“ทนายยงยุทธ” ยื่นคำแถลงปิดคดีใบแดงแล้ว อ้าง “ชัยวัฒน์ ฉางข้าวคำ” กำนันแม่จัน พยานปากเอก กกต.ร่วมมือทหารวางแผนเอาผิดทุจริตซื้อเสียง ชี้พยาน กกต.ไม่มีน้ำหนัก ขณะที่ทนายพร้อมยื่นคำชี้แจงข้อเท็จจริงที่มาเอกสาร กกต.ระบุ “ชัยวัฒน์” เป็นสมาชิกพรรค ปชป.
วันนี้ (16 มิ.ย.) ที่ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง สนามหลวง นายสาคร ศิริชัย ทนายความของนายยงยุทธ ติยะไพรัช เดินทางมายื่นคำแถลงปิดคดีจำนวน 125 หน้าในคดีหมายเลขดำ ที่ ลต.38/2551 ระหว่างคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ผู้ร้อง และนายยงยุทธ ส.ส.ระบบสัดส่วนกลุ่มหนึ่ง พรรคพลังประชาชน ซึ่งถูก กกต.แจงใบแดง และน.ส.ละออง ติยะไพรัช น้องสาว ซึ่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือ ส.ส.เขต 3 จังหวัดเชียงราย ที่ กกต.แจกใบเหลืองผู้คัดค้านที่ 1-2 กระทำผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา หรือ ส.ว.2550 กรณีทุจริตการเลือกตั้งจ่ายเงินให้กับกำนันอำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นหัวคะแนน เพื่อให้มีการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ส.ส.พรรคพลังประชาชน โดย กกต.ร้องขอให้ศาลฎีกาเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของนายยงยุทธ และให้จัดเลือกตั้งใหม่ในเขต 3 จังหวัดเชียงราย
โดย นายสาคร ทนายความกล่าวว่า คำแถลงปิดคดีดังกล่าว ฝ่ายผู้คัดค้านได้สรุปข้อโต้แย้งการกล่าวหาของ กกต.ทั้งข้อเท็จจริง และประเด็นข้อกฎหมาย ซึ่งประเด็นข้อเท็จจริงได้สรุปเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของนายชัยวัฒน์ ฉางข้าวคำ กำนันตำบลจันจว้า อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย ประจักษ์พยานของ กกต.เพียงปากเดียวว่ามีข้อพิรุธ มีประวัติที่ไม่ดี ซึ่งนายชัยวัฒน์ เกี่ยวพันกับซุ้มมือปืนและเคยเป็นผู้ที่มีชื่ออยู่ในบัญชีผู้ค้ายาเสพติด (แบล็กลิสต์) โดยที่สำคัญนายชัยวัฒน์ได้มาเบิกความเท็จต่อศาลว่าไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ขณะที่ข้อเท็จจริงที่ระบุวัน เวลา เกิดเหตุที่นายชัยวัฒน์ และกำนันอำเภอแม่จัน อีก 9 คนมาพบนายยงยุทธก็เป็นการจัดฉากวางแผนให้เกิดขึ้น โดยนายชัยวัฒน์ร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ซึ่งได้มีการติดต่อประสานงานกันทางโทรศัพท์กับนายชัยวัฒน์มาโดยตลอด ตั้งแต่ช่วงก่อนและหลังเกิดเหตุ ส่วนประเด็นข้อกฎหมายได้โต้แย้งเกี่ยวกับกระบวนการมีมติแจกใบแดงของ กกต.ว่าเป็นไปโดยมิชอบ ตามมาตรา 8 ของ พ.ร.บ.ว่าด้วย คณะกรรมการเลือกตั้ง พ.ศ.2550 ซึ่งกฎหมายบัญญัติใช้คำว่าให้ กกต.ต้องลงมติ โดยการตีความตามกฎหมายมหาชน หมายความว่า กกต.จะต้องมติเด็ดขาดว่าผิดให้แจกใบแดงหรือไม่ผิดเท่านั้น แต่ข้อเท็จจริงกลับพบว่า กกต.3 คน มีมติให้แจกใบแดง ส่วนนายสมชัย จึงประเสริฐ กกต.ฝ่ายสืบสวนสอบสวนมีมติไม่แจกใบแดง ขณะที่นางสดศรี สัตยธรรม กกต.ฝ่ายกิจการพรรคการเมือง กลับมีมติให้สอบสวนเพิ่มเติม ซึ่งถือว่าความเห็นของนางสดศรีไม่ได้เป็นมีมติ ตามเจตนารมณ์ที่กฎหมายบัญญัติไว้ จึงถือว่ามติของ กกต.นั้นเป็นไปโดยมิชอบ นอกจากนี้ยังโต้แย้งด้วยว่าวัน เวลาที่ระบุว่ามีการกระทำผิดเกิดขึ้นนั้น เกิดขึ้นก่อนที่จะมีการเลือกตั้งในวันที่ 23 ธ.ค.50 ข้อกล่าวหาจึงยังไม่ครบองค์ประกอบความผิด ตามกฎหมายอีกทั้งการไต่สวนในชั้นกกต.ก็เป็นไปโดยมิชอบ เพราะอนุฯ กกต.ชุดแรก สอบสวนโดยมิชอบ เนื่องจากอนุฯ กกต.บางคนไม่มีอำนาจสอบสวน และแม้ว่าภายหลังจะเปลี่ยนอนุฯ กกต. เป็นชุดของนายสุวิทย์ ธีรพงษ์แล้ว กลับนำผลไต่สวนของอนุฯ กกต.ชุดเก่าที่สอบสวนโดยมิชอบนั้น มาพิจารณาและ กกต.มีมติแจกใบแดง
“คดีนี้เรามั่นในความบริสุทธิ์ว่าไม่ได้กระทำผิด จึงการตัดสินของศาลจะเป็นไปแนวทางใดต้องรอฟังคำพิพากษาในวันที่ 8 ก.ค.นี้” นายสาคร ทนายความกล่าว
นายสาคร กล่าวด้วยว่า นอกจากคำแถลงปิดคดีแล้วยังได้ยื่นคำร้องขอชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับที่มาของเอกสารที่ระบุว่านายชัยวัฒน์เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ที่นายยงยุทธผู้คัดค้านที่ 1 ได้ยื่นต่อศาลประกอบการเบิกความเมื่อวันที่ 14 พ.ค.51 ด้วยจำนวน 8 หน้า ซึ่งตนในฐานะที่เป็นผู้ยื่นคำร้องต่อ กกต.เรื่องนี้ เมื่อวันที่ 8 พ.ค.51ขอตรวจสอบและคัดถ่ายเอกสารแสดงการเป็นสมาชิกพรรคของนายชัยวัฒน์นั้นยืนยันว่านายชัยวัฒน์มีชื่อเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ตั้งแต่วันที่ 20 ก.ย.47 โดยคำร้องของตนได้ลงเลขรับอย่างถูกต้องจากกกต.ขณะที่ตนมีสำเนาภาพถ่ายไมโครฟิล์มซึ่งเป็นแบบแจ้งจำนวนสมาชิกพรรคการเมืองที่เพิ่มขึ้นในรอบปี 2547 ของพรรคประชาธิปัตย์ ระบุชื่อนายชัยวัฒน์เป็นสมาชิกพรรคลำดับที่ 19 เลขประจำตัวสมาชิก 471040033 ซึ่งชื่อสมาชิกพรรคจะเรียงลำดับตามตัวอักษร ไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ โดยมีชื่อของนายสัมพันธ์ ทองสมัคร นายทะเบียนพรรคประชาธิปัตย์เป็นผู้รับรองและได้มีการส่งแบบแจ้งรายชื่อดังกล่าวให้กับ กกต. หากนายชัยวัฒน์ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์จริง โดยนายชัยวัฒน์ระบุว่ามีผู้แอบอ้างชื่อ นายชัยวัฒน์ต้องดำเนินคดีต่อพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรคจะต้องรับผิดชอบ
“ผมยืนยันว่าได้ยื่นขอให้ กกต.ตรวจสอบกรณีของนายชัยวัฒน์ตามหลักวิชาชีพทนายความและกระบวนการของทางราชการอย่างถูกต้อง และเอกสารที่ได้รับจาก กกต.ก็เป็นเอกสารราชการที่ลงเลขรับไว้อย่างถูกต้องเช่นกัน จึงเชื่อว่าเอกสารนั้นถูกต้อง โดยฐานข้อมูลของ กกต.ตรงกับข้อมูลที่เรามี ส่วนกระบวนการทำเอกสารของ กกต.นั้นจะเป็นอย่างไรตามที่ตกเป็นข่าว ผมไม่ทราบซึ่งเป็นเรื่องที่เจ้าหน้าที่ของ กกต.ผู้รับผิดชอบจะต้องดำเนินการ” นายสาคร ทนายความกล่าว และว่าส่วนที่ในชั้นพิจารณาคดีฝ่ายตนไม่ได้ขอให้ศาลออกหมายเรียกเอกสารดังกล่าว เพราะเมื่อเรามีเอกสารนั้นอยู่แล้วและได้มาอย่างถูกต้องจึงได้ยื่นต่อศาลเองนั้น ซึ่งหากเป็นเอกสารเท็จตนในฐานะที่ทนายความก็ต้องรับผิดชอบ ทั้งนี้ นายสาคร ทนายความกล่าวด้วยว่าที่นายชัยวัฒน์เคยยื่นคำร้องต่อศาลเมื่อวันที่ 11 มิ.ย.ให้ดำเนินการไต่สวนว่านายยงยุทธนำเอกสารเท็จมาเบิกความนั้น ศาลได้มีคำสั่งแล้วเมื่อวันที่ 12 มิ.ย.ให้ยกคำร้องแล้ว