สื่อข่าวนายนิสิต ก็พยายามหลบหน้า และเดินหนีไป
นายนิสิต กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ตนเห็นข่าวในทีวี ซึ่งมีเหตุรุนแรง มีการปะทะกันเกิดขึ้น ตนและลูกสาวจึงได้ขับรถไปดูม็อบเพื่อสังเกตการณ์ และยังได้เข้าไปในส่วนของพันธมิตรฯด้วย ที่ว่าหลบหน้าผู้สื่อข่าวนั้น ตนไม่ได้หลบ แต่เป็นช่วงชุลมุน อย่างไรก็ตาม การปะทะของม็อบทั้ง 2 กลุ่ม ตนถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาตามระบอบประชาธิปไตย สมัยตนเป็นนักศึกษาก็คลุกคลีกับม็อบประเภท ถือว่าปกติ
เมื่อถามว่าการปรากฏตัวเช่นนั้น อาจถูกมองว่าอยู่เบื้องหลังม็อบดังกล่าวหรือไม่ และอาจทำให้โยงว่า เป็นคนสนิทของนายเนวิน ชิดชอบ ที่มาเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง นายนิสิต กล่าวว่า นายเนวิน ไม่เกี่ยวข้องอะไรด้วย และพวกม็อบที่มา ก็มาด้วยสิทธิส่วนตัว ตามระบอบประชาธิปไตย
**จี้สมาคมวิชาชีพสื่อจัดการ
นายอภิชาต ศักดิเศรษฐ์ รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า เป็นการสะท้อนให้เห็นวุฒิภาวะของบุคคลที่เป็นบุคคลสาธารณะ แม้จะใช้สื่อเป็นช่องทางเผยแพร่ข้อมูลของตนเอง แต่กลับไม่เข้าใจหน้าที่ที่แท้จริงของสื่อมวลชน คิดว่าสิ่งที่สื่อถามเป็นอันตราย และตั้งตัวเป็นศัตรูกับตนเอง จึงได้แสดงอาการดังกล่าวออกมา นอกจากนี้ จะสังเกตได้ว่าตลอดรัฐบาลนี้ มีการคุกคามสื่อเกิดขึ้นบ่อยมาก เริ่มตั้งแต่คนที่เป็นนายกรัฐมนตรีที่ปะทะกับสื่อมาโดยตลอด หรือรัฐมนตรี และส.ส. ตนจึงอยากให้บุคคลสาธารณะเหล่านี้ ควรมีวุฒิภาวะให้มาก และควรเข้าใจหน้าที่ของสื่อมวลชน
"ผมอยากให้สมาคมวิชาชีพสื่อมวลชนออกมาเรียกร้องเรื่องนี้ เพราะการถ่ายรูปผู้สื่อข่าว หากมองในแง่ร้ายถือเป็นการคุกคามสิทธิเสรีภาพและความปลอดภัยในชีวิต ดังนั้น ต้องออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลจัดการเรื่องนี้อย่างจริงจัง" นายอภิชาตกล่าว
**เพื่อนระอา"สุชาติ"พาคนไปโดนตีน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในเวปไซต์ www. Prachatai .com ในเว็บบอร์ด แสดงความคิดเห็น ได้กล่าวถึงกรณี นายสุชาติ นาคบางไทร แกนนำกลุ่มคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ ไปปลุกระดมมวลชนที่สนามหลวง ออกไปก่อกวนกลุ่มพันธมิตรฯ จนสมาชิกหลายคนบาดเจ็บตามๆ กันนั้น ผู้ใช้นามว่า"จิตเปี่อย" กล่าวถามนายสุชาติว่า กำลังทำอะไรอยู่ พาคนไปบาดเจ็บ ทั้งบาดเจ็บเล็กน้อย ถึงสาหัส วางแผนประสาอะไร เดินตามไปก่อกวนเขา สุดท้ายโดนเขาโต้กลับเจ็บกันระนาว นี่หรือจอมวางแผน มวลชนที่เขามีใจ ไปด้วยใจ หวังพึ่งผู้นำที่ออกมาเชิญชวน บอกว่าเรามีพลังมวลชนสนับสนุนเยอะ พันธมิตรฯ มากันนับอย่างดีหลายรอบ ก็ได้แค่ไม่เกิน 6 - 7 พันคน แต่เขามีแผนการที่รอบคอบ แล้วกุนซือ ชาติ ลอกแผนอาจารย์ไหนมา ปล่อยคนไปเจ็บกันขนาดนั้น นายสุชาติ จะรับผิดชอบคนที่เขาบาดเจ็บอย่างไร ถ้านายสุชาติ อยากเป็นผู้นำขอให้แสดงภาวะผู้นำให้ประจักษ์ ต่อเพื่อนร่วมอุดมการด้วย อยากจะด่าแต่เกรงว่าจะใช้คำที่ไม่สุภาพ ทางด้านผู้ใช้นามว่า boonshoo กล่าวว่า ตนและเพื่อนๆร่วมอุดมการณ์อีกหลายคนได้เตือนนายสุชาติแล้ว ขอให้ยกเลิกการพบกันตามปกติที่สนามหลวงไปก่อน แต่นายสุชาติไม่ฟัง อ้างข้างๆคูๆว่า เราชุมนุมอยู่คนละจุด และห่างกันคงไม่มีใครฝ่ายเราไปยุ่งเกี่ยว แล้วในที่สุดเป็นอย่างไร นายสุชาติ กลับใช้ปากยั่วยุ วางแผนโดยไม่ต้องรับผิดชอบอะไร นอกจากใช้ปากปลุกระดม พาเพื่อนๆไปโดนเขาทุบตีบาดเจ็บไปตามๆ กัน ตนเห็นแล้วน้ำตาซึมน่าอดสูยิ่งนัก นายสุชาติ ก็จะออกมาแก้ตัวอีกว่า ไม่ใช่ความผิดของตัวเองอีกเหมือนเดิม โดยอ้างว่าพวกเพื่อนๆไปกันเอง ทั้งๆที่ตัวเองยั่วยุวางแผน จากประสบการณ์ในอดีตที่บ้านสี่เสา ในครั้งนั้นสอนเราว่าการต่อสู้ตามเกมมือเปล่าๆนั้น พวกเราได้รับอะไรมาบ้าง แต่นายสุชาติ ไม่เคยจดจำ เพราะนายสุชาติ เอาตัวรอดอยู่แล้ว ก็ได้แต่สงสารเพื่อนๆ ร่วมอุดมการณ์ ที่ต้องเจ็บตัวและเดือดร้อนถึงครอบครัว ผมคงไม่เตือนนายสุชาติอีกแล้ว เพราะระยะหลังๆ พวกเราพบว่าคนอย่างคุณ ทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ทำเป็นคนเก่ง ด่าฝ่ายตรงข้ามเขาเป็นควาย โดยลืมดูตัวเอง ว่าใครเป็นควายกันแน่ ผลประโยช์มันบังตา คุณจึงพาเพื่อนๆไปโดนเขาทุบเขากระทืบ ขอให้เพื่อนๆ ถอยออกมา และใช้สมองของตัวเองพิจารณา หาวิธีที่ปลอดภัยที่สุด ออกไปสู้กับพันธมิตรฯโดยปราศจากนายสุชาติเป็นคนนำ ไม่อย่างนั้นก็จะต้องเป็นบ่าให้นายสุชาติเหยียบตลอดไปเพราะคนๆนี้ต้องการเป็นฮีโร่ บนหยดเลือดของคนอื่น เพื่อผลประโยชน์ของตัวเองที่จะตามมาตามที่พวกเราได้ข่าวเรื่อง เงินๆ ทองๆ มาตลอดจนพวกร่วมอุดมการณ์ คนวันเสาร์จริงๆ หลายคนเอือมละอาไม่ร่วมมือด้วยแล้ว