แก๊ง นปช.สุมหัวนัดแถลงข่าว บ้วนน้ำลายโบ้ยพันธมิตรฯ ต้นเหตุก่อกวน ไม่ทิ้งกำพืดเดิม โต้คารมเกลียดสื่อ กร่างทุบโต๊ะกลางห้องแถลงข่าว พร้อมงัดกล้องถ่ายรูปนักข่าวเรียงตัวในลักษณะคุกคาม ด้าน “นักข่าวสภา” ฮือแจ้งความ
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง แกนนำ นปช. แถลงข่าว
วันนี้ (26 พ.ค.) ที่ห้องแถลงข่าวรัฐสภา เมื่อเวลา 13.30 น.แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาชนต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ประกอบด้วย นายจรัล ดิษฐาอภิชัย นพ.เหวง โตจิราการ นาย ชินวัฒน์ หาบุญพาด และนายสุชาติ นาคบางไทร ได้ร่วมกันแถลงข่าวปฏิเสธว่า นปช.ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความรุนแรงที่เกิดขึ้นในระหว่างการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันอาทิตย์ที่ 25 พ.ค.
บรรยากาศการแถลงข่าวเป็นไปอย่างดุเดือด เมื่อผู้สื่อข่าวได้ซักถามนายจรัลว่า เหตุใดจึงปฏิเสธความรับผิดชอบ ในเมื่อนายสุชาติซึ่งมาแถลงข่าวด้วยกันก็เป็นหนึ่งในผู้ปราศรัยบนเวทีต่อต้านพันธมิตรฯ นายจรัล กล่าวว่า เป็นการกระทำส่วนบุคคลไม่ใช่ในนาม นปช. เพราะ นปช.ไม่มีมติให้เคลื่อนไหว จากนั้นนายจรัลได้มอบหมายให้นายสุชาติซึ่งอยู่ในเหตุการณ์เป็นผู้ชี้แจง โดยนายสุชาติระบุว่า ความจริงพวกตนเป็นกลุ่มผู้รักประชาธิปไตย คัดค้านเผด็จการ ไม่อยากไปชุมนุมใกล้พันธมิตรฯ แต่เมื่อพันธมิตรฯ จะเดินขบวนไปทำเนียบรัฐบาล เราจึงมีมติเคลื่อนด้วย
ผู้สื่อข่าวถามว่า การตั้งใจที่จะเดินขบวนประกบพันธมิตรฯ ส่อเจตนาว่าต้องการมีเรื่องใช่หรือไม่ นายสุชาติ ตอบว่า เราไม่อยากมีเรื่อง เพราะตำรวจกั้นพวกเรากับพันธมิตรฯ ไว้ แต่คนของพันธมิตรฯ วิ่งมาตีพวกเราก่อน และมีการไล่ตีประชาชนที่รอรถเมล์อยู่บริเวณนั้นด้วย
ผู้สื่อข่าวได้สอบถามว่า ในฐานะที่เป็นแกนนำ ทราบหรือไม่ว่าในกลุ่มต่อต้านนั้นมีการพกพาอาวุธหลายชนิด ทั้งมีด และไม้หน้าสาม เพื่อโจมตีกลุ่มพันธมิตรฯ นายสุชาติได้ย้อนถามผู้สื่อข่าวด้วยความไม่พอใจว่า ตนไม่เห็นอาวุธใดๆ เลย ถ้ามีจริงให้เอาภาพถ่ายมายืนยัน ก่อนจะถามกลับว่า คุณเห็นอะไรที่พันธมิตรฯ บ้างหรือไม่ ผู้สื่อข่าวตอบว่าได้ทำข่าวการชุมนุมของกลุ่ม นปช.จึงเห็นความเคลื่อนไหวตลอด และช่วงหนึ่งมวลชนของ นปช.เองได้มาขอร้องให้ตนช่วยถือไม้ไปตีพันธมิตรฯ ด้วย นายสุชาติโต้ทันทีว่า แสดงว่าคุณก็ใช้ความรุนแรง แต่ผู้สื่อข่าวบอกกลับไปว่ากลุ่มของ นปช.มาขอให้ถือ แต่ตนไม่ได้ถือแต่อย่างใด
นายสุชาติ กล่าวเหน็บแนมว่า “ขอบคุณมาก คุณทำหน้าที่เป็นนักข่าวให้กับ นปก.อย่างเดียว” และถามว่าอยู่สำนักพิมพ์ไหน เมื่อผู้สื่อข่าวปฏิเสธที่จะตอบ นายสุชาติ กล่าวว่า “ถ้าถามอย่างนี้แสดงว่าจ้องแต่จะจับผิดเฉพาะ นปช.หรือไม่ หรือหวังดีกับ นปช. อะไรที่ผมไม่รู้ อย่ายัดเยียด ฉะนั้นพวกคุณชอบไปเขียนกันเองอยู่แล้ว จริงๆ แล้วผมไม่ได้ปรารถนาที่จะมาพูดต่อหน้าพวกคุณเลย และพวกคุณถามเรื่องนี้ทำไม” เมื่อผู้สื่อข่าวแย้งว่าในเมื่อมาแถลง ผู้สื่อข่าวก็มีสิทธิ์ซักถาม ซึ่งท่านก็มีสิทธิ์ที่จะตอบหรือไม่ตอบก็ได้ นายสุชาติ กล่าวอย่างมีอารมณ์ว่า “คุณถามมา ผมก็ตอบไปแล้ว แต่ผมไม่อยากมาแถลงที่นี่ เพียงแต่นายจรัลพามา”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงท้ายการแถลงข่าว นายสุชาติได้นำกล้องส่วนตัวขึ้นมาถ่ายรูปผู้สื่อข่าวหลายคนที่ตั้งคำถามต่อเนื่อง จนผู้สื่อข่าวต่างรุมถามว่าถ่ายรูปไปทำไม นายสุชาติ กล่าวว่า “แค่ถ่ายรูปแค่นี้ คุณก็กลัวแล้วหรือ ผมแค่ถ่ายรูปเพื่อดูหน้าพวกคุณคือใคร ผมจะได้ไปศึกษาท่าน” ผู้สื่อข่าวถามว่าศึกษาไปทำไม นายสุชาติ กล่าวว่า “มันเป็นสิทธิ์ของผม และทีพวกคุณถ่ายผม ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร” แต่ผู้สื่อข่าวชี้แจงว่านายสุชาติเป็นผู้แถลงข่าวก็ต้องถูกถ่ายรูปทำข่าวได้
จากนั้นบรรยากาศเป็นไปอย่างโกลาหล ผู้สื่อข่าวขอให้นายจรัลลบภาพรูปผู้สื่อข่าวในกล้องของนายสุชาติ แต่นายสุชาติแย้งว่า “ทรัพย์สินของผม ใครอย่าแตะก็แล้วกัน” ผู้สื่อข่าวจึงถามนายจรัลว่า ในฐานะที่พามาจะรับผิดชอบนายสุชาติได้ไหม เพราะพฤติกรรมเช่นนี้เคยเกิดกรณีการคุกคามสื่อโดยให้ชายฉกรรจ์มาติดตามผู้สื่อข่าวมาแล้ว แต่นายจรัลนิ่งเงียบ
จากนั้นผู้สื่อข่าวถามต่อว่า ในฐานะเป็นอดีตกรรมสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ คิดอย่างไรกับประเด็นสิทธิเสรีภาพ และท่าทีของการคุกคามสื่อเช่นนี้ นายจรัลจึงกล่าวอย่างมีอารมณ์ว่า “พวกคุณชอบใช้คำว่าคุกคาม และผมก็เลิกนับถือสื่อมวลชนมานานแล้ว” ก่อนจะตบไมโครโฟนลงกับโต๊ะด้วยความไม่พอใจ พร้อมบอกว่า “เลิกโว้ย” แล้วลุกหนีไปพร้อมด้วยนายสุชาติทันที โดยนายจรัลได้เดินไปพูดคุยกับนายนิสิต สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคพลังประชาชน อดีตประธานกลุ่มคนรักทักษิณ ซึ่งร่วมชุมนุมอยู่ด้วยในคืนเกิดเหตุ และเป็นผู้นำคณะมาแถลงข่าวว่า “ผมต้องกลับก่อน อยู่ต่อเดี๋ยวอดใจไม่ไหว เดี๋ยวชกเอา”
ขณะที่ นพ.เหวง พยายามยุติการตอบโต้ โดยกล่าวว่าไม่อยากให้เสียบรรยากาศการแถลงข่าว เรื่องนี้เป็นเรื่องเล็ก ขอกันกินมากกว่านี้ แต่ผู้สื่อข่าวเรียกร้องให้อย่าใช้คำว่า “ขอกันกินมากกว่านี้” เพราะไม่มีนักข่าวคนไหนไปขอ นปช.กิน ทำให้ นพ.เหวง ต้องเปลี่ยนไปเป็นคำว่าล่วงล้ำกันบ้างก็ไม่เป็นไร และรับปากว่าหากผู้สื่อข่าวจะแจ้งความเอาไว้เป็นหลักฐานว่ามีการถ่ายรูปผู้สื่อข่าวจริงก็พร้อมจะเป็นพยานให้
จากนั้นตัวแทนคณะผู้สื่อข่าวรัฐสภาได้เข้าไปแจ้งกับนายนิสิตถึงพฤติกรรมการข่มขู่ผู้สื่อข่าวด้วยวาจา และการถ่ายภาพดังกล่าว และขอให้นายนิสิตรับรองว่าถ้าจะมีการแจ้งความ นายนิสิตต้องเป็นพยานว่าเป็นคนที่พาคนเหล่านี้มาจริง ซึ่งนายนิสิตรับปากว่าพร้อมไปให้การกับตำรวจ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากนั้นผู้สื่อข่าวทั้งหมดได้หารือร่วมกันและมีมติร่วมกันว่าจะดำเนินการแจ้งความไว้ที่ สน.ดุสิต ไว้เป็นหลักฐานว่ามีเจตนาจะคุกคามสื่อ