วานนี้(20 พ.ค.) เมื่อเวลา 09.15 น.ที่ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง สนามหลวง นายกำธร โพธิ์สุวัฒนากุล ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา พร้อมองค์คณะรวม 3 คน ออกนั่งบัลลังก์สืบพยานฝ่ายผู้ร้องปากสุดท้าย คดีหมายเลขดำที่ ลต. 38 /2551 ระหว่าง คณะกรรมการการเลือกตั้ง ( กกต.) ผู้ร้อง และ นายยงยุทธ ติยะไพรัช ส.ส.สัดส่วนกลุ่มที่ 1 และรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร และ น.ส.ละออง ติยะไพรัช ส.ส.แบ่งเขต 3 จ.เชียงราย พรรคพลังประชาชน น้องสาว นายยงยุทธ ผู้คัดค้านที่ 1-2 กระทำผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และการได้มา ซึ่ง ส.ว. พ.ศ.2550 ด้วยการทุจริตการเลือกตั้งแจกเงินให้กับกลุ่มกำนัน อ.แม่จัน จ.เชียงราย โดย กกต. ขอให้ศาลเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง นายยงยุทธ ซึ่งให้ถูกใบแดง และสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ ในเขต 3 จ.เชียงราย ที่ น.ส.ละออง ถูกให้ใบเหลือง
ทั้งนี้การสืบพยานปากสุดท้ายนายยงยุทธ เดินทางมาร่วมฟังการพิจารณาด้วย ซึ่งการไต่สวน พ.อ.ธนัชย์ ปัญญา อดีตรอง ผอ.กอ.รมน.เชียงราย ได้ขึ้นเบิกความ เป็นพยานตามที่นายพิชิฎ ชื่นบาน ทนายความนายยงยุทธ ได้ขอให้ศาลออกมาเรียก มาไต่สวน เนื่องจากเห็นว่า พ.อ.ธนัชย์ เป็นผู้ที่ทำหน้าที่สอบสวนกลุ่มกำนันใน อ.แม่จัน จ.เชียงราย ทั้ง 10 คน ที่เดินทางไปพบกับนายยงยุทธ ที่โรงแรมเอสซี ปาร์ค ในกทม. และนายยงยุทธ ได้มอบให้กลุ่มกำนันทั้ง 10 คน ละ 20,000 บาท และได้รายงานผลการสอบสวนให้กับ กกต.และผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ทราบ
พ.อ.ธนัชย์ เบิกความว่า ได้รับโทรศัพท์จากผู้ร้องเรียก และส่งเอกสารมายังตู้ร้องเรียนทุจริตการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 1 พ.ย.2550 ว่ากลุ่มกำนันใน อ.แม่จัน เดินทางไปพบนายยงยุทธ ที่กรุงเทพฯ จึงได้เรียกนายชัยวัฒน์ ฉางข้าวคำ ซึ่งเคยรู้จักกันมาก่อน มาให้ข้อมูล โดยนายชัยวัฒน์ ยอมรับเพียงว่าไปพบนายยงยุทธ ที่กรุงเทพจริง แต่ไม่ยอบรับเรื่องเงิน จึงได้ตรวจสอบวิเคราะห์ข้อมูลข่าวก่อนรายงานผู้บังคับบัญชา จึงได้เรียกกำนันที่เหลืออีก 9 คนมาสอบปากคำ ครั้งแรกในวันที่ 11 ธ.ค. 4-5 คน ครั้งที่ 2 วันที่ 17 ธ.ค. 2550 อีก 5-6 คน โดยกลุ่มกำนันบางคนยอมรับเรื่องเงิน 20,000 บาท โดยอ้างว่าเป็นค่ากับข้าว
ส่วนกำนันคนอื่นๆก็ไม่ได้ให้การปฎิเสธ หรือโต้แย้งเรื่องเงินดังกล่าว โดยไม่ได้ขู่เข็ญกลุ่มกำนันว่าจะเสนอผู้ว่าฯเชียงราย ปลดออกจากตำแหน่ง ไม่ได้ขู่ว่าจะย้ายให้ไปอยู่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ยอมรับว่าเคยบอกกลุ่มกำนันว่าจะพาไปเก็บตัวที่ค่ายทหาร จ.เชียงราย เพราะต้องการให้กำนันซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐวางตัวเป็นกลาง ไม่ไปช่วยเหลือพรรคการเมืองหนึ่งพรรคการเมืองใด หลังเสร็จสิ้นการสอบสวนและได้ทำบันทึกรายงานถึงผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ในฐานะ ผอ.กอ.รมน. พร้อมกับ แผ่นซีดีบันทึกสอบคำจำนวน 2 แผ่น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างการสืบพยาน นายพิชิฎ ได้แถลงคัดค้าน การพิจารณาต่อศาลว่ามีสุภาพสตรีคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ในห้องพิจารณาคดี ได้ทำการจดบันทึกคำให้การพยานในคดีนี้หลายวันแล้ว และเมื่อช่วงเช้าก่อนการสืบพยาน สุภาพสตรีคนดังกล่าวยังได้เข้าไปพูดคุยกับ พ.อ.ธนัชย์ ด้วย ซึ่งทนายความเชื่อว่า สุภาพสตรีคนดังกล่าวจะนำคำเบิกความของพยานคนอื่นไปบอกให้กับพยาน ทำให้พยานทราบข้อเท็จจริง แล้วจะไม่เบิกความตามข้อเท็จจริง
อย่างไรก็ตามศาลได้สอบถามสุภาพสตรีคนดังกล่าวแล้วทราบชื่อ น.ส.รัศมี เพ็ญสุข เป็นทนายความได้รับมอบหมายจากสภาทนายความมาฟังการพิจารณาคดี เนื่องจากมีบุคคลซึ่งอ้างว่าชื่อนายเกรียงไกร เป็นบุตรชายของนายชัยวัฒน์ แจ้งว่าหลังจากให้การกับ กกต. และเป็นพยานเบิกความในคดีนี้แล้วถูกฟ้องเป็นจำเลยหลายคดี ขอให้ช่วยจัดทนายความแก้ต่างคดีให้นายชัยวัตน์ โดย น.ส.รัศมี เดินทางมาฟังการพิจารณาในวันที่ 8, 14 และ วันที่ 20 พ.ค. แต่ไม่ได้พูดคุยกับพยานก่อนเริ่ม การพิจารณา นอกจากนี้ศาลยังได้สอบถามพยานแถลงว่าไม่รู้จักกับ น.ส.รัศมี และไม่ได้คุยกัน ศาลเห็นว่าข้อเท็จจริงที่ปรากฏ ศาลจำได้ว่า น.ส.รัศมี มาฟังการพิจารณา คดีหลายครั้ง และยังมีบุคคลอื่น ที่ศาลจำหน้าได้มาฟังการพิจารณาและจดบันทึกคำ ให้การพยานอีกหลายคน ศาลจึงได้จดบันทึกที่ทนายคัดค้านไว้ในกระบวนพิจารณา
อย่างไรก็ดีศาลได้จดเป็นบันทึกในกระบวนพิจารณาแล้ว ศาลยังได้กล่าวกับนายพิชิฏ ทนายความอีกว่า ศาลสังเกตเห็นว่า หากพยานตอบคำถามถูกใจ ทนายความก็จะปล่อยให้เบิกความ แต่ถ้าไม่ถูกใจก็จะแทรกถามพยานขณะกำลังจะตอบศาลซึ่งทำให้เสียเวลา โดยศาลได้ฟังคำให้ของพยานโดยตลอดและบันทึกในสิ่งที่เป็นสาระสำคัญที่จำเป็น และทุกครั้งศาลได้อ่านคำเบิกความพยานให้ฟัง ซึ่งไม่เคยตกประเด็นที่เป็นสาระสำคัญ จนทนายความต้องท้วงติง จึงต้องให้ทนายความเข้าใจ
หลังพยานเบิกความแล้วเสร็จ ทนายความแถลงหมดพยานและขออนุญาต ยื่นคำแถลงปิดคดีภายใน 30 วันนับจากวันนี้ ศาลพิเคราะห์ระเบียบที่ประชุมศาลฎีกาว่า ด้วยวิธีพิจารณาคดีเลือกตั้ง ข้อ 17 ให้คู่ความยื่นคำแถลงปิดคดีภายใน 5 วัน แต่เนื่องจากคดีนี้มีข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานจำนวนมาก จึงสมควรให้โอกาส คู่ความตามคำขอ อนุญาตให้ส่งคำแถลงปิดคดีภายใน 30 วัน หากไม่ส่งภายใน กำหนด ให้ถือว่าไม่ติดใจยื่นคำแถลงปิดคดี และให้นัดฟังคำสั่ง ในวันที่ 8 ก.ค. เวลา 16.00 น.
นายยงยุทธ ให้สัมภาษณ์ว่ายังมีความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งเป็นที่พึ่งสุดท้ายของประชาชน เพราะในการพิจารณาคดีนี้ศาลได้มีการไต่สวน ตรวจสอบพยานจนทำให้เห็นถึงข้อพิรุธในหลายประเด็น ส่วนตนเองก็ได้เบิกความและนำพยานหลักฐานเพื่อยืนยันต่อศาลครบถ้วนแล้ว
ผู้สื่อข่าวถามว่าห่วงหรือไม่ว่าจะมีการตั้งธงเพื่อนำไปสู่การยุบพรรคพลังประชาชน นายยงยุทธ กล่าวว่า ขอให้รอฟังการไต่สวนในส่วนของคำสั่ง คมช. เพื่อให้ดำเนินการกับพรรคพลังประชาชน ซึ่งเอกสารดังกล่าวฝ่ายตนนำมาเสนอต่อศาล เป็นเอกสารที่ได้รับการรับรองจากอนุกรรมการ กกต.แล้ว ซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนว่า การดำเนินการกับตนเป็นการจัดฉากขึ้นทั้งหมด
ส่วนข่าวที่ว่าจะได้รับตำแหน่ง รมว.มหาดไทย เพื่อตอบแทนหากรอบคดีใบแดง นายยงยุทธ กล่าวว่า ข่าวที่ออกมาเป็นข่าวจากหนังสือพิมพ์และเว็บไซด์ผู้จัดการ ซึ่งต้องการให้คนเข้าใจว่าตนเองเป็นคนไม่ดี ทั้งที่ไม่เคยมีจุดประสงค์เช่นนั้นเลย แค่หวังให้บ้านเมืองมีความปรองดองกัน และขอให้ตนเป็นเหยื่อรายสุดท้าย ของความขัดแย้ง หลังจากนี้จะไปทำอะไรจะได้รับตำแหน่งอะไรหรือไม่ ตนไม่สนใจ ขอให้สังคมอยู่ร่วมกันได้ก็พอ ในพรรคพลังประชาชนไม่เคยพูดคุยกันว่าจะให้ตนไปรับตำแหน่งใด และตำแหน่งนี้ มี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ทำงานอยู่ ตนเข้าไปตอนนี้ คงไม่เหมาะสมเพราะจะเหมือนเป็นการเล่นขายของ แต่ในอนาคตพรรคต้องการให้ตน ไปทำงานอะไร ตนก็พร้อม แต่ขอให้ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอน
นายพิชิฏ ทนายความ กล่าวว่า ในการยื่นคำแถลงปิดคดีนั้นตน ยังสรุปประเด็นตั้งข้อสังเกตทั้งเรื่องเวลาการสอบสวน เรื่องความไม่น่าจะเป็นไปได้ รวมทั้งเหตุบังเอิญ ที่ พ.อ.ธนัชย์ ได้ทำบันทึกรายงานสรุปการสอบคำให้การของกลุ่มกำนันต่อ กกต. และ ผู้ว่า ฯ โดยล่าช้า
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่นายพิชิฏ ซักถามพยาน ปรากฏว่านายยงยุทธ ซึ่งนั่งอยู่ข้างนายพิชิฏ พยายามที่จะให้ข้อมูลตั้งข้อสังเกตในการตั้งคำถามซัก พ.อ.ธนัชย์ เป็นระยะๆ
ทั้งนี้การสืบพยานปากสุดท้ายนายยงยุทธ เดินทางมาร่วมฟังการพิจารณาด้วย ซึ่งการไต่สวน พ.อ.ธนัชย์ ปัญญา อดีตรอง ผอ.กอ.รมน.เชียงราย ได้ขึ้นเบิกความ เป็นพยานตามที่นายพิชิฎ ชื่นบาน ทนายความนายยงยุทธ ได้ขอให้ศาลออกมาเรียก มาไต่สวน เนื่องจากเห็นว่า พ.อ.ธนัชย์ เป็นผู้ที่ทำหน้าที่สอบสวนกลุ่มกำนันใน อ.แม่จัน จ.เชียงราย ทั้ง 10 คน ที่เดินทางไปพบกับนายยงยุทธ ที่โรงแรมเอสซี ปาร์ค ในกทม. และนายยงยุทธ ได้มอบให้กลุ่มกำนันทั้ง 10 คน ละ 20,000 บาท และได้รายงานผลการสอบสวนให้กับ กกต.และผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ทราบ
พ.อ.ธนัชย์ เบิกความว่า ได้รับโทรศัพท์จากผู้ร้องเรียก และส่งเอกสารมายังตู้ร้องเรียนทุจริตการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 1 พ.ย.2550 ว่ากลุ่มกำนันใน อ.แม่จัน เดินทางไปพบนายยงยุทธ ที่กรุงเทพฯ จึงได้เรียกนายชัยวัฒน์ ฉางข้าวคำ ซึ่งเคยรู้จักกันมาก่อน มาให้ข้อมูล โดยนายชัยวัฒน์ ยอมรับเพียงว่าไปพบนายยงยุทธ ที่กรุงเทพจริง แต่ไม่ยอบรับเรื่องเงิน จึงได้ตรวจสอบวิเคราะห์ข้อมูลข่าวก่อนรายงานผู้บังคับบัญชา จึงได้เรียกกำนันที่เหลืออีก 9 คนมาสอบปากคำ ครั้งแรกในวันที่ 11 ธ.ค. 4-5 คน ครั้งที่ 2 วันที่ 17 ธ.ค. 2550 อีก 5-6 คน โดยกลุ่มกำนันบางคนยอมรับเรื่องเงิน 20,000 บาท โดยอ้างว่าเป็นค่ากับข้าว
ส่วนกำนันคนอื่นๆก็ไม่ได้ให้การปฎิเสธ หรือโต้แย้งเรื่องเงินดังกล่าว โดยไม่ได้ขู่เข็ญกลุ่มกำนันว่าจะเสนอผู้ว่าฯเชียงราย ปลดออกจากตำแหน่ง ไม่ได้ขู่ว่าจะย้ายให้ไปอยู่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ยอมรับว่าเคยบอกกลุ่มกำนันว่าจะพาไปเก็บตัวที่ค่ายทหาร จ.เชียงราย เพราะต้องการให้กำนันซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐวางตัวเป็นกลาง ไม่ไปช่วยเหลือพรรคการเมืองหนึ่งพรรคการเมืองใด หลังเสร็จสิ้นการสอบสวนและได้ทำบันทึกรายงานถึงผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ในฐานะ ผอ.กอ.รมน. พร้อมกับ แผ่นซีดีบันทึกสอบคำจำนวน 2 แผ่น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างการสืบพยาน นายพิชิฎ ได้แถลงคัดค้าน การพิจารณาต่อศาลว่ามีสุภาพสตรีคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ในห้องพิจารณาคดี ได้ทำการจดบันทึกคำให้การพยานในคดีนี้หลายวันแล้ว และเมื่อช่วงเช้าก่อนการสืบพยาน สุภาพสตรีคนดังกล่าวยังได้เข้าไปพูดคุยกับ พ.อ.ธนัชย์ ด้วย ซึ่งทนายความเชื่อว่า สุภาพสตรีคนดังกล่าวจะนำคำเบิกความของพยานคนอื่นไปบอกให้กับพยาน ทำให้พยานทราบข้อเท็จจริง แล้วจะไม่เบิกความตามข้อเท็จจริง
อย่างไรก็ตามศาลได้สอบถามสุภาพสตรีคนดังกล่าวแล้วทราบชื่อ น.ส.รัศมี เพ็ญสุข เป็นทนายความได้รับมอบหมายจากสภาทนายความมาฟังการพิจารณาคดี เนื่องจากมีบุคคลซึ่งอ้างว่าชื่อนายเกรียงไกร เป็นบุตรชายของนายชัยวัฒน์ แจ้งว่าหลังจากให้การกับ กกต. และเป็นพยานเบิกความในคดีนี้แล้วถูกฟ้องเป็นจำเลยหลายคดี ขอให้ช่วยจัดทนายความแก้ต่างคดีให้นายชัยวัตน์ โดย น.ส.รัศมี เดินทางมาฟังการพิจารณาในวันที่ 8, 14 และ วันที่ 20 พ.ค. แต่ไม่ได้พูดคุยกับพยานก่อนเริ่ม การพิจารณา นอกจากนี้ศาลยังได้สอบถามพยานแถลงว่าไม่รู้จักกับ น.ส.รัศมี และไม่ได้คุยกัน ศาลเห็นว่าข้อเท็จจริงที่ปรากฏ ศาลจำได้ว่า น.ส.รัศมี มาฟังการพิจารณา คดีหลายครั้ง และยังมีบุคคลอื่น ที่ศาลจำหน้าได้มาฟังการพิจารณาและจดบันทึกคำ ให้การพยานอีกหลายคน ศาลจึงได้จดบันทึกที่ทนายคัดค้านไว้ในกระบวนพิจารณา
อย่างไรก็ดีศาลได้จดเป็นบันทึกในกระบวนพิจารณาแล้ว ศาลยังได้กล่าวกับนายพิชิฏ ทนายความอีกว่า ศาลสังเกตเห็นว่า หากพยานตอบคำถามถูกใจ ทนายความก็จะปล่อยให้เบิกความ แต่ถ้าไม่ถูกใจก็จะแทรกถามพยานขณะกำลังจะตอบศาลซึ่งทำให้เสียเวลา โดยศาลได้ฟังคำให้ของพยานโดยตลอดและบันทึกในสิ่งที่เป็นสาระสำคัญที่จำเป็น และทุกครั้งศาลได้อ่านคำเบิกความพยานให้ฟัง ซึ่งไม่เคยตกประเด็นที่เป็นสาระสำคัญ จนทนายความต้องท้วงติง จึงต้องให้ทนายความเข้าใจ
หลังพยานเบิกความแล้วเสร็จ ทนายความแถลงหมดพยานและขออนุญาต ยื่นคำแถลงปิดคดีภายใน 30 วันนับจากวันนี้ ศาลพิเคราะห์ระเบียบที่ประชุมศาลฎีกาว่า ด้วยวิธีพิจารณาคดีเลือกตั้ง ข้อ 17 ให้คู่ความยื่นคำแถลงปิดคดีภายใน 5 วัน แต่เนื่องจากคดีนี้มีข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานจำนวนมาก จึงสมควรให้โอกาส คู่ความตามคำขอ อนุญาตให้ส่งคำแถลงปิดคดีภายใน 30 วัน หากไม่ส่งภายใน กำหนด ให้ถือว่าไม่ติดใจยื่นคำแถลงปิดคดี และให้นัดฟังคำสั่ง ในวันที่ 8 ก.ค. เวลา 16.00 น.
นายยงยุทธ ให้สัมภาษณ์ว่ายังมีความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งเป็นที่พึ่งสุดท้ายของประชาชน เพราะในการพิจารณาคดีนี้ศาลได้มีการไต่สวน ตรวจสอบพยานจนทำให้เห็นถึงข้อพิรุธในหลายประเด็น ส่วนตนเองก็ได้เบิกความและนำพยานหลักฐานเพื่อยืนยันต่อศาลครบถ้วนแล้ว
ผู้สื่อข่าวถามว่าห่วงหรือไม่ว่าจะมีการตั้งธงเพื่อนำไปสู่การยุบพรรคพลังประชาชน นายยงยุทธ กล่าวว่า ขอให้รอฟังการไต่สวนในส่วนของคำสั่ง คมช. เพื่อให้ดำเนินการกับพรรคพลังประชาชน ซึ่งเอกสารดังกล่าวฝ่ายตนนำมาเสนอต่อศาล เป็นเอกสารที่ได้รับการรับรองจากอนุกรรมการ กกต.แล้ว ซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนว่า การดำเนินการกับตนเป็นการจัดฉากขึ้นทั้งหมด
ส่วนข่าวที่ว่าจะได้รับตำแหน่ง รมว.มหาดไทย เพื่อตอบแทนหากรอบคดีใบแดง นายยงยุทธ กล่าวว่า ข่าวที่ออกมาเป็นข่าวจากหนังสือพิมพ์และเว็บไซด์ผู้จัดการ ซึ่งต้องการให้คนเข้าใจว่าตนเองเป็นคนไม่ดี ทั้งที่ไม่เคยมีจุดประสงค์เช่นนั้นเลย แค่หวังให้บ้านเมืองมีความปรองดองกัน และขอให้ตนเป็นเหยื่อรายสุดท้าย ของความขัดแย้ง หลังจากนี้จะไปทำอะไรจะได้รับตำแหน่งอะไรหรือไม่ ตนไม่สนใจ ขอให้สังคมอยู่ร่วมกันได้ก็พอ ในพรรคพลังประชาชนไม่เคยพูดคุยกันว่าจะให้ตนไปรับตำแหน่งใด และตำแหน่งนี้ มี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ทำงานอยู่ ตนเข้าไปตอนนี้ คงไม่เหมาะสมเพราะจะเหมือนเป็นการเล่นขายของ แต่ในอนาคตพรรคต้องการให้ตน ไปทำงานอะไร ตนก็พร้อม แต่ขอให้ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอน
นายพิชิฏ ทนายความ กล่าวว่า ในการยื่นคำแถลงปิดคดีนั้นตน ยังสรุปประเด็นตั้งข้อสังเกตทั้งเรื่องเวลาการสอบสวน เรื่องความไม่น่าจะเป็นไปได้ รวมทั้งเหตุบังเอิญ ที่ พ.อ.ธนัชย์ ได้ทำบันทึกรายงานสรุปการสอบคำให้การของกลุ่มกำนันต่อ กกต. และ ผู้ว่า ฯ โดยล่าช้า
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่นายพิชิฏ ซักถามพยาน ปรากฏว่านายยงยุทธ ซึ่งนั่งอยู่ข้างนายพิชิฏ พยายามที่จะให้ข้อมูลตั้งข้อสังเกตในการตั้งคำถามซัก พ.อ.ธนัชย์ เป็นระยะๆ