xs
xsm
sm
md
lg

ยุคทองของอันธพาลไทย

เผยแพร่:   โดย: สิริอัญญา

ใครจะว่ายุคนี้เป็นยุคใหม่ ยุคอะไรต่อมิอะไรก็ตามใจเถิด แต่ความจริงซึ่งไม่มีใครปฏิเสธได้เลยก็คือในวันนี้เป็นยุคทองของเหล่าอันธพาลที่ไม่เคยมียุคใดสมัยใดเสมอเหมือน แม้กระทั่งในยุครัฐตำรวจของพลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ ก็ตามที

เพราะว่าอันธพาลในยุคนี้มีศักดิ์ มีศรี มีเกียรติ มีความสำคัญ เป็นสรณะ เป็นความหวัง เป็นที่พึ่งของผู้มีอำนาจในบ้านเมือง โดยที่ไม่อาจขาดอันธพาลได้อีกต่อไป

จึงทำให้บรรดาอันธพาลทั้งหลายในแผ่นดินนี้ต่างมีงานมีการทำกันเป็นกอบเป็นกำ และมีรายได้ที่สูงลิ่ว บางคนรับงานบางชิ้นแค่ 2-3 เดือนก็มีรายได้ร่วม 20 ล้านบาท สามารถซื้อบ้านให้ลูกเมียอยู่อย่างสบาย และยังมีเงินฝากธนาคารไว้ใช้สอยอีกต่างหาก

บางคนประพฤติตนเป็นอันธพาลที่มีผลงานมากเข้าตา ทั้งเป็นที่ไว้วางใจ นอกจากจะได้รับเกียรติ ศักดิ์ศรี และรายได้ถึงขนาดแล้ว ยังอาจได้รับตำแหน่งแห่งที่ชนิดที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนเลย

อันอันธพาลนั้นความจริงเป็นคนต้องห้าม เพราะจัดเป็นคนพาลจำพวกหนึ่ง แต่ยิ่งกว่าคนพาลทั่วไป เพราะเลวร้ายกว่าคนพาลทั่วไปอย่างหนึ่ง และสามารถอิงอ้างอำนาจก่อกรรมทำชั่วได้ทุกสิ่งทุกอย่างโดยไม่มีความรู้สึกนึกคิดหรือมีจิตคิดผิดชอบชั่วดีหรือมีหิริโอตตัปปะใด ๆ อีกอย่างหนึ่ง

เป็นธรรมชาติของอันธพาลที่มักจะเป็นของคู่กันกับผู้มีอำนาจที่ไม่มีธรรมอยู่ในใจหรือผู้ใช้อำนาจโดยไม่เป็นธรรม ซึ่งมักก่อกรรมทำชั่วกับบ้านเมืองและราษฎร จึงต้องพึ่งพาอาศัยอันธพาลเป็นลูกไม้ลูกมือ

ดังนั้นอันธพาลจึงเป็นฐานอำนาจชนิดหนึ่งของคนชั่วที่มักใหญ่ใฝ่สูงในอำนาจ และอำนาจชนิดนี้ก็คืออำนาจเถื่อนนั่นเอง

อำนาจเถื่อนนั้นเป็นของร้อน ร้อนยิ่งกว่าไฟกิเลสอื่นๆ ทั้งหมด เพราะนอกจากเผาทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ยังเผาคนที่เป็นเจ้าของหรือเป็นเจ้านายให้วอดวายมลายสูญตามไปด้วย นี่เป็นกฎธรรมดาธรรมชาติของการเลี้ยงคนพาลหรือเลี้ยงอันธพาล

อาจกล่าวได้ว่าเป็นวิบากกรรมธรรมดาอย่างหนึ่งของผู้มีอำนาจที่เลี้ยงคนพาลหรือคบคนพาลหรือเลี้ยงอันธพาลที่จะต้องฉิบหายวายวอด แม้กระทั่งชีวิตก็จะดับดิ้นในลักษณะที่ไม่เป็นผู้เป็นคน แต่จะมีลักษณะเหมือนกับหมาข้างถนนเท่านั้น

ทอดสายตาดูไปให้ดีเถิดก็จะเห็นกฎแห่งกรรมข้อนี้กระจ่างชัด
คนพาลธรรมดาๆ ก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรคบหา พระตถาคตเจ้าเมื่อครั้งตรัสเรื่องความประเสริฐสูงสุดของชีวิต หรือมงคล 38 ก็ทรงจัดคนพาลไว้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรข้องแวะคบหาเป็นประการแรก ดังบทพระบาลีที่ว่า “อะเสวะนา จะพาลานัง ... เอตัมมัง คะละมุตตัมมัง”

แปลว่าการไม่คบคนพาลเป็นมงคลสูงสุดของชีวิต หรือทำให้ถึงซึ่งความประเสริฐแห่งชีวิต

ทรงเปรียบเทียบคนพาลเหมือนกับถ่านไฟ ยามที่สำแดงฤทธิ์อิทธิเดชไหม้ลุกโชนอยู่ ขืนเข้าใกล้หรือจับต้องก็จะร้อนและไหม้พอง ทั้งอาจเผาผลาญบ้านเรือนนิคมคามให้เกิดความเสียหายขนาดใหญ่ได้

ยามมอดดับลงแล้วขืนไปจับต้องก็เปรอะเปื้อน แม้ไม่จับต้องเพียงแค่อยู่ใกล้ๆ สายลมโชยมาเบาๆ ฝุ่นอันสกปรกเปรอะเปื้อนนั้นก็จะปลิวเข้าตา ถูกเสื้อผ้าอาภรณ์สกปรกไปหมด

ดังนั้นคนพาลไม่ว่ายามที่แสดงฤทธิ์อิทธิพลหรือนั่งนอนอยู่เฉยๆ ก็ล้วนเป็นอันตรายดังอุทาหรณ์ที่พระบรมศาสดาทรงแสดงเอาไว้นั้น จึงทรงจัดว่ามงคลข้อแรกของความเป็นมนุษย์จะบังเกิดขึ้นได้ก็ต้องไม่คบหาคนพาล ยิ่งพวกอันธพาลด้วยแล้วก็ยิ่งหนักหนากว่าคนพาลธรรมดาหลายเท่านัก

แต่เป็นธรรมดาธรรมชาติของอันธพาลที่มักจะอยู่คู่กับผู้มีอำนาจอธรรม ตัวอย่างที่เคยเกิดขึ้นในบ้านเมืองของเราก็คือในยุคอันธพาลครองเมือง เมื่อครั้งที่พลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ เรืองอำนาจ

ยุคนั้นเรียกกันว่ายุครัฐตำรวจ แต่ความจริงนอกจากมีการใช้ตำรวจเป็นเครื่องมือแห่งอำนาจของนักการเมืองแล้ว ก็ยังมีการใช้คนอีกจำพวกหนึ่งเป็นเครื่องมือทางการเมืองด้วยนั่นคือใช้อันธพาล

มีการใช้ตำรวจเป็นเครื่องมือในฐานะที่เป็นหนึ่งในอำนาจรัฐ เข้าจัดการกับคนที่มีความคิดเห็นทางการเมืองไม่ตรงกัน ปกป้องความชั่วร้ายและความผิดทั้งหลายของผู้มีอำนาจและพวกพ้อง บางครั้งก็ใช้เป็นเครื่องมือในการประหัตประหารผู้คนโดยมีกฎหมายเป็นเกราะคุ้มกัน

แต่อีกด้านหนึ่งก็ใช้อันธพาลเป็นเครื่องมือในฐานะที่เป็นอำนาจด้านมืด เข้าจัดการกับคนที่มีความคิดเห็นทางการเมืองไม่ตรงกัน มีการข่มขู่คุกคาม ข่มเหงรังแก ทำร้ายทำลายและสังหารผู้คน โดยรัฐทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ จึงเรียกว่าเป็นการใช้อำนาจเถื่อน

อำนาจรัฐและอำนาจเถื่อนจึงเป็นองค์ประกอบแห่งอำนาจสำคัญของรัฐตำรวจในสมัยพลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์

แล้วเหตุการณ์แบบนั้นก็กำลังเกิดขึ้นและซ้ำรอยอีกครั้งหนึ่งแล้วในบ้านเมืองของเรา

ประเทศไทยของเรากำลังเข้าสู่ยุครัฐตำรวจอีกครั้งหนึ่ง เฉกเช่นยุคสมัยของพลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์

ก่อรูปการปฏิบัติที่ใช้กลไกตำรวจเป็นกลไกอำนาจรัฐตามกฎหมายในการจัดการกับผู้ที่มีความเห็นทางการเมืองไม่ตรงกัน และปกป้องตัวเองและพวกพ้องไม่ให้ต้องรับผิดตามกฎหมาย

ก่อรูปการปฏิบัติที่ใช้อันธพาลเป็นกลไกหนึ่งในการข่มขู่คุกคามข่มเหงรังแกทำร้ายทำลายประชาชนที่มีความเห็นทางการเมืองไม่ตรงกัน

กระทำกันโจ๋งครึ่มใจกลางพระนคร โดยรัฐบาลขยิบตาปล่อยปละละเลยให้เกิดเหตุการณ์ขึ้นราวกับว่าแผ่นดินนี้ไม่มีขื่อไม่มีแป ไม่มีทหาร ไม่มีตำรวจ

ปล่อยให้อันธพาลข่มขู่ใครก็ได้ตามใจชอบ ด่าว่าใครก็ได้ตามใจชอบ ขว้างปาอะไรก็ได้ตามใจชอบ กระทั่งเอาของลับมาโชว์กลางท้องสนามหลวง ห่างจากพระบรมมหาราชวังและวัดพระศรีรัตนศาสดารามแค่ไม่ถึงกิโลเมตร

มิหนำซ้ำ อำนาจรัฐหุ่นยังบิดเบือนกลับผิดเป็นถูก กลับถูกเป็นผิด คือนอกจากไม่จัดการและปล่อยให้อันธพาลก่อกรรมย่ำยีกฎหมายบ้านเมืองอย่างหน้าตาเฉยแล้ว ยังมีหน้ากล่าวหาว่าคนที่เขานั่งประชุมสัมมนากันนิ่งๆ ในห้องประชุมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นผู้ก่อเหตุเสียอีก

มันเหยียบย่ำหัวใจคนไทยมากไปหน่อยละมั้ง?
ในวันนี้คนในวงการเขาก็รู้กันเป็นอย่างดีว่าพวกระบอบรัฐบาลหุ่นเป็นพวกขี้ขลาดตาขาว เป็นพวกปากกล้าขาสั่น ไม่สามารถทำอะไรโดยลำพังได้ ต้องพึ่งพาอาศัยอันธพาลเป็นสรณะ

ประพฤติตนเหมือนกับคนตาบอดที่ต้องพึ่งพาอาศัยไม้เท้า จนเขากล่าวกันว่ารัฐบาลหุ่นเชิดชุดนี้ถ้าไม่มีอันธพาลเป็นที่พึ่ง เป็นสรณะ เป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหาแล้ว เห็นจะนั่งในเก้าอี้ได้ไม่กี่วันเป็นแน่

ช่างเหยียดหยามประณามหรือดูถูกคนหน้าหมูปากหมาเสียนี่กระไร! แต่ก็เป็นเรื่องจริงที่ผู้คนเขาพูดกัน ซึ่งไม่อยากจะเถียงแทน ทั้ง ๆ ที่อยากจะเถียงแทนคนหน้าหมูปากหมาเหมือนกัน

เป็นเรื่องน่าสมเพชเวทนา น่าละอาย ที่เป็นรัฐบาลทั้งทีกลับไม่มีสติปัญญาที่จะรักษาอำนาจหรือบริหารราชการแผ่นดินให้เป็นประโยชน์และความสุขแก่คนหมู่มากของประเทศโดยลำพัง ต้องอาศัยอันธพาลเป็นสรณะ เป็นที่พึ่งคุ้มกะลาหัวอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันเช่นนี้

ทุกวันนี้อันธพาลเฝ้าบ่อน เฝ้าซ่อง อันธพาลเฝ้าคิวรถ เดินโพยหวยทั้งหลายกลายเป็นคนมีเกียรติ มีคุณค่า มีราคา และมีความสำคัญที่เจ้าหน้าที่ทุกพื้นที่ต้องให้ความเคารพยำเกรงและต้องบากหน้าเข้าไปจับเข่าคุยอ้อนวอนให้มาช่วยชาติ

เจ้าหน้าที่คนใดไปติดต่อซื้อหาจ้างวานอันธพาลให้มาช่วยงานได้มากเท่าใดก็จะเป็นความดีความชอบมากเท่านั้น

จึงเป็นห้วงเวลาที่อันธพาลทั้งหลายในประเทศนี้มีงานล้นมือ เพราะนอกจากต้องเฝ้าบ่อนเฝ้าซ่องหรือวิ่งรอกขายยาบ้าจ้าละหวั่นแล้ว ยังต้องจัดเวลาไปทำอะไรต่อมิอะไรตามที่เจ้านายท่านต้องการให้ทำ

และเรื่องใหญ่ก็ไม่มีอะไรมาก แค่ด่าสถาบันหรือบุคคลสำคัญของบ้านเมือง ด่าบุคคลระดับสูงของบ้านเมือง ด่าพวกพันธมิตรฯ ไปชุมนุมขว้างปาก็เป็นผลงานเป็นชิ้นเป็นอันเป็นมรรคเป็นผลแล้ว

เป็นการสร้างงานชนิดใหม่ขึ้นในสังคมประเทศไทยของเรา ที่ใครๆ ซึ่งเป็นอันธพาลก็จะมีงานทำ มีรายได้ดี

ยอดเยี่ยมจริงๆ พระคุณท่านทั้งหลายเอ๋ย!
ทำกันไปเถิด ทำกันให้เต็มที่ ทำกันให้พอใจ พ่อเจ้าประคุณทั้งหลายจะด่าว่าใคร จะทำร้ายทำลายใคร ทำไปเลย!

จะได้ให้ยุคสมัยนี้เป็นยุคสมัยที่ขึ้นชื่อลือชา และต้องบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ของชาติไทยของเรา จะได้ลบล้างยุคสมัยของคนขี้เรื้อนเป็นใหญ่ แล้วทำให้เสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สองมาแล้วเสียทีหนึ่ง

เพราะมีคนขี้เรื้อนคนใหม่ในยุคใหม่มีผลงานใหม่ที่ยิ่งใหญ่กว่าการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สองมาแทนที่แล้ว จะได้เปลี่ยนโฉมหน้าประวัติศาสตร์อันเลวร้ายครั้งโบราณกันใหม่เสียทีหนึ่ง

แต่ก็ต้องระมัดระวังให้จงดี อย่าผลีผลามย่ามใจเป็นอันขาด
เพราะบทเรียนในประวัติศาสตร์นั้นเคยมีปรากฏว่าในยุคที่ประเทศปกครองด้วยรัฐตำรวจและอันธพาลที่ฮึกห้าวเหิมหาญเต็มบ้านเต็มเมืองนั้น เมื่อถึงจุดหนึ่งแล้วผู้คนทั้งหลายก็ทนไม่ไหว

คนดีศรีแผ่นดินก็จะปรากฏตัวออกมาล้างยุครัฐตำรวจและเหล่าอันธพาลที่ครองเมืองนั้นเสีย

คงจะจำกันได้ว่าเมื่อจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ล้มรัฐตำรวจไปแล้ว ก็ได้ดำเนินการปราบปรามอันธพาลครั้งใหญ่ของประเทศ ทำกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน แผ่นดินจึงสงบสุขต่อเนื่องมาถึง 50 ปี

มาบัดนี้รัฐตำรวจใหม่ได้ก่อตัวขึ้นแล้ว อันธพาลกำลังครองเมืองในทุกปริมณฑลแล้ว มีฤทธิ์มีเดชเป็นที่เกรงขามทั่วทั้งประเทศแล้ว สามารถด่าว่าใครหน้าไหนก็ได้ สามารถทำร้ายทำลายใครก็ได้ในประเทศนี้โดยไม่มีใครกล้าแตะต้อง

เพราะรัฐบาลหน้าหมูปากหมายังไม่มีหน้าจะจัดการอะไรได้ ต้องสยบยอมอยู่ในอำนาจ และต้องพึ่งพาอาศัยอันธพาลเป็นสรณะในการนั่งเก้าอี้

ประเทศไทยของเราอยู่ในสภาพที่น่าสมเพชเวทนาเพียงใด ที่สภาผู้แทนราษฎรก็กลายสภาพเป็นสภาผู้ทรงถ่อย รัฐบาลก็เป็นเพียงรัฐบาลหุ่นเชิด และนับถืออันธพาลเป็นสรณะ

สภาและรัฐบาลแบบนี้มีก็เหมือนไม่มี และว่ากันให้ถึงที่สุดแล้วไม่มีก็ยังดีเสียกว่าที่เป็นอยู่มากมายนัก!
กำลังโหลดความคิดเห็น