xs
xsm
sm
md
lg

รัฐประหารเริ่มต้นแล้ว!!

เผยแพร่:   โดย: สิริอัญญา

ถ้าหากการฉีกรัฐธรรมนูญเป็นสัญลักษณ์ของการรัฐประหาร ก็กล่าวได้ว่าญัตติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่ ส.ส. บางกลุ่มเป็นแกนนำ โดยใช้ร่างรัฐธรรมนูญของกลุ่ม นปก. เป็นหลักนั้น ก็คือการเริ่มต้นรัฐประหารครั้งใหม่

เพราะถ้าถือเอาการฉีกรัฐธรรมนูญเป็นหลักของการวินิจฉัยว่าเป็นการรัฐประหารแล้ว การรัฐประหารโดยฝ่ายทหารหรือโดยฝ่ายการเมืองก็เหมือนกัน

เนื่องจากญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้เป็นการฉีกรัฐธรรมนูญ 2550 อย่างชัดแจ้งที่สุด และยังแฝงการท้าทายอำนาจเบื้องสูงอย่างไม่สะทกสะท้านอีกด้วย

ในตอนต้นนี้ต้องบอกกล่าวว่าการใช้กลยุทธ์งูหางกระดิ่งที่หัวหนึ่งฉกจริง หัวหนึ่งฉกหลอกนั้น ไม่สามารถหลอกลวงประชาชนได้ ซึ่งสะท้อนออกจากมติของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ให้นัดชุมนุมใหญ่ในวันอาทิตย์ที่ 25 พฤษภาคม 2551 เวลา 15.00 น.

เพราะคนเขาอ่านเกมกลออกว่าที่จะขอแก้รัฐธรรมนูญฟอกผิดฟอกโกงและขับเคลื่อนโดยกลไกในสภานั้นเป็นการฉกจริง แต่การที่จะให้ออกเสียงลงประชามติที่เปิดเกมโดยคนหน้าหมูปากหมานั้นเป็นการฉกหลอก

เมื่อประชาชนรู้เท่าทันก็ยิ่งเคียดแค้นมากขึ้น ดังที่ปรากฏในผลสำรวจโพลว่าประชาชนกว่า 60% เชื่อว่าจะมีการรัฐประหารโดยฝ่ายทหาร ซึ่งหมายความว่าประชาชนส่วนใหญ่ซึมซับรับรู้สถานการณ์บ้านเมืองเป็นอย่างดีแล้ว

คนจำนวนมากอาจต้องเลือกที่จะให้ฝ่ายทหารปกครอง ดีกว่าที่จะให้โจรปกครอง!

ความจริงร่างรัฐธรรมนูญที่กลุ่ม นปก. เอาไปยื่นให้กับรองประธานสภาผู้แทนราษฎรนั้นก็รู้ ๆ กันอยู่ว่าเป็นร่างรัฐธรรมนูญที่คณะทำงานฝ่ายกฎหมายของพรรคการเมืองใหญ่เป็นผู้จัดทำ แต่อำพรางเป็นว่าประชาชนเป็นฝ่ายเริ่มต้นเรียกร้องต้องการให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

ประชาชนที่ว่านี้ก็คือกลุ่ม นปก. นั่นแหละ และความเริ่มต้นที่จะแก้รัฐธรรมนูญก็ไม่ใช่ประชาชนที่ไหน แต่เป็นประชาชนเพียงบางคนที่ต้องการฟอกผิดฟอกโกงเท่านั้น

ดังนั้นกระบวนการทั้งหมดตั้งแต่การร่างรัฐธรรมนูญ การยื่นญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ การผลักดันเปิดประชุมสภาวิสามัญ และการจุดประเด็นเรื่องลงประชามติจึงเป็นเรื่องของคนเพียงกลุ่มเดียว เพื่อประโยชน์ของคนเพียงกลุ่มเดียว เป็นแต่ว่าใช้เล่ห์กลอุบายและมายาภาพเท่านั้น

แต่ทว่ามายาภาพแบบนี้ไม่สามารถหลอกลวงประชาชนได้อีกต่อไปแล้ว
ที่ว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญคราวนี้คือการฉีกรัฐธรรมนูญก็เพราะว่า

ประการแรก
ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2550 มีพระบรมราชโองการที่สำคัญอยู่ 2 ตอน

ตอนแรกมีความว่า “ทรงพระราชดำริว่าสมควรพระราชทานพระบรมราชานุมัติตามมติของมหาชน”

ตอนที่สองมีความว่า“มีพระราชบรมราชโองการดำรัสเหนือเกล้าเหนือกระหม่อมให้ตรารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับนี้ขึ้นไว้ … ของปวงชนชาวไทยจงมีความสมัครสโมสรเป็นเอกฉันท์ในอันที่จะปฏิบัติตาม และพิทักษ์รักษารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยนี้ …”

รัฐธรรมนูญนี้ใช้บังคับมาไม่กี่เดือน พวก ชคม. ก็ลบล้างพระบรมราชานุมัติตามมติของมหาชน และไม่พิทักษ์รักษารัฐธรรมนูญตามพระบรมราชโองการนี้เสียแล้ว

ประการที่สอง
ร่างรัฐธรรมนูญที่แก้ไขเพิ่มเติมก็คือยกเลิกรัฐธรรมนูญ 2550 ทั้งฉบับ ยกเว้นหมวดพระมหากษัตริย์ และให้นำรัฐธรรมนูญ 2540 มาใช้บังคับแทน โดยปรับปรุงแก้ไขบางมาตรา

นี่คือกโลบายในการเขียนร่างกฎหมายเพื่อหลอกลวงว่าไม่ได้ฉีกรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ทั้ง ๆ ที่ความจริงฉีกทั้งฉบับ เพราะในหมวดว่าด้วยพระมหากษัตริย์นั้นเป็นเนื้อความอย่างเดียวกันทั้งรัฐธรรมนูญ 2550 และรัฐธรรมนูญ 2540

ดังนั้นเนื้อหาที่แท้จริงของการแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าวก็คือฉีกรัฐธรรมนูญ 2550 ทั้งฉบับ แล้วนำรัฐธรรมนูญ 2540 มาปรับปรุงแก้ไขบางมาตรา

เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่ใช่การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญตามความในรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 291 (1) วรรคสอง ซึ่งให้กระทำได้เฉพาะการแก้ไขเพิ่มเติมเท่านั้น สำหรับการฉีกรัฐธรรมนูญทั้งฉบับเช่นนี้ย่อมเป็นการขัดรัฐธรรมนูญ และบรรจุวาระประชุมสภาไม่ได้

ดังนั้นถึงบรรจุวาระพิจารณาไปก็เป็นโมฆะ ซึ่งชอบที่จะมีการส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเสียก่อนว่าญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญแบบนี้ชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่?

แต่ก็น่าวิตกยิ่งนัก เพราะสถานการณ์ปัจจุบันนี้ได้ส่อเค้าให้เห็นว่าตุลาการภิวัฒน์กำลังผันแปรไปแล้ว และปรากฏเค้าลาง “ตุลาการพิบัติ” ให้เห็นชัดขึ้นทุกทีแล้ว

นอกจากจะเป็นการฉีกรัฐธรรมนูญ 2550 ทั้งฉบับ ซึ่งมีผลเท่ากับเป็นการรัฐประหารโดยสภา ที่ริเริ่มโดยคน 164 คน ซึ่งประชาชนจะต้องจดจำชื่อบุคคลเหล่านี้ไว้ให้แม่นยำแล้ว ร่างรัฐธรรมนูญที่ขอแก้ไขเพิ่มเติมนั้นยังวางรากฐานแห่งความพินาศฉิบหายให้กับประเทศชาติและประชาชนให้ยาวไกลไปในอนาคต เช่น

ประการหนึ่ง เป็นการจงใจประกาศจุดยืนที่ไม่เคารพต่อพระบรมราชวินิจฉัยของพระมหากษัตริย์ ซึ่งแสดงออกโดยชัดแจ้งในเรื่องคณะองคมนตรี และสอดคล้องกับที่นักการเมืองใหญ่บางคนเคยพูดไว้ว่าไม่จำเป็นต้องมีคณะองคมนตรี เพราะมีคณะรัฐมนตรีอยู่แล้ว

ประเด็นนี้ดูได้จากที่ไหน? ก็ดูได้จากบทเฉพาะกาลตั้งแต่ร่างรัฐธรรมนูญมาตรา 7 เป็นต้นไป ที่ให้องค์กรต่าง ๆ ไม่ว่าคณะรัฐมนตรีหรือ ส.ส. หรือสภาผู้แทนราษฎร หรือวุฒิสภา หรือประธานสภาผู้แทนราษฎร หรือประธานวุฒิสภาทำหน้าที่ต่อไปตามรัฐธรรมนูญที่แก้ไขใหม่

แต่ไม่ปรากฏว่าได้รับรองฐานะคณะองคมนตรีที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งไว้เดิมตามพระราชอัธยาศัยให้เป็นคณะองคมนตรีตามรัฐธรรมนูญใหม่นี้ด้วย ซึ่งมีผลทางกฎหมายคือคณะองคมนตรีทั้งหมดที่ดำรงตำแหน่งอยู่จะต้องพ้นจากตำแหน่งทันที

ประการหนึ่ง วิกฤตทางศาสนาอันอาจนำไปสู่สงครามทางศาสนาหรือการเพิ่มความแตกแยกร้าวฉานในสังคมไทยระหว่างศาสนิกต่างศาสนา ซึ่งได้ก่อตัวและขยายตัวไปในห้วงเวลาการรณรงค์ในการยกร่างรัฐธรรมนูญ 2540 และรัฐธรรมนูญ 2550 ซึ่งได้ระงับไปด้วยพระบารมีในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่ทรงพระราชทานพระราชเสาวนีย์ในเรื่องนี้อย่างชัดแจ้ง ได้ถูกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญนี้สุมไฟแห่งความขัดแย้งขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

ด้วยการร่างไว้ในมาตรา 3 ให้แก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 5 ว่าให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ

ดังนั้นนับแต่นี้ไปความขัดแย้งระหว่างศาสนาที่ระงับไปแล้วด้วยพระบารมีก็จะกลับคุกรุ่นขึ้นมาอีก และนำไปสู่ความแตกแยกความขัดแย้งหรือไม่ก็เกิดเป็นสงครามศาสนาในอนาคตได้

เพียงแค่ผลประโยชน์ทางการเมืองเฉพาะหน้าในการฟอกผิดฟอกโกงก็หน้ามืดตาลาย ไม่คำนึงถึงหายนะของประเทศชาติและประชาชนแม้แต่น้อย

ประการหนึ่ง ร่างรัฐธรรมนูญมาตรา 4 (5) บัญญัติว่า “บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 บางบทบัญญัติจำต้องแก้ไขเพิ่มเติมเพื่อให้บทบัญญัติเป็นไปตามการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเป็นปัจจัยและการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐทำได้ง่ายขึ้น โดยให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม”

บทบัญญัติแบบนี้ไม่ใช่ภาษากฎหมายแต่เป็นภาษาแมว ที่เปิดโอกาสให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ 2540 ในอนาคตประการใดก็ได้ แม้กระทั่งการจำกัดลิดรอนพระราชอำนาจหรือการเพิ่มอำนาจให้กับฝ่ายบริหาร จนทำให้รัฐบาลมีฐานะเหมือนดั่งโจโฉในวรรณคดีเรื่องสามก๊ก แล้วข่มเหงบังคับพระเจ้าเหี้ยนเต้เอาตามอำเภอใจได้

จับตาดูให้ดี ตรงนี้แหละที่จะซ่อนกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญในวันข้างหน้า และส่อเค้าว่าจะเป็นไปดังข่าวคราวเรื่องปฏิญญาฟินแลนด์นั่นเอง

ประการหนึ่ง ถึงจะปกปิดเจตนารมณ์ประการใด ก็ยังเปิดเผยไว้โต้ง ๆ ว่าต้องการฟื้นคืนฐานะสมาชิกบ้านเลขที่ 111 ต้องการล้มผลการตรวจสอบของ คตส. ทั้งหมด และต้องการตัดตอนคดีโกงเลือกตั้งทั้งหมด ดังที่ปรากฏในร่างรัฐธรรมนูญมาตรา 14 ที่ให้ยกเลิกประกาศคำสั่งกฎหรือการกระทำใดของ คมช. ซึ่งไม่เพียงแต่เท่านี้ ยังจะมีผลเลิกล้มอะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย จนเกิดความระส่ำระสายทั้งแผ่นดิน เช่น

(1) การตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ การยกร่างรัฐธรรมนูญ 2550 และกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ 2550 ทุกฉบับ ตลอดจนบรรดากฎหมายทั้งหลายที่ตราขึ้นโดย สนช. จะเป็นอันขัดต่อรัฐธรรมนูญใหม่นี้ทั้งหมดและเป็นโมฆะทั้งหมด

(2) คตส. ป.ป.ช. คณะตุลาการรัฐธรรมนูญ คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ว่า สตง. กกต. ตลอดจนคำวินิจฉัยและการดำเนินงานทั้งหมดของหน่วยงานหรือคณะต่างๆ ดังกล่าวจะเป็นโมฆะและเลิกล้มไปทั้งหมด

(3) สมาชิกบ้านเลขที่ 111 จะฟื้นคืนชีพ เพราะเมื่อคณะตุลาการรัฐธรรมนูญเป็นโมฆะ คำวินิจฉัยเป็นโมฆะ คนเหล่านั้นก็สามารถดำเนินกิจกรรมทางการเมืองได้ต่อไป

(4) การตรวจสอบของ คตส. การส่งดำเนินคดีที่ คตส. ได้ตรวจสอบไม่ว่าอยู่ในชั้นไหนก็จะเป็นโมฆะทั้งหมด และใช้บังคับไม่ได้เลย การอายัดทรัพย์ของ คตส. ก็ต้องถูกเพิกถอนไปในตัว

(5) การสอบสวนของ กกต. ในเรื่องโกงเลือกตั้ง ตลอดจนมติต่าง ๆ และคดีโกงเลือกตั้งต่างๆ ก็จะใช้ไม่ได้อีกต่อไป

และที่สำคัญก็คือ อำนาจบริหารและอำนาจนิติบัญญัติ ตลอดจนอำนาจที่บงการอำนาจตุลาการจะตกอยู่กับคนเพียงกลุ่มเดียวหรือคณะเดียว เมื่อประกอบเข้ากับการครอบงำกระบวนการยุติธรรมเบื้องต้นทั้งประเทศในขณะนี้แล้ว การรัฐประหารแบบนี้ก็จะเบ็ดเสร็จเด็ดขาดยิ่งกว่า คมช. ที่รัฐประหารแบบหน่อมแน้มเฉื่อยชาล้าหลังหลายเท่านัก

มันจะเป็นการรัฐประหารที่พลิกฟ้าพลิกแผ่นดินที่อาจเรียกได้ว่านี่คือการปราบดาภิเษกแบบใหม่.
กำลังโหลดความคิดเห็น