หัวเรื่องข้างต้นไม่ใช่สำนวนผม และไม่ใช่สำนวน ท่านอาจารย์ชัยอนันต์ สมุทวณิช ที่เพิ่งเขียนเรื่อง Republic of Thailand ไปหมาดๆ แต่เป็นสำนวน “บิ๊กจิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ในงานเขียนที่พิมพ์เป็นเล่มแจกในวันครบรอบวันเกิดของท่านเมื่อ 15 พฤษภาคม 2551 ที่ผ่านมา โดยส่วนหนึ่งนำไปตีพิมพ์ใน นสพ.บางกอกทูเดย์ ฉบับลงวันที่วันเดียวกันแต่จริงๆ แล้ววางแผงก่อนหน้า 1 วัน
ท่านผู้นี้ใครจะชอบหรือจะชังท่านเมื่อมาเล่นการเมือง โดยเฉพาะเมื่อเป็นนายกรัฐมนตรีแล้วกลับมาเป็นรองนายกรัฐมนตรี ก็เรื่องหนึ่ง
แต่คงไม่มีใครปฏิเสธบทบาทของท่านสมัยเมื่อเป็นเจ้ากรมยุทธการทหารบก และเสนาธิการทหารบก
เป็นหนึ่งใน “มือทำงาน” ของพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ขณะเป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อปี 2523
เมื่อคนที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ “คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 66/2523” และชัยชนะเหนือพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย เสนอความคิดความเห็นออกมาอย่างนี้....
“มีกลุ่มบุคคลผู้นิยมลัทธิคอมมิวนิสต์ดื้อรั้นบางกลุ่ม หันมาใช้ยุทธวิธีแนวร่วมแทนอย่างเต็มที่ โดยพยายามใช้วิธีการต่างๆ เช่น ชุบตัวในสถาบันวิชาการ เข้าร่วมทำเศรษฐกิจทุนนิยม เข้าร่วมถืออำนาจรัฐ ยุยงให้ทั้งฝ่ายรัฐและฝ่ายทุนทำผิดให้มากๆ...
“ปัจจุบันมีขบวนการบ่อนทำลายประเทศ โดยใช้ระบอบเผด็จการรัฐสภาเป็นเครื่องมือดำเนินยุทธวิธีแนวร่วม เพื่อก่อสงครามกลางเมือง เพื่อเปลี่ยนรูปของประเทศจากราชอาณาจักรไปสู่สาธารณรัฐ โดยใช้รัฐธรรมนูญเป็นอาวุธหลัก...”
มิอาจไม่รับฟัง มิอาจปล่อยให้ผ่านเลย!
ไม่ว่าจะทำเพื่ออะไร มีวัตถุประสงค์ “ระหว่างบรรทัด” แฝงเร้นใดหรือไม่
บิ๊กจิ๋วเป็นคนฉลาด หูตาปราดเปรียว จมูกไว มีการเมืองอยู่ในสายเลือด และยังคงมีความหวังอยู่เสมอว่าอาจจะมีโอกาสได้รับใช้ชาติอีกสักครั้ง เมื่อต้นปี 2549 ขณะเกิดความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ท่านก็เข้าไปใกล้ชิดกับพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์อีกครั้ง และเมื่อเกิดกรณี “มาตรา 7” ขึ้นมา ท่านก็เตรียมตัวแถลงข่าวสำคัญในช่วงปลายเดือนเมษายน ถึงขนาดนัดวันแล้ว แต่พอดีมีกระแสพระราชดำรัสพระราชทานแก่คณะผู้พิพากษาตุลาการขึ้นในวันที่ 25 เมษายนเสียก่อน การเตรียมตัวของท่านจึงเป็นหมันไป เหลือเพียงการปาฐกถาขาย “ลัทธิประชาธิปไตย” ที่ยังคงมีกลิ่นอายของท่านอาจารย์ประเสริฐ ทรัพย์สุนทรอีกครั้งหนึ่งเท่านั้น
ในเชิงทฤษฎี บิ๊กจิ๋วมีหลักมากกว่านักการเมืองคนใด ท่านยืนยันมาโดยตลอดว่าระบอบประชาธิปไตยโดยผู้แทนแบบที่เราเป็นอยู่นี้ ไม่ใช่ประชาธิปไตยที่แท้จริง หากแต่เป็น “เผด็จการรัฐสภา” ต่างหาก
มาครั้งนี้ ผมเชื่อว่าจมูกของบิ๊กจิ๋วคงจะได้กลิ่นอะไรสักอย่างที่ชัดเจนมาก จึงทำให้ท่านถึงกับประกาศขอต่อสู้กับขบวนการสาธารณรัฐที่มุ่งเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐโดยใช้วิธีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นหลักนี้...
“...จนกว่าชีวิตจะหาไม่”
บิ๊กจิ๋วไม่ได้ระบุตัวบุคคลว่าใครคือ “ผู้นิยมลัทธิคอมมิวนิสต์ดื้อรั้นบางกลุ่ม” และเกี่ยวข้องอยู่กับรัฐบาลปัจจุบันหรือไม่อย่างไร
เท่าที่ผมทราบ โดยเฉพาะจากการติดตามอ่านงานหลายชิ้นใน “เนชั่นสุดสัปดาห์” รวมทั้งฉบับล่าสุด และงานของเจ้าของนามปากกา “ประชา บูรพาวิถี” ใน “กรุงเทพธุรกิจ” ทำให้ทราบว่าที่คึกคักเข้มแข็งเอาการเอางานจริงๆ มีอยู่ 2 กลุ่ม
กลุ่มหนึ่งนำโดย “สหายเชี่ยว” อดีตเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จังหวัดเชียงราย-พะเยา สมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทยตั้งแต่ปี 2544 เพราะชื่นชอบในนโยบายประชานิยม ประกอบกับรู้จักมักคุ้นกับ “สหายสุภาพ” จาตุรนต์ ฉายแสง ที่เคยเข้าป่า กลุ่มนี้ก่อตั้ง “สำนักคิดไทยใหม่” ขับเคลื่อนปัดฝุ่นลัทธิมาร์กซ์-เลนินใหม่ด้วยการเชิญปรมาจารย์ลัทธิมาร์กซ์-เลนินจากจีนมาพูดคุยในลักษณะอบรมสัมมนา นัยว่าผู้เข้าร่วมต้องเสียสตางค์คนละ 4,000 บาท
กลุ่มนี้คิดตั้งพรรคคอมมิวนิสต์ขึ้นมาใหม่ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2549 หวังให้เป็น “พรรคคู่ขนาน” กับพรรคไทยรักไทยในทำนอง “หนึ่งยุทธศาสตร์ หลายยุทธวิธี” แต่ไม่สำเร็จ เพราะอดีตสหายส่วนใหญ่ไม่เอาด้วย แนวคิดนี้ยังคงเร่ขายตลอดระยะเวลา 1 ปีของ คมช.แต่ก็ไม่สำเร็จเช่นเคย
กลุ่มนี้แม้จะคึกคักเข้มแข็งแต่ก็ดำเนินการเปิดเผยไม่อำพราง!
อีกกลุ่มหนึ่ง นำโดย “สหายเข้ม” กับ “สหายปูน” สองสามีภรรยานักเคลื่อนไหว คนสามีที่เป็นคุณหมอนั้น เคยหวังว่าจะได้รับเลือกเป็นกรรมการบริหารพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยในปี 2525 แต่ผิดหวัง เคยคิดและเคลื่อนไหวก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์ใหม่เหมือนกัน แต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะไม่มีอดีตสหายที่ไหนเอาด้วย
กลุ่มที่เนชั่นฯ เรียกว่า “สหายผัวเมีย” กระโดดเข้าร่วมเคลื่อนไหวกับ นปก.ในช่วงปี 2550
คุณหมอ “สหายเข้ม” อธิบายแนวความคิดของเขาให้สหายชาวนาเขตงานภูพานฟังกลางงานรำลึกผู้พลีชีพที่อนุสรณ์สถานวีรชน จังหวัดกาฬสินธุ์ พร้อมเผยแพร่เอกสาร “คำอธิบายสถานการณ์การเคลื่อนไหวขับไล่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” ว่า การเคลื่อนไหวขับไล่นายกรัฐมนตรีคนนั้นเป็นการเริ่มต้นโดยกลุ่มอนุรักษ์จารีตนิยม
สหายผัวเมียสรุปว่าเราต้องเป็นพันธมิตรกับพรรคทุนใหญ่เพื่อโค่นล้มพลังจารีตนิยม!
แต่ดูเหมือนว่าสหายภูพานไม่เอาด้วย
เพราะบังเอิญอดีตนายกรัฐมนตรี พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เข้าไป “ทำงานความคิด” กับบรรดาอดีตสหายทั่วประเทศ ทั้งในฐานะนายกรัฐมนตรี และในฐานะที่เป็นลูกชายของ “สหายคำตัน” พ.ท.พโยม จุลานนท์ อดีตชาวคอมมิวนิสต์ระดับหัวแถว
สหายผัวเมีย - โดยเฉพาะสหายผู้ผัว - เลยเดินหน้าเคลื่อนไหวเอาการเอางานกับ นปก.!!
วันนี้ - เขาเชื่อว่าประสบความสำเร็จ!
เขาไม่ได้คิดว่าจะร่วมเป็นร่วมตายกับพรรคทุนใหญ่ แต่เห็นว่า “ทุนสามานย์ ดีกว่าศักดินาล้าหลัง” ในสถานการณ์นี้ร่วมกับทุนใหญ่โค่นล้มศักดินาก่อน เสร็จแล้วค่อยมาจัดการกับทุนใหญ่ทีหลัง เมื่อวันขึ้นปีใหม่ 2551 เขาจัดเลี้ยงฉลองชัยชนะอย่างเอิกเกริก ประกาศว่าผลการเลือกตั้ง 23 ธันวาคม 2550 เป็นชัยชนะของประชาชน พลังอนุรักษนิยมกำลังเสื่อมทรุดอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
จะคิดอย่างนี้จริงๆ หรือแค่ข้ออ้าง - ผมไม่ทราบ!
เขามาร่วมเคลื่อนไหวแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 โดยใช้มวลชน แล้วไปผนวกเอาประเด็นพระพุทธศาสนาเข้ามาพ่วงด้วย
ซึ่งผมเขียนไว้เมื่อสัปดาห์ก่อนแล้วว่าอันตรายมาก!
เหล่านี้จะเป็น “ผู้นิยมลัทธิคอมมิวนิสต์ดื้อรั้นบางกลุ่ม” ในความหมายของบิ๊กจิ๋วหรือไม่ ผมไม่ทราบ แต่ดูแล้วคลับคล้ายคลับคลา
ไม่ว่าจะอย่างไร ผมหวังว่าบิ๊กจิ๋วจะ “ซื่อสัตย์ต่องานเขียน” ของตัวเองชิ้นนี้ที่ทั้งตรงไปตรงมา จริงจัง จริงใจ และชัดเจนแจ่มแจ้ง
ไม่ใช่บทสัมภาษณ์ภายหลังที่ดู “เบาหวิว” ไปถนัดใจ
ท่านผู้นี้ใครจะชอบหรือจะชังท่านเมื่อมาเล่นการเมือง โดยเฉพาะเมื่อเป็นนายกรัฐมนตรีแล้วกลับมาเป็นรองนายกรัฐมนตรี ก็เรื่องหนึ่ง
แต่คงไม่มีใครปฏิเสธบทบาทของท่านสมัยเมื่อเป็นเจ้ากรมยุทธการทหารบก และเสนาธิการทหารบก
เป็นหนึ่งใน “มือทำงาน” ของพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ขณะเป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อปี 2523
เมื่อคนที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ “คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 66/2523” และชัยชนะเหนือพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย เสนอความคิดความเห็นออกมาอย่างนี้....
“มีกลุ่มบุคคลผู้นิยมลัทธิคอมมิวนิสต์ดื้อรั้นบางกลุ่ม หันมาใช้ยุทธวิธีแนวร่วมแทนอย่างเต็มที่ โดยพยายามใช้วิธีการต่างๆ เช่น ชุบตัวในสถาบันวิชาการ เข้าร่วมทำเศรษฐกิจทุนนิยม เข้าร่วมถืออำนาจรัฐ ยุยงให้ทั้งฝ่ายรัฐและฝ่ายทุนทำผิดให้มากๆ...
“ปัจจุบันมีขบวนการบ่อนทำลายประเทศ โดยใช้ระบอบเผด็จการรัฐสภาเป็นเครื่องมือดำเนินยุทธวิธีแนวร่วม เพื่อก่อสงครามกลางเมือง เพื่อเปลี่ยนรูปของประเทศจากราชอาณาจักรไปสู่สาธารณรัฐ โดยใช้รัฐธรรมนูญเป็นอาวุธหลัก...”
มิอาจไม่รับฟัง มิอาจปล่อยให้ผ่านเลย!
ไม่ว่าจะทำเพื่ออะไร มีวัตถุประสงค์ “ระหว่างบรรทัด” แฝงเร้นใดหรือไม่
บิ๊กจิ๋วเป็นคนฉลาด หูตาปราดเปรียว จมูกไว มีการเมืองอยู่ในสายเลือด และยังคงมีความหวังอยู่เสมอว่าอาจจะมีโอกาสได้รับใช้ชาติอีกสักครั้ง เมื่อต้นปี 2549 ขณะเกิดความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ท่านก็เข้าไปใกล้ชิดกับพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์อีกครั้ง และเมื่อเกิดกรณี “มาตรา 7” ขึ้นมา ท่านก็เตรียมตัวแถลงข่าวสำคัญในช่วงปลายเดือนเมษายน ถึงขนาดนัดวันแล้ว แต่พอดีมีกระแสพระราชดำรัสพระราชทานแก่คณะผู้พิพากษาตุลาการขึ้นในวันที่ 25 เมษายนเสียก่อน การเตรียมตัวของท่านจึงเป็นหมันไป เหลือเพียงการปาฐกถาขาย “ลัทธิประชาธิปไตย” ที่ยังคงมีกลิ่นอายของท่านอาจารย์ประเสริฐ ทรัพย์สุนทรอีกครั้งหนึ่งเท่านั้น
ในเชิงทฤษฎี บิ๊กจิ๋วมีหลักมากกว่านักการเมืองคนใด ท่านยืนยันมาโดยตลอดว่าระบอบประชาธิปไตยโดยผู้แทนแบบที่เราเป็นอยู่นี้ ไม่ใช่ประชาธิปไตยที่แท้จริง หากแต่เป็น “เผด็จการรัฐสภา” ต่างหาก
มาครั้งนี้ ผมเชื่อว่าจมูกของบิ๊กจิ๋วคงจะได้กลิ่นอะไรสักอย่างที่ชัดเจนมาก จึงทำให้ท่านถึงกับประกาศขอต่อสู้กับขบวนการสาธารณรัฐที่มุ่งเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐโดยใช้วิธีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นหลักนี้...
“...จนกว่าชีวิตจะหาไม่”
บิ๊กจิ๋วไม่ได้ระบุตัวบุคคลว่าใครคือ “ผู้นิยมลัทธิคอมมิวนิสต์ดื้อรั้นบางกลุ่ม” และเกี่ยวข้องอยู่กับรัฐบาลปัจจุบันหรือไม่อย่างไร
เท่าที่ผมทราบ โดยเฉพาะจากการติดตามอ่านงานหลายชิ้นใน “เนชั่นสุดสัปดาห์” รวมทั้งฉบับล่าสุด และงานของเจ้าของนามปากกา “ประชา บูรพาวิถี” ใน “กรุงเทพธุรกิจ” ทำให้ทราบว่าที่คึกคักเข้มแข็งเอาการเอางานจริงๆ มีอยู่ 2 กลุ่ม
กลุ่มหนึ่งนำโดย “สหายเชี่ยว” อดีตเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จังหวัดเชียงราย-พะเยา สมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทยตั้งแต่ปี 2544 เพราะชื่นชอบในนโยบายประชานิยม ประกอบกับรู้จักมักคุ้นกับ “สหายสุภาพ” จาตุรนต์ ฉายแสง ที่เคยเข้าป่า กลุ่มนี้ก่อตั้ง “สำนักคิดไทยใหม่” ขับเคลื่อนปัดฝุ่นลัทธิมาร์กซ์-เลนินใหม่ด้วยการเชิญปรมาจารย์ลัทธิมาร์กซ์-เลนินจากจีนมาพูดคุยในลักษณะอบรมสัมมนา นัยว่าผู้เข้าร่วมต้องเสียสตางค์คนละ 4,000 บาท
กลุ่มนี้คิดตั้งพรรคคอมมิวนิสต์ขึ้นมาใหม่ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2549 หวังให้เป็น “พรรคคู่ขนาน” กับพรรคไทยรักไทยในทำนอง “หนึ่งยุทธศาสตร์ หลายยุทธวิธี” แต่ไม่สำเร็จ เพราะอดีตสหายส่วนใหญ่ไม่เอาด้วย แนวคิดนี้ยังคงเร่ขายตลอดระยะเวลา 1 ปีของ คมช.แต่ก็ไม่สำเร็จเช่นเคย
กลุ่มนี้แม้จะคึกคักเข้มแข็งแต่ก็ดำเนินการเปิดเผยไม่อำพราง!
อีกกลุ่มหนึ่ง นำโดย “สหายเข้ม” กับ “สหายปูน” สองสามีภรรยานักเคลื่อนไหว คนสามีที่เป็นคุณหมอนั้น เคยหวังว่าจะได้รับเลือกเป็นกรรมการบริหารพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยในปี 2525 แต่ผิดหวัง เคยคิดและเคลื่อนไหวก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์ใหม่เหมือนกัน แต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะไม่มีอดีตสหายที่ไหนเอาด้วย
กลุ่มที่เนชั่นฯ เรียกว่า “สหายผัวเมีย” กระโดดเข้าร่วมเคลื่อนไหวกับ นปก.ในช่วงปี 2550
คุณหมอ “สหายเข้ม” อธิบายแนวความคิดของเขาให้สหายชาวนาเขตงานภูพานฟังกลางงานรำลึกผู้พลีชีพที่อนุสรณ์สถานวีรชน จังหวัดกาฬสินธุ์ พร้อมเผยแพร่เอกสาร “คำอธิบายสถานการณ์การเคลื่อนไหวขับไล่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” ว่า การเคลื่อนไหวขับไล่นายกรัฐมนตรีคนนั้นเป็นการเริ่มต้นโดยกลุ่มอนุรักษ์จารีตนิยม
สหายผัวเมียสรุปว่าเราต้องเป็นพันธมิตรกับพรรคทุนใหญ่เพื่อโค่นล้มพลังจารีตนิยม!
แต่ดูเหมือนว่าสหายภูพานไม่เอาด้วย
เพราะบังเอิญอดีตนายกรัฐมนตรี พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เข้าไป “ทำงานความคิด” กับบรรดาอดีตสหายทั่วประเทศ ทั้งในฐานะนายกรัฐมนตรี และในฐานะที่เป็นลูกชายของ “สหายคำตัน” พ.ท.พโยม จุลานนท์ อดีตชาวคอมมิวนิสต์ระดับหัวแถว
สหายผัวเมีย - โดยเฉพาะสหายผู้ผัว - เลยเดินหน้าเคลื่อนไหวเอาการเอางานกับ นปก.!!
วันนี้ - เขาเชื่อว่าประสบความสำเร็จ!
เขาไม่ได้คิดว่าจะร่วมเป็นร่วมตายกับพรรคทุนใหญ่ แต่เห็นว่า “ทุนสามานย์ ดีกว่าศักดินาล้าหลัง” ในสถานการณ์นี้ร่วมกับทุนใหญ่โค่นล้มศักดินาก่อน เสร็จแล้วค่อยมาจัดการกับทุนใหญ่ทีหลัง เมื่อวันขึ้นปีใหม่ 2551 เขาจัดเลี้ยงฉลองชัยชนะอย่างเอิกเกริก ประกาศว่าผลการเลือกตั้ง 23 ธันวาคม 2550 เป็นชัยชนะของประชาชน พลังอนุรักษนิยมกำลังเสื่อมทรุดอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
จะคิดอย่างนี้จริงๆ หรือแค่ข้ออ้าง - ผมไม่ทราบ!
เขามาร่วมเคลื่อนไหวแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 โดยใช้มวลชน แล้วไปผนวกเอาประเด็นพระพุทธศาสนาเข้ามาพ่วงด้วย
ซึ่งผมเขียนไว้เมื่อสัปดาห์ก่อนแล้วว่าอันตรายมาก!
เหล่านี้จะเป็น “ผู้นิยมลัทธิคอมมิวนิสต์ดื้อรั้นบางกลุ่ม” ในความหมายของบิ๊กจิ๋วหรือไม่ ผมไม่ทราบ แต่ดูแล้วคลับคล้ายคลับคลา
ไม่ว่าจะอย่างไร ผมหวังว่าบิ๊กจิ๋วจะ “ซื่อสัตย์ต่องานเขียน” ของตัวเองชิ้นนี้ที่ทั้งตรงไปตรงมา จริงจัง จริงใจ และชัดเจนแจ่มแจ้ง
ไม่ใช่บทสัมภาษณ์ภายหลังที่ดู “เบาหวิว” ไปถนัดใจ