xs
xsm
sm
md
lg

“ยงยุทธ” ปัดไม่คิดเสียบ มท.1 แทน “เฉลิม”

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

นายยงยุทธ ติยะไพรัช ส.ส.สัดส่วนกลุ่มที่ 1 และรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน ในครั้งที่เดินทางมาร่วมไต่สวนคดีโกงเลือกตั้ง จ.เชียงราย
ศาลนัดชี้ชะตาท่านยุทธใบแดง ละอองใบเหลืองน้องสาว แจกเงินเลือกตั้ง 8 ก.ค.นี้ สี่โมงเย็น สั่งคู่ความยื่นแถลงปิดคดีภายใน 30 วัน “ยุทธ” ยันมั่นใจกระบวนการยุติธรรม ศาลให้โอกาสสู้คดีเต็มที่แล้ว ย้ำ คมช.จัดฉากกลั่นแกล้ง บอกปัด ไม่เคยคิดนั่งเก้าอี้ มท.1 แทน "เป็ดเฉลิม" ไต่สวนพยานปากสุดท้าย “ พ.อ.ธนัชย์ ปัญญา อดีตรอง ผอ.กอ.รมน.เชียงราย” มันส์หยด ถูกทนายซักร่วม 4 ชั่วโมง แถมเล่นแง่ฟ้องศาลคนสภาทนายความส่งแอบส่งซิกให้การพยานอื่น ก่อน พ.อ.ธนัชย์ ขึ้นเบิกความ

วันนี้ ( 20 พ.ค.) เมื่อเวลา 09.15 น. ที่ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง สนามหลวง นายกำธร โพธิ์สุวัฒนากุล ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา พร้อมองค์คณะรวม 3 คน ออกนั่งบัลลังก์สืบพยานฝ่ายผู้ร้องปากสุดท้าย คดีหมายเลขดำที่ ลต. 38 /2551 ระหว่าง คณะกรรมการการเลือกตั้ง ( กกต.) ผู้ร้อง และ นายยงยุทธ ติยะไพรัช ส.ส.สัดส่วนกลุ่มที่ 1 และรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร และ น.ส.ละออง ติยะไพรัช ส.ส.แบ่งเขต 3 จ.เชียงราย พรรคพลังประชาชน น้องสาวนายยงยุทธ ผู้คัดค้านที่ 1-2 กระทำผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา ( ส.ว.) พ.ศ.2550 ด้วยการทุจริตการเลือกตั้งด้วยการแจกเงินให้กับกลุ่มกำนัน อ.แม่จัน จ.เชียงรายซึ่งเป็นตัวแทน (หัวคะแนน) ของนายยงยุทธ แจกเงินซื้อเสียงเพื่อให้มีการลงคะแนนเลือกผู้สมัครของพรรคประชาชน โดย กกต. ขอให้ศาลเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง นายยงยุทธ ซึ่งให้ถูกใบแดง และสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ ในเขต 3 จังหวัดเชียงราย ที่ น.ส.ละออง ถูกให้ใบเหลือง

โดยการสืบพยานปากสุดท้ายนายยงยุทธ เดินทางมาร่วมฟังการพิจารณาด้วย ซึ่งการไต่สวนวันนี้ พ.อ.ธนัชย์ ปัญญา อดีตรองผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดเชียงราย (อดีตรอง ผอ.กอ.รมน.จ.เชียงราย ) ได้ขึ้นเบิกความเป็นพยานตามที่นายพิชิฎ ชื่นบาน ทนายความนายยงยุทธ ได้ขอให้ศาลออกมาเรียกมาไต่สวน เนื่องจากเห็นว่า พ.อ.ธนัชย์ เป็นผู้ที่ทำหน้าที่สอบสวนกลุ่มกำนันใน อ.แม่จัน จ.เชียงราย ทั้ง 10 คน ที่เดินทางไปพบกับนายยงยุทธ ที่โรงแรมเอสซีปาร์ค กรุงเทพมหานคร และนายยงยุทธ ได้มอบให้กลุ่มกำนันทั้ง 10 คน ละ 20,000 บาท และได้รายงานผลการสอบสวนให้กับ กกต.และผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย ทราบ

พ.อ.ธนัชย์ เบิกความถึงการเริ่มสอบสวนคดีนี้ว่า ได้รับโทรศัพท์จากผู้ร้องเรียกและส่งเอกสารมายังตู้ร้องเรียนทุจริตการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2550 ว่ากลุ่มกำนันใน อ.แม่จัน เดินทางไปพบนายยงยุทธ ที่กรุงเทพ ตามที่ได้รับแจ้ง เบื้องต้นจึงได้เรียกนายชัยวัฒน์ ซึ่งเคยรู้จักกันมาก่อน มาให้ข้อมูล โดยนายชัยวัฒน์ ยอมรับเพียงว่าไปพบนายยงยุทธ ที่กรุงเทพจริง แต่ไม่ยอบรับเรื่องเงิน เมื่อได้ข้อมูลเบื้องต้นจึงได้ตรวจสอบวิเคราะห์ข้อมูลข่าวว่ามีความถูกต้องหรือไม่ก่อนรายงานผู้บังคับบัญชา จึงได้เรียกกำนันที่เหลืออีก 9 คนมาสอบปากคำ ครั้งแรกในวันที่ 11 ธันวาคม จำนวน 4-5 คน ครั้งที่ 2 วันที่ 17 ธันวาคม 2550 อีก 5-6 คน โดยกลุ่มกำนันบางคนยอมรับเรื่องเงิน 20,000 บาท โดยอ้างว่าเป็นค่ากับข้าว ส่วนกำนันคนอื่นๆก็ไม่ได้ให้การปฎิเสธหรือโต้แย้งเรื่องเงินดังกล่าว โดยไม่ได้ขู่เข็ญกลุ่มกำนันว่าจะเสนอผู้ว่าฯเชียงราย ปลดออกจากตำแหน่ง ไม่ได้ขู่ว่าจะย้ายให้ไปอยู่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ยอมรับว่าเคยบอกกลุ่มกำนันว่าจะพาไปเก็บตัวที่ค่ายทหาร จ.เชียงราย เพราะต้องการให้กำนันซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐวางตัวเป็นกลาง ไม่ไปช่วยเหลือพรรคการเมืองหนึ่งพรรคการเมืองใด หลังเสร็จสิ้นการสอบสวนและได้ทำบันทึกรายงานถึงผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ในฐานะ ผอ.กอ.รมน. พร้อมกับ แผ่นซีดีบันทึกสอบคำจำนวน 2 แผ่น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างการสืบพยาน นายพิชิฎ ได้แถลงคัดค้านการพิจารณาต่อศาลว่ามีสุภาพสตรีคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ในห้องพิจารณาคดี ได้ทำการจดบันทึกคำให้การพยานในคดีนี้หลายวันแล้ว และเมื่อช่วงเช้าก่อนการสืบพยาน สุภาพสตรีคนดังกล่าวยังได้เข้าไปพูดคุยกับ พ.อ.ธนัชย์ ด้วย ซึ่งทนายความเชื่อว่าว่าสุภาพสตรีคนดังกล่าวจะนำคำเบิกความของพยานคนอื่นไปบอกให้กับพยานทำให้พยานทราบข้อเท็จจริง แล้วจะไม่เบิกความตามข้อเท็จจริง

อย่างไรก็ตามศาลได้สอบถามสุภาพสตรีคนดังกล่าวแล้วทราบชื่อ น.ส.รัศมี เพ็ญสุข เป็นทนายความได้รับมอบหมายจากสภาทนายความมาฟังการพิจารณาคดีเนื่องจากมีบุคคลซึ่งอ้างว่าชื่อนายเกรียงไกร เป็นบุตรชายของนายชัยวัฒน์ แจ้งว่าหลังจากให้การกับ กกต. และเป็นพยานเบิกความในคดีนี้แล้วถูกฟ้องเป็นจำเลยหลายคดี ขอให้ช่วยจัดทนายความแก้ต่างคดีให้นายชัยวัตน์ โดย น.ส.รัศมี เดินทางมาฟังการพิจารณาในวันที่ 8, 14 และ วันที่ 20 พฤษภาคม แต่ไม่ได้พูดคุยกับพยานก่อนเริ่มการพิจารณา นอกจากนี้ศาลยังได้สอบถามพยานแถลงว่าไม่รู้จักกับ น.ส.รัศมี และไม่ได้คุยกัน ศาลเห็นว่าข้อเท็จจริงที่ปรากฏ ศาลจำได้ว่า น.ส.รัศมี มาฟังการพิจารณาคดีหลายครั้ง และยังมีบุคคลอื่น ที่ศาลจำหน้าได้มาฟังการพิจารณาและจดบันทึกคำให้การพยานอีกหลายคน ศาลจึงได้จดบันทึกที่ทนายคัดค้านไว้ในกระบวนพิจารณา

แต่อย่างไรก็ตามนายพิชิฏ ทนายความ ได้แถลงศาลว่า หากพยานไม่รู้จักกับ น.ส.รัศมี แล้วระหว่างเบิกความทำไมพยานจึงหันไปยิ้มให้กับ น.ส.รัศมี ขณะเดินเข้ามาฟังการเบิกความ จึงขอเป็นธรรมต่อศาลด้วย ทั้งนี้ศาลได้ชี้แจงกับนายพิชิฏว่า คนเรายิ้มให้กันไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ถ้าไม่รู้จักกันแล้วหันมาทำหน้ายักษ์ หน้าบึ้งใส่กันเป็นเรื่องแปลก แต่เรื่องนี้ไม่ใช่สาระสำคัญ เพราะที่เป็นห่วงไม่ใช่เรื่องการจดบันทึกคำเบิกความ แต่กลัวว่าจะมีคนแอบซุกซ่อนนำเครื่องมือทันสมัยบันทึกคำเบิกความออกไปภายนอก อย่างไรก็ดีศาลได้จดเป็นบันทึกในกระบวนพิจารณาแล้ว ศาลยังได้กล่าวกับนายพิชิฏ ทนายความอีกว่า ศาลสังเกตเห็นว่า หากพยานตอบคำถามถูกใจทนายความก็จะปล่อยให้เบิกความ แต่ถ้าไม่ถูกใจก็จะแทรกถามพยานขณะกำลังจะตอบศาลซึ่งทำให้เสียเวลา โดยศาลได้ฟังคำให้ของพยานโดยตลอดและบันทึกในสิ่งที่เป็นสาระสำคัญที่จำเป็น และทุกครั้งศาลได้อ่านคำเบิกความพยานให้ฟัง ซึ่งไม่เคยตกประเด็นที่เป็นสาระสำคัญ จนทนายความต้องท้วงติงจึงต้องให้ทนายความเข้าใจ

นายพิชิฏ ทนายความ ได้ถามพยานต่อในประเด็นว่า เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2550 หลังจากที่กลุ่มกำนัน เดินทางกลับมาจากกทม. แล้ว พยานได้พบกลุ่มกำนันที่ร้านอาหารแจ่วฮ้อน จ.เชียงราย แต่ไม่ได้บันทึกเรื่องดังกล่าวเป็นรายงานส่งให้ กกต. และ ผู้ว่า ฯ ซึ่ง พ.อ.ธนัชย์ ตอบว่า ที่ไปพบเพราะนายพลภพ มานะมนตรีกุล หรือกำนันตี๋ นายกเทศมนตรี ต.เวียงเชียงแสน โทรศัพท์มาชวนเพื่อจะแนะนำให้รู้จักนายสุชาติ อนุภาวะธรรม หรือ เฮียกวง นักธุรกิจสนามกอล์ฟ ย่านบางนา โดยกำนันตี๋ บอกว่ากลุ่มกำนันจะมาด้วย แต่วันดังกล่าวพยานไม่ได้พูดคุยกับกลุ่มกำนันเรื่องเลือกตั้ง และที่ไปพบ เพราะต้องการจะขอความช่วยเหลือเรื่องให้ทุนสนับสนุนพัฒนาสนามกอล์ฟกองทัพ จ.เชียงราย โดยเฮียกวง เปรยขึ้นมา จะส่งบุตรชายส่งสมัคร ส.ส. แต่พยานไม่ทราบว่าจะลงพรรคใด ซึ่งพยานไม่ได้สนใจ โดยพยานเห็นว่าการไปพบกำนันตี๋ ไม่ใช่เรื่องสำคัญ จึงทำรายงานบันทึกส่ง กกต. และ ผู้ว่า ฯ เพียงว่า กลุ่มกำนันเดินทางไป และกลับมาจาก กทม. เมื่อวันที่ 29 ต.ค.50 เวลา 10.45 น.

เมื่อนายพิชิฏ พยายามถามย้ำว่า ในวันดังกล่าวที่พบกลุ่มกำนัน พยานได้นำพระเครื่อง 9 ถุง พร้อมนามบัตรไปแจกให้กำนัน 9คน ยกเว้นนายชัยวัฒน์ หรือไม่ และในวันนั้นเฮียกวง ได้นำเงินใส่ซอง 2,000 บาทแจกให้กำนันเพื่อช่วยเหลือบุตรชายที่จะลงสมัครพรรคมัชฌิมาธิปไตยด้วยหรือไม่ พ.อ.ธนัชย์ ตอบปฏิเสธว่า ที่นำนามบัตรและพระไปแจกเพราะทำตามคำแนะนำของกำนันตี๋ ส่วนเฮียกวงจะแจกเงินกำนันคนละ 2,000 บาทหรือไม่พยานไม่ทราบ ทั้งนี้ พ.อ.ธนัชย์ ยังตอบปฏิเสธด้วยว่า ไม่ทราบเรื่องบันทึกลับของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ ( คมช.) ที่ส่งไปยังหน่วยงานราชการ ทำนองชี้นำให้ขัดขวางกลุ่มอำนาจเก่าส่วนที่ทำรายงานส่งให้ กกต. และผู้ว่า ฯ ล่าช้าหลังจากทราบข้อเท็จจริงเรื่องนี้นานเกือบ 2 เดือน พ.อ.ธนัชย์ ตอบว่า เรื่องการสรุปรายงานพยานต้องใช้เวลาในการตรวจสอบข้อมูลจากแหล่งข่าว ประเมินความน่าเชื่อถือของข่าว ตามหลักปฏิบัติ อีกทั้งได้รับคำสั่งต้องลงพื้นที่พบปะผู้ใหญ่บ้าน และกำนัน รวมทั้งเดินทางไปสัมมนาตามที่ต่างๆ ประกอบมารดาป่วยเป็นโรคมะเร็งและเสียชีวิต ด้วยความจำเป็นจึงได้ทำบันทึกรายงานส่งผู้บังคับบัญชาล่าช้า

หลังพยานเบิกความแล้วเสร็จ ทนายความแถลงหมดพยานและขออนุญาตยื่นคำแถลงปิดคดีภายใน 30 วันนับจากวันนี้ ศาลพิเคราะห์ระเบียบที่ประชุมศาลฎีกาว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีเลือกตั้ง ข้อ 17 ให้คู่ความยื่นคำแถลงปิดคดีภายใน 5 วัน แต่เนื่องจากคดีนี้มีข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานจำนวนมาก จึงสมควรให้โอกาสคู่ความตามคำขอ อนุญาตให้ส่งคำแถลงปิดคดีภายใน 30 วัน หากไม่ส่งภายในกำหนด ให้ถือว่าไม่ติดใจยื่นคำแถลงปิดคดี และให้นัดฟังคำสั่ง ในวันที่ 8 ก.ค. เวลา 16.00 น.

ภายหลัง นายยงยุทธ กล่าวว่า ส่วนตัวยังมีความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งเป็นที่พึ่งสุดท้ายของประชาชน เพราะในการพิจารณาคดีนี้ศาลได้มีการไต่สวนตรวจสอบพยานจนทำให้เห็นถึงข้อพิรุธในหลายประเด็น ส่วนตนเองก็ได้เบิกความและนำพยานหลักฐานเพื่อยืนยันต่อศาลครบถ้วนแล้ว

เมื่อถามว่า ห่วงหรือไม่ว่าจะมีการตั้งธงเพื่อนำไปสู่การยุบพรรคพลังประชาชน นายยงยุทธ กล่าวว่า ขอให้รอฟังการไต่สวนในส่วนของคำสั่ง คมช.เพื่อให้ดำเนินการกับพรรคพลังประชาชน ซึ่งเอกสารดังกล่าวฝ่ายตนนำมาเสนอต่อศาลเป็นเอกสารที่ได้รับการรับรองจากอนุกรรมการ กกต.แล้ว ซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนว่าการดำเนินการกับตนเป็นการจัดฉากขึ้นทั้งหมด ส่วนเรื่องที่พรรคพลังประชาชน มีความเป็นห่วงต่อคำตัดสินที่จะมีออกมาหรือไม่นั้นพรรคไม่มีการพูดคุยในเรื่องนี้ ต่างคนต่างทำหน้าที่ ตนเองก็มีหน้าที่พิสูจน์ความบริสุทธิ์และปกป้องสิทธิของตัวเองซึ่งรวมไปถึงพรรคพลังประชาชนด้วย

เมื่อถามถึงกระแสข่าวที่จะได้รับตำแหน่ง มท.1 เป็นการตอบแทนหากรอดพ้นคดีใบแดง นายยงยุทธ กล่าวว่า ข่าวที่ออกมาเป็นข่าวจากหนังสือพิมพ์และเว็บไซด์ผู้จัดการซึ่งต้องการให้คนเข้าใจว่าตนเองเป็นคนไม่ดี ทั้งที่ไม่เคยมีจุดประสงค์เช่นนั้นเลย แค่หวังให้บ้านเมืองมีความปรองดองกัน และขอให้ตนเป็นเหยื่อรายสุดท้ายของความขัดแย้ง หลังจากนี้จะไปทำอะไรจะได้รับตำแหน่งอะไรหรือไม่ ตนไม่สนใจ ขอให้สังคมอยู่ร่วมกันได้ก็พอ ในพรรคพลังประชาชนไม่เคยพูดคุยกันว่าจะให้ตนไปรับตำแหน่งใด โดยในตำแหน่ง มท.1 ก็มีนายเฉลิม อยู่บำรุง ทำงานอยู่ และได้วางรากฐานการทำงานไว้ดีอยู่แล้ว ตนเข้าไปตอนนี้คงไม่เหมาะสมเพราะจะเหมือนเป็นการเล่นขายของ แต่ในอนาคตพรรคต้องการให้ตนไปทำงานอะไร ตนก็พร้อม แต่ขอให้ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอน

ขณะที่ นายพิชิฏ ทนายความ กล่าวว่า ตนจะเดินทางมาฟังคำสั่งด้วยตนเอง ส่วนนายยงยุทธ จะเดินทางมาด้วยหรือไม่ยังไม่พูดคุยหารือกัน อย่างไรก็ดีในการยื่นคำแถลงปิดคดีนั้นตน ยังสรุปประเด็นตั้งข้อสังเกตทั้งเรื่องเวลาการสอบสวน เรื่องความไม่น่าจะเป็นไปได้ รวมทั้งเหตุบังเอิญ ที่ พ.อ.ธนัชย์ ได้ทำบันทึกรายงานสรุปการสอบคำให้การของกลุ่มกำนันต่อ กกต. และ ผู้ว่า ฯ โดยล่าช้า

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่นายพิชิฏ ซักถามพยาน ปรากฏว่านายยงยุทธ ซึ่งนั่งอยู่ข้างนายพิชิฏ พยายามที่จะให้ข้อมูลตั้งข้อสังเกตในการตั้งคำถามซัก พ.อ.ธนัชย์ เป็นระยะ ๆ
กำลังโหลดความคิดเห็น