“สนธิ”เปิดเงื่อนงำ อดีตนักการเมืองใหญ่ เตรียมยกดินแดนเขาพระวิหารให้กัมพูชาและสิทธิสัมปทานขุดก๊าซบนพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-เขมร แฉพิรุธไทยเคยเตรียมขอขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกคู่กับกัมพูชา แต่รัฐบาล “ลูกกรอก”เข้ามากลับเงียบเฉย ปล่อยกัมพูชายื่นฝ่ายเดียวเท่ากับยกดินแดน 2.5 กม.ให้โดยปริยาย ย้ำวิกฆติชาติครั้งใหญ่ รุนแรงยิ่งวกว่าก่อน 19 ก.ย.เหตุ “ทักษิณ”เหลือเวลาไม่มากแล้ว
นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ และเอเอสทีวี กลับมาจัดรายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” เป็นกรณีพิเศษ เมื่อวันที่ 9 ก.พ. โดยมีประเด็นสำคัญที่จะชี้แจงให้ผู้ชมและประชาชนมองเห็นวิกฤติครั้งใหญ่ของชาติ โดยนายสนธิย้ำว่า เป็นวิกฤติที่ร้ายแรงกว่า วิกฤติที่เกิดขึ้นก่อนเหตุการณ์วันที่ 19 กันยายน 2549 วิกฤติที่เกิดขึ้นในวันนี้ เป็นวิกฤติที่เกิดขึ้นด้วยความเร็วที่เร่งสูงมาก เนื่องจากเงื่อนไขเวลาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีน้อยลง เป็นเพียงแค่คนอยู่เบื้องหลังไม่ได้เข้ามาบริหารประเทศด้วยตัวเอง พ.ต.ท.ทักษิณ จึงต้องทำทุกอย่างเพื่อกลับสู่อำนาจโดยเร็วที่สุด
นับถึงวันนี้รัฐบาลก็บริหารประเทศมาครบ 3 เดือนกับอีก 3 วัน นอกจากเหตุการณ์ต่างๆ ที่รัฐบาลชุดนี้สร้างขึ้นมา ยังมีเรื่องราวต่างๆ ความถ่อย ความสามหาว ความหยาบคาย คุกคามข่มขู่ ทั้งหมดมาจากนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีหลายๆคน เป็นสันดารที่เกิดขึ้นจากสิ่งแวดล้อมและสายเลือดส่วนตัว ซึ่งก็แทบไม่น่าเชื่อหลังจากวันเวลาผ่านไป รัฐบาลจะสามารถเข้าไปแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม สื่อมวลชน องค์กรอิสระ โยกย้ายแต่งตั้งคนพาลเข้ามาครองเมือง คอรัปชั่นเศรษฐกิจบนความเดือดร้อนของประชาชน ล้มเลวอย่างสิ้นเชิงในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในภาคใต้ จาบจ้วงสถาบันเบื้องสูงอย่างต่อเนื่อง
สิ่งที่พูดมาทั้งหมดนั้น เป็นสิ่งที่เคยพูดมาแล้วในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ตั้งแต่ปี 2547 จนรายการถูกถอดออกจากช่อง 9 กลายมาเป็นรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร ไปสิ้นสุดที่เวทีลานพระบรมรูปทรงม้า แล้วก็แปรเปลี่ยนเป็นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จนเกิดเกิดยึดอำนาจจากคณะทหารในท้ายที่สุด ซึ่งถึงแม้เวลาจะล่วงเลยไป ก็ยังยืนยันในคำพูดในอดีต ทุกคำพูดทุกการคาดการณ์ไม่มีผิด สิ่งที่พูดมีความชอบธรรมและมีตรรกะแล้วนำพาไปสู่การยุบพรรคไทยรักไทยตามคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญ
นายสนธิ กล่าวต่อว่า เหตุการณ์เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 เป็นเรื่องที่ดีเพียงเล็กน้อย แต่ก็เศร้าใจมากที่เมื่อมีการยึดอำนาจแล้วก็ไม่ลงมือทำ จัดบ้านเมืองให้ระเบียบเรียบร้อย ที่ผ่านมาเคยเตือนรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ จะทำอะไรให้ระวัง อย่าแสดงออกในลักษณะของการจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่ไม่วายโดนโจมตีจากพลพรรคคนรักทักษิณ กล่าวหาว่า กำลังดึงฟ้าลงมาต่ำ กล่าวหาแจ้งความดำเนินคดีทุกเรื่อง ถามว่า แล้ววันนี้เป็นอย่างไร กระบวนการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และจาบจ้วงสถานบันเบื้องสูงกำลังขยายตัวมากขึ้น ถึงขนาดที่คนอย่างนายโชติศักดิ์ อ่อนสูง คนซึ่งไม่ยืนเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมี คนๆ เดียวที่ยืนแจกใบปลิวจาบจ้วงราชวงศ์จักรีอย่างเสียหายในวันที่นายจาตุรนค์ ฉายแสง นำอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ไปปราศรัยที่ท่าน้ำเมืองนนทบุรี
ทุกอย่างถูกจัดตั้งขึ้นมาอย่างเป็นกระบวนการ ที่เสริมด้วยนักวิชาการและอาจารย์มหาวิทยาลัยบางคน ที่ไม่เคยเชื่อในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข มิหนำซ้ำยังถูกจุดเชื้อไฟจากนายจักรภพ เพ็ญแข ที่ลุกขึ้นมาด่า พล.อ.เปรม ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษอย่างเสียๆ หายๆ ไม่คำนึงถึงคุณประโยชน์ที่ท่านทำต่อชาติบ้านเมืองในอดีต มีการปลุกปั่นส่งคนไปก่อกวน ยืนด่าพร้อมแสดงกิริยาที่หยาบคายทั้งที่บริเวณหน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ และที่หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ หากไม่มีอยู่คนอยู่เบื้องหลัง
ขณะเดียวกันยังเป็นการตีกระทบชิ่ง วางแผนอย่างลึกซึ้ง คนพวกนี้รู้ดีว่า พล.อ.เปรม เป็นประธานองคมนตรี แต่ก็ยังว่ากล่าวอย่างเสียหาย กระบวนการเหล่ากำลังพยายามบิดเบือนความจริงในสังคม ยกตัวอย่างเมื่อเร็วๆนี้ ได้รับการเปิดเผยจากหญิงสาวชาวพิษณุโลก ระบุได้รับข้อมูลจากการนั่งรถแท็กซี่ในกรุงเทพฯ ที่พยายามคุยโวโอ้อวดถึงความสัมพันธ์กับแกนนำแนวร่วมม็อบ นปก. พร้อมออกมาเคลื่อนไหวทุกเมื่อหากมีการเป่านกหวีด นอกจากนี้ยังแสดงท่าทีสงสาร พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ต้องการปราบปรามยาเสพติด แต่ติดที่มี พล.อ.เปรม เป็นหัวหน้าใหญ่จึงไม่สามารถปราบปรามได้หมด นี่คือความจริง ขนาดคนในกรุงเทพฯ ยังโดนล้างสมองได้ขนาดนี้ แล้วประชาชนระดับรากหญ้าเข้าไม่ถึงข้อมูลข่าวสารจะโดนล้างสมองขนาดไหน มันเป็นวิกฤติที่น่ากลัวมาก
นายสนธิ กล่าวต่อว่า วันนี้รัฐบาลต้องการแก้รัฐธรรมนูญ โดยอ้างเสียงประชาชน 150,000 คน ที่แสดงออกมาพร้อมกันว่าต้องการแก้รัฐธรรมนูญในหมวดกษัตริย์เพื่อไม่ให้มีกษัตริย์ต่อไป มันเกิดอะไรขึ้นในสังคมไทยวันนี้ ไม่เคยคิดว่าจะเจอเรื่องพวกนี้ แล้วเรื่องพวกนี้พอเกิดขึ้น แทนที่รัฐบาล โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี จะลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่าง มัวแต่นั่งด่าชาวบ้านใช้คำพูดหยาบคายในวิทยุ ไม่แสดงอาการออกเลยแม้แต่นิดเดียว มันแปลว่าประเทศไทยถึงจุดที่จะต้องสิ้นสูญสลายแล้วหรืออย่างไร
“นายสมัคร เป็นผู้ใหญ่ อายุมากแล้ว พ่อเป็นถึงพระยา ชีวิตพูดตลอดเวลาเลยว่า จะเทิดทูนระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข นายสมัครมีอะไรกับ พล.อ.เปรม หรือถึงจงเกลียดจงชังท่านมากมายนัก นายสมัคร เป็นนายกรัฐมนตรี ในวันที่คนถ่อยๆ ไปยืนหน้าบ้าน พล.อ.เปรม แล้วควักของลับออกมาแล้วแกว่งหน้าบ้าน พล.อ.เปรม ถึงนายสมัคร จะไม่ชอบ พล.อ.เปรม จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม แต่นายสมัคร จะยอมรับการกระทำเลวทรามต่ำช้าอย่างนั้นไม่ได้ ทีพรรคประชาธิปัตย์พูดพาดพิงถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ในสภาผู้แทนราษฎร มีคนลุกขึ้นมาประท้วงกันแหลกลาญเลย ถามว่าระหว่าง พ.ต.ท.ทักษิณ กับ พล.อ.เปรม ใครทำคุณงามความดีให้ชาติบ้านเมืองมากว่ากัน”
นายสนธิ กล่าวอีกว่า ที่พูดไม่ได้เกรงกลัวการโต้วาทีอะไรกับใคร แต่คิดว่าการโต้วาทีเพื่อเล่นฝีปาก เล่นการเมืองแบบเก่าๆ มันหมดยุคไปแล้ว มีคนเคยถามพันธมิตรฯ ว่า ชีวิตนี้เคยทำอะไรให้เป็นประโยชน์กับบ้านเมืองหรือเปล่า กรุณาอย่าพูดคำนี้ออกมา เพราะชาวบ้านฟังแล้วจะหัวเราะฟันหัก เขาจะสมเพศคนที่ถามคำถามนี้ เราอยู่ในบ้านหลังใหญ่ เเมื่อพรรคพลังประชาชนต้องการที่จะเป็นรัฐบาลด้วยเสียงข้างมากก็เป็นไป ขออย่างเดียว กรุณาอย่าแทรกแซง บิดเบือนกระบวนการยุติธรรม อย่าส่งเสริมพฤติกรรมการใช้คำพูดหยาบคายในสภาผู้แทนราษฎร อย่างที่ไม่เคยมีปรากฏมาก่อน อย่าพยายามแต่งตั้งคนที่มีพฤติกรรมที่ใช้คำพูดยั่วยุ คุกคามความเคลื่อนไหวของประชาชน มาเป็นรัฐมนตรีจะดีที่สุด
นอกจากนี้นายสนธิ ยังกล่าวถึงคดีกำนันชัยวัฒน์ ฉางข้าวคำ พยานปากเอกในคดีใบแดงของนายยงยุทธ ติยะไพรัช อีกว่า กำนันชัยวัฒน์ เป็นพยานปากเอก พอรัฐบาลชุดพลังประชาชนเข้ามามีอำนาจ ก็เปลี่ยนตำรวจ เอาตำรวจไปแจ้งข้อกล่าวหากำนันชัยวัฒน์ ออกหมายจับกำนันชัยวัฒน์ วัตถุประสงค์เพื่อที่จะจับกำนันชัยวัฒน์ไม่ให้มาขึ้นศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง ทำถึงขนาดเข้าไปในศาลเพื่อขอหมายจับกำนันชัยวัฒน์ในศาล เพื่อไม่ให้กำนันชัยวัฒน์มาให้การกรณีนายยงยุทธ เกิดมาไม่เคยเจอแบบนี้ ทำไมไม่ให้เขาให้การให้เสร็จ แล้วถ้ามีหมายจับก็จับไป พวกนี้เวรกรรมมีจริง ถ้ามีการเปลี่ยนแปลง คนพวกนี้สมควรจะได้รับผลเวรผลกรรมทั้งหมด
นายสนธิ กล่าวถึงการขึ้นราคาน้ำตาลทรายกิโลกรัมละ 5 บาท ว่าเป็นการฉ้อราษฎร์บังหลวงที่อำมหิตที่สุด เพราะได้สร้างความทุกข์ร้อนให้กับประชาชน 63 ล้านคนที่ต้องซื้อน้ำตาลในราคาแพงขึ้น ในช่วงเวลาที่ไม่ควรจะซื้อแพง เพราะโรงงานน้ำตาลได้ปิดหีบไปแล้วตั้งแต่กุมภาพันธ์หลังจากอ้อยถูกส่งเข้าโรงงานเสร็จ การมาขึ้นราคาน้ำตาลในตอนนี้ ทำให้โรงงานน้ำตาลรวยขึ้นอีกกิโลกรัมละ 5 บาท โดยผ่องถ่ายภาระตรงนี้มาให้ประชาชน ครอบครัวที่ปากกดัตีนถีบ ต้องกินข้าวแพง จ่ายค่ารถเมล์แพงอยู่แล้ว เงินเดือนก็ไม่ได้ขึ้น จะอยู่ได้อย่างไร แม่ค้าทองหยิบฝอยทอง ร้านเบเกอรี่เล็กๆ คนทำขนมเมืองเพชรแทบล้มทั้งจังหวัด
นายสนธิ กล่าวต่อว่า เคยมีที่ไหนที่ขึ้นราคาน้ำตาลครั้งเดียว 20 เปอร์เซ็นต์ แต่ที่เป็นอย่างนี้เพราะรัฐบาลนี้จะอยู่สั้น เมื่อโกงอะไรได้ ก็ต้องรีบโกง แล้วพูดว่าขึ้นแค่ 5 บาท ไม่เห็นจะเดือดร้อน แล้วอย่ามาพูดว่าไม่เคยได้รับเงินแม้แต่บาทเดียว ที่เคยบอกว่าจะเข้ามาดูแลประชาชนให้อยู่ดีกินดี แล้วจู่ๆ มาขึ้นราคาน้ำตาล นี่หรือรัฐบาลที่อ้างว่ารักประชาชน
“เรื่องข้าวสาร ก็พ่อค้าส่งออกที่ร่ำรวย แต่ชาวนายังขายได้เกวียนละแค่ 6 พัน พี่น้องชาวอีสาน ภาคเหนือที่ยังชอบ พรรคพลังประชาชน ท่านไม่มีโอกาสได้ฟังผมพูด แต่ถ้ามีใครฟังแล้วช่วยไปบอกด้วยว่า ว่า พวกท่านเป็นสาเหตุที่ทำให้ข้าวแพง น้ำตาลแพง มันไม่ไหวจริงๆ พี่น้องจะรับได้หรือ”
นายสนธิกล่าวต่อว่า นอกจากนี้ รัฐบาลชุดนี้ยังไม่รู้จักละอายชั่วเกรงกลัวต่อบาป เป็นรัฐบาลที่ไม่มียางอาย ไม่สนใจว่าจะมีคนทขาดคุณสมบัติมาเป็นรัฐมนตรี ทั้งที่ คตส.ได้กล่าวหารัฐมนตรี 4 คน ในคดีหวยบนดินแล้ว และรัฐมนตรีอีก 2 คนที่ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดกรณีการถือหุ้นในบริษัทเอกชน แต่รัฐบาลนี้ก็ไม่สนใจ กรณีนายการุณ โหสกุล ส.ส.พรรคพลังประชาชนกระโดถีบนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ก็มีผลสอบของคณะกรรมการออกมาแล้วสรุปว่าผิด ปรากฏว่ากรรมการที่มาจากพรรคพลังประชาชนไม่ยอมลงชื่อรับรองผลสอบ นี่มันอะไรกัน เมืองไทยมีคนชั่วช้าขนาดนี้ ก็ไม่มีอะไรเหลืออยู่แล้ว
“มาจนกระทั่งในที่สุด อยากจะแก้รัฐธรรมนูญเพื่อให้ตัวเองพ้นผิด ก็เดินหน้าแก้ ไม่ฟังเสียง 14 ล้านคนที่ลงประชามติ คุณต้องการประชาธิปไตยไม่ใช่หรือ งั้นผมเสนอประชาธิปไตยทางตรงให้เลย ก็ในเมืองอำนาจรัฐอยู่ในมือคุณแล้วนี่ คุณก็ให้ลงประชามติไปเลย จะออกทีวีสั่งให้เชียร์ก็ได้ ให้ผู้ว่าสั่งให้รับได้ ผลออกมาอย่างไร ผมจะยอมรับ แต่ทำไมคุณไม่ทำ ที่คุณไม่ทำทั้งที่รู้ว่าจะชนะ ก็เพราะมันช้า คดีของคุณทักษิณในศาลกำลังเดินหน้าไม่หยุดยั้ง ที่คุณไม่ทำประชามติ เพราะเวลามันไม่เข้าทางคุณใช่หรือไม่”นายสนธิกล่าว
แฉเงื่อนงำ ยกเขาพระวิหารแลกสัมปทานก๊าซฯ
ต่อมา นายสนธิ ได้กล่าวถึงเงื่อนงำการเสนอขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกว่า เมื่อปี 2547 นั้น คณะรัฐมนตรีของไทยและกัมพูชาเคยประชุมร่วมกัน และมีมติว่าจะร่วมกันพัฒนาพื้นที่เขาพระวิหารเพื่อประโยชน์ด้านการท่องเที่ยวและการศึกษาประวัติศาสตร์ร่วมกัน นอกจากนี้จะร่วมกันเสนอเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก โดยในตัวปราสาทนั้นศาลโลกตัดสินให้เป็นของกัมพูชาแล้วตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน 2505 แต่พื้นที่รอบๆ รวมทั้งประสาทอื่นๆ ที่เป็นส่วนประกอบของเขาพระวิหารยังอยู่ในเขตไทย เพราะฉะนั้นไทยและกัมพูชาจึงจะร่วมกันเสนอเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก
อย่างไรก็ตาม ต่อมา ทางกัมพูชาจะเสนอขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกฝ่ายเดียว โดยอ้างว่าเสนอเฉพาะตัวปราสาทที่เป็นของกัมพูชา และเคยยื่นเสนอต่อคณะกรรมการมรดกโลกของยูเนสโกไปแล้วที่เมืองไครสต์เชิร์ช ประเทศนิวซีแลนด์ แต่ถูกตีกลับเพราะยูเนสโกเห็นว่าควรเสนอพื้นที่ส่วนประกอบของเขาพระวิหารที่อยู่ในฝั่งไทยด้วย โดยให้มาตกลงกับไทยก่อน
นายสนธิ กล่าวต่อว่า ขณะนี้กัมพูชากำลังเสนอให้ยูเนสโกพิจารณาอีกครั้ง และนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี บอกว่า เรื่องการยื่นเสนอเขาพระวิหารเป็นมรดกให้เป็นเรื่องของทางกัมพูชา ซึ่งถ้าหากยูเนสโกอนัมติให้เขาพระวิหารเป็นมรดกโลก ไทยก็จะเสียดินแดนส่วนประกอบของเขาพระวิหารที่กินเข้ามาในฝั่งไทย 2.5 กิโลเมตร เพราะทางยูเนสโกจะถือว่าไทยยินยอมกับทางกัมพูชาแล้ว เหมือนกรณที่ศาลโลกตัดสินให้เขาพระวิหารเป้นของกัมพูชาเมื่อปี 2505 โดยศาลฯ ได้ชี้ว่า เนื่องจากไทยไม่เคยโต้แย้งสิทธิการครอบครองเขาพระวิหารตามที่ฝรั่งเศสได้เขียนแผนที่ให้เขาพระวิหารอยู่ในเขตแดนของกัมพูชา ทั้งที่ตัวปราสาทเขาพระวิหารตั้งอยู่บนชะง่อนผาของฝั่งไทย
นายสนธิกล่าวต่อว่า หากไทยไม่ยื่นคัดค้านการเสนอจดทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชา ก็จะเท่ากับเป็นการยกอธิปไตยให้กัมพูชา แม้ว่าเรื่องนี้อาจเป็นเรื่องการเมืองของกัมพูชาที่จะเอาไปหาเสียงในประเทศของเขา แต่เรื่องนี้มีเบื้องหลังที่ลึกกว่านั้น
“อยากถามนายสมัคร และนายนพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศว่า ทำไมรัฐบาลไม่มีนโยบายที่จะยื่นเสนอให้เขาพระวิหารเป็นมรดกโลกควบคู่กับเขมร แล้วเรียกร้องให้ มรดกโลกแห่งนี้อยู่ภายใต้การดูแลของ 2 ประเทศ ซึ่งน่าจะเป็นทางออกที่ถูกต้อง ทำไมนายสมัครบอกว่าเป็นเรื่องของเขมร อ้างว่าจะยื่นเฉพาะตัวปราสาท เขมรเขาบอกมาเอง หรือว่าเป็นคำพูดตอนตีกอล์ฟกับนายกฯ เขมร” นายสนธิ กล่าว
นอกจากนี้ เรื่องดังกล่าว นายสุวรรณ วัฒนพิทักษิ์พงษ์ หัวหน้าอุทยานเขาพระวิหาร อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ เคยให้สัมภาษณ์ว่า ทางกัมพูชาได้เขียนแผนที่โดยตัดเขตแดนฝั่งไทยไปอยู่ในฝั่งกัมพูชาด้วย ซึ่งต้องมีการเจรจากันในระดับหน่วยเหนือ ขณะเดียวกันฝ่ายไทยก็จะขอยื่นขอเป็นมรดกโลกเช่นกันใน 25 ก.พ.2551
นายสนธิ กล่าวว่า นั่นแสดงว่าก่อนที่รัฐบาลนี้จะเข้ามา ไทยก็มีเจตนาที่จะยื่นเช่นกัน แต่จนขณะนี้ผ่านมา 2 เดือนกว่าแล้ว ทำไมไม่ยื่น นายสนธิ ได้ย้อนไปเมื่อครั้งการจัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรคอนเสิร์ตการเมือง เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2549 ที่สวนลุมพินี ซึ่งนายสนธิเคยพูดถึงเขตทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทยและกัมพูชาในอ่าวไทยที่มีการถกเถียงกันมาตั้งแต่ปี 2544 และสุดท้ายมีมติว่าจะพัฒนาพื้นที่ร่วมกัน โดยพื้นที่แห่งนี้มีการสำรวจพบว่าเป็นแหล่งก๊าซธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
รัฐบาลไทยสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พยายามจะทำในลักษณะเดียวกับพื้นที่ทับซ้อนระหว่างไทยกับมาเลย์ โดยแบ่งผลประโยชน์คนละครึ่ง โดยให้ไทยทำครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งให้เขมร ในครึ่งของไทยนั้นคงไม่พ้น ปตท.ที่จะเข้าไปทำประโยชน์ ส่วนครึ่งของกัมพูชานั้นต้องให้ต่างชาติเข้าไปทำ เพราะกัมพูชาเองไม่มีศักยภาพเพียงพอ
นายสนธิกล่าวต่อว่า ขณะนี้มีนักลงทุนจากหลายประเทศพยายามที่จะเข้าไปรับสัมปทานพื้นที่ในครึ่งของกัมพูชา และมีข่าวที่น่าสนใจใน นสพ.โพสต์ทูเดย์ วันที่ 9 พ.ค. 2551 นี้ ระบุว่า แหลงข่าวทางทหารกำลังจับตาอดีตนักการเมืองคนสำคัญที่กำลังเข้าไปลงทุนด้านพลังงานตรงพื้นที่ทับซ้อนในส่วนของกัมพูชา มีความพยายามจะใช้กรณีเขาพระวิหารต่อรองการเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล โดยมีความพยายามขอให้ฝ่ายไทยยกเขาพระวิหารให้กัมพูชาเสีย
นายสนธิ กล่าวต่อว่า ตนไม่สบายใจต่อนายสมัครและนายนพดล 2 เรื่อง เรื่องแรก กรณีที่ไม่มีนโยบายที่ชัดเจนต่อกรณีเขาพระวิหาร ทำไมต้องให้กัมพูชายื่นขอเป็นมรดกโลกฝ่ายเดียว ทำไมไม่ขอมีส่วนร่วม
“ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศครับ ท่านใช้เวลาทำงานให้ชาติบ้านเมืองน้อยมาก ส่วนใหญ่ท่านใช้เวลาทำงานให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เวลาพ.ต.ท.ทักษิณ ไปที่ไหนท่านก็ไปด้วย ท่านมีหน้าที่จัดพาสปอร์ตทูตคืนให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผมไม่อยากให้เขากล่าวหาท่านว่าท่านเป็นเครื่องมือของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในการที่ไม่ยอมให้กระทรวงการต่างประเทศจัดคณะทำงานเพื่อยื่นเรื่องควบคู่กับเขมรไป เพื่อยื่นไปที่คณะกรรมการมรดกโลก เพื่อให้คณะกรรมการมรดกโลกพิจารณาว่า เขาพระวิหารนั้นสมควรที่จะเป็นมรดกโลกร่วมกันระหว่างไทยกับกัมพูชา”
นายสนธิ ย้ำว่า การที่นายสมัคร และนายนพดล ยอมให้กัมพูชายื่นฝ่ายเดียว ทำให้น่าสงสัยว่าจะอยู่ในกระบวนการสมรู้ร่วมคิดยกเขาพระวิหาร แลกสัมปทานขุดก๊าซบนทีพื้นที่ทับซ้อนหรือไม่ และเรื่องนี้ ยังอาจโยงไปถึงกรณีการย้าย นายวีระชัย พลาศัย อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ไปเป็นเอกอัครราชทูตประจำกระทรวง ซึ่งนายวีระชัยเคยเป็นคนดูแลเรื่องเขตแดน รวมทั้งกรณีเขาพระวิการ ทำให้อดคิดไม่ได้ ที่ถูกย้ายเพราะเป็นก้างขวางคอ กัมพูชา ในการยึดเขาพระหารหรือไม่
นอกจากนั้นยังมีคนเก่าในระบอบทักษิณขอข้อมูลภายในการสอบสวนของสหรัฐอเมริกาเรื่องซีทีเอ็กซ์ ซึ่งเป็นเอกสารลับ นายวีระชัยจึงไม่ยอมให้ และบอกให้ทำหนังสือขอเป็นลายลักษณ์อักษร
กรณีการย้ายนายวีระชัย ทำให้นายวีรศักดิ์ ฟูตระกูล ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ต้องเขียนจดหมายเปิดผนึกด้วยลายมือ ยกย่องนายวีระชัย ในการปกป้องแผ่นดินไทยและผลประโยชน์ของชาติ และขอให้ข้าราชการของกรมยึดวีระชัยเป็นบุคคลตัวอย่างในการรับใช้ชาติอย่างสุดความสามารถ และรักษาศักดิ์ศรีข้าราชกหารในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
“ผมไม่เคยคิดว่าวิกฤตของชาตินั้นจะรุนแรงมากมายถึงขนาดนี้ มันไม่ใช่เรื่องความเศร้า มันเป็นเวรกรรมของประเทศหรือเปล่า นี่เรากำลังจะสูญเสียอธิปไตยของแผ่นดินไทย โดยการที่เราไม่ใส่ใจ คุณสมัคร คุณนพดล คุณต้องทำอะไรอย่างใดอย่างหนึ่ง แสดงเจตนารมณ์ของคุณออกมา ด้วยการให้กระทรวงการต่างประเทศให้เป็นนโยบายออกมาว่าจะต้องส่งตัวแทนไทย ส่งข้อมูล เข้าร่วมยื่นเสนอขอเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกร่วมกับประเทศกัมพูชา ถ้าคุณยังปฏิเสธที่จะทำเช่นนี้อยู่ก็แสดงว่าข้อกล่าวหาที่เขากล่าวหาว่ามีความพยายามที่นายกฯ ฮุน เซน พร้อมที่จะให้สัมปทานประทานบัตรการขุดเจาะแก๊สให้กับอดีตนักการเมืองคนหนึ่ง แต่ต้องพ่วงเขาพระวิหารให้เขมรด้วย”นายสนธิ กล่าวทิ้งท้าย
นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ และเอเอสทีวี กลับมาจัดรายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” เป็นกรณีพิเศษ เมื่อวันที่ 9 ก.พ. โดยมีประเด็นสำคัญที่จะชี้แจงให้ผู้ชมและประชาชนมองเห็นวิกฤติครั้งใหญ่ของชาติ โดยนายสนธิย้ำว่า เป็นวิกฤติที่ร้ายแรงกว่า วิกฤติที่เกิดขึ้นก่อนเหตุการณ์วันที่ 19 กันยายน 2549 วิกฤติที่เกิดขึ้นในวันนี้ เป็นวิกฤติที่เกิดขึ้นด้วยความเร็วที่เร่งสูงมาก เนื่องจากเงื่อนไขเวลาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีน้อยลง เป็นเพียงแค่คนอยู่เบื้องหลังไม่ได้เข้ามาบริหารประเทศด้วยตัวเอง พ.ต.ท.ทักษิณ จึงต้องทำทุกอย่างเพื่อกลับสู่อำนาจโดยเร็วที่สุด
นับถึงวันนี้รัฐบาลก็บริหารประเทศมาครบ 3 เดือนกับอีก 3 วัน นอกจากเหตุการณ์ต่างๆ ที่รัฐบาลชุดนี้สร้างขึ้นมา ยังมีเรื่องราวต่างๆ ความถ่อย ความสามหาว ความหยาบคาย คุกคามข่มขู่ ทั้งหมดมาจากนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีหลายๆคน เป็นสันดารที่เกิดขึ้นจากสิ่งแวดล้อมและสายเลือดส่วนตัว ซึ่งก็แทบไม่น่าเชื่อหลังจากวันเวลาผ่านไป รัฐบาลจะสามารถเข้าไปแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม สื่อมวลชน องค์กรอิสระ โยกย้ายแต่งตั้งคนพาลเข้ามาครองเมือง คอรัปชั่นเศรษฐกิจบนความเดือดร้อนของประชาชน ล้มเลวอย่างสิ้นเชิงในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในภาคใต้ จาบจ้วงสถาบันเบื้องสูงอย่างต่อเนื่อง
สิ่งที่พูดมาทั้งหมดนั้น เป็นสิ่งที่เคยพูดมาแล้วในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ตั้งแต่ปี 2547 จนรายการถูกถอดออกจากช่อง 9 กลายมาเป็นรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร ไปสิ้นสุดที่เวทีลานพระบรมรูปทรงม้า แล้วก็แปรเปลี่ยนเป็นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จนเกิดเกิดยึดอำนาจจากคณะทหารในท้ายที่สุด ซึ่งถึงแม้เวลาจะล่วงเลยไป ก็ยังยืนยันในคำพูดในอดีต ทุกคำพูดทุกการคาดการณ์ไม่มีผิด สิ่งที่พูดมีความชอบธรรมและมีตรรกะแล้วนำพาไปสู่การยุบพรรคไทยรักไทยตามคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญ
นายสนธิ กล่าวต่อว่า เหตุการณ์เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 เป็นเรื่องที่ดีเพียงเล็กน้อย แต่ก็เศร้าใจมากที่เมื่อมีการยึดอำนาจแล้วก็ไม่ลงมือทำ จัดบ้านเมืองให้ระเบียบเรียบร้อย ที่ผ่านมาเคยเตือนรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ จะทำอะไรให้ระวัง อย่าแสดงออกในลักษณะของการจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่ไม่วายโดนโจมตีจากพลพรรคคนรักทักษิณ กล่าวหาว่า กำลังดึงฟ้าลงมาต่ำ กล่าวหาแจ้งความดำเนินคดีทุกเรื่อง ถามว่า แล้ววันนี้เป็นอย่างไร กระบวนการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และจาบจ้วงสถานบันเบื้องสูงกำลังขยายตัวมากขึ้น ถึงขนาดที่คนอย่างนายโชติศักดิ์ อ่อนสูง คนซึ่งไม่ยืนเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมี คนๆ เดียวที่ยืนแจกใบปลิวจาบจ้วงราชวงศ์จักรีอย่างเสียหายในวันที่นายจาตุรนค์ ฉายแสง นำอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ไปปราศรัยที่ท่าน้ำเมืองนนทบุรี
ทุกอย่างถูกจัดตั้งขึ้นมาอย่างเป็นกระบวนการ ที่เสริมด้วยนักวิชาการและอาจารย์มหาวิทยาลัยบางคน ที่ไม่เคยเชื่อในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข มิหนำซ้ำยังถูกจุดเชื้อไฟจากนายจักรภพ เพ็ญแข ที่ลุกขึ้นมาด่า พล.อ.เปรม ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษอย่างเสียๆ หายๆ ไม่คำนึงถึงคุณประโยชน์ที่ท่านทำต่อชาติบ้านเมืองในอดีต มีการปลุกปั่นส่งคนไปก่อกวน ยืนด่าพร้อมแสดงกิริยาที่หยาบคายทั้งที่บริเวณหน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ และที่หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ หากไม่มีอยู่คนอยู่เบื้องหลัง
ขณะเดียวกันยังเป็นการตีกระทบชิ่ง วางแผนอย่างลึกซึ้ง คนพวกนี้รู้ดีว่า พล.อ.เปรม เป็นประธานองคมนตรี แต่ก็ยังว่ากล่าวอย่างเสียหาย กระบวนการเหล่ากำลังพยายามบิดเบือนความจริงในสังคม ยกตัวอย่างเมื่อเร็วๆนี้ ได้รับการเปิดเผยจากหญิงสาวชาวพิษณุโลก ระบุได้รับข้อมูลจากการนั่งรถแท็กซี่ในกรุงเทพฯ ที่พยายามคุยโวโอ้อวดถึงความสัมพันธ์กับแกนนำแนวร่วมม็อบ นปก. พร้อมออกมาเคลื่อนไหวทุกเมื่อหากมีการเป่านกหวีด นอกจากนี้ยังแสดงท่าทีสงสาร พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ต้องการปราบปรามยาเสพติด แต่ติดที่มี พล.อ.เปรม เป็นหัวหน้าใหญ่จึงไม่สามารถปราบปรามได้หมด นี่คือความจริง ขนาดคนในกรุงเทพฯ ยังโดนล้างสมองได้ขนาดนี้ แล้วประชาชนระดับรากหญ้าเข้าไม่ถึงข้อมูลข่าวสารจะโดนล้างสมองขนาดไหน มันเป็นวิกฤติที่น่ากลัวมาก
นายสนธิ กล่าวต่อว่า วันนี้รัฐบาลต้องการแก้รัฐธรรมนูญ โดยอ้างเสียงประชาชน 150,000 คน ที่แสดงออกมาพร้อมกันว่าต้องการแก้รัฐธรรมนูญในหมวดกษัตริย์เพื่อไม่ให้มีกษัตริย์ต่อไป มันเกิดอะไรขึ้นในสังคมไทยวันนี้ ไม่เคยคิดว่าจะเจอเรื่องพวกนี้ แล้วเรื่องพวกนี้พอเกิดขึ้น แทนที่รัฐบาล โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี จะลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่าง มัวแต่นั่งด่าชาวบ้านใช้คำพูดหยาบคายในวิทยุ ไม่แสดงอาการออกเลยแม้แต่นิดเดียว มันแปลว่าประเทศไทยถึงจุดที่จะต้องสิ้นสูญสลายแล้วหรืออย่างไร
“นายสมัคร เป็นผู้ใหญ่ อายุมากแล้ว พ่อเป็นถึงพระยา ชีวิตพูดตลอดเวลาเลยว่า จะเทิดทูนระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข นายสมัครมีอะไรกับ พล.อ.เปรม หรือถึงจงเกลียดจงชังท่านมากมายนัก นายสมัคร เป็นนายกรัฐมนตรี ในวันที่คนถ่อยๆ ไปยืนหน้าบ้าน พล.อ.เปรม แล้วควักของลับออกมาแล้วแกว่งหน้าบ้าน พล.อ.เปรม ถึงนายสมัคร จะไม่ชอบ พล.อ.เปรม จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม แต่นายสมัคร จะยอมรับการกระทำเลวทรามต่ำช้าอย่างนั้นไม่ได้ ทีพรรคประชาธิปัตย์พูดพาดพิงถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ในสภาผู้แทนราษฎร มีคนลุกขึ้นมาประท้วงกันแหลกลาญเลย ถามว่าระหว่าง พ.ต.ท.ทักษิณ กับ พล.อ.เปรม ใครทำคุณงามความดีให้ชาติบ้านเมืองมากว่ากัน”
นายสนธิ กล่าวอีกว่า ที่พูดไม่ได้เกรงกลัวการโต้วาทีอะไรกับใคร แต่คิดว่าการโต้วาทีเพื่อเล่นฝีปาก เล่นการเมืองแบบเก่าๆ มันหมดยุคไปแล้ว มีคนเคยถามพันธมิตรฯ ว่า ชีวิตนี้เคยทำอะไรให้เป็นประโยชน์กับบ้านเมืองหรือเปล่า กรุณาอย่าพูดคำนี้ออกมา เพราะชาวบ้านฟังแล้วจะหัวเราะฟันหัก เขาจะสมเพศคนที่ถามคำถามนี้ เราอยู่ในบ้านหลังใหญ่ เเมื่อพรรคพลังประชาชนต้องการที่จะเป็นรัฐบาลด้วยเสียงข้างมากก็เป็นไป ขออย่างเดียว กรุณาอย่าแทรกแซง บิดเบือนกระบวนการยุติธรรม อย่าส่งเสริมพฤติกรรมการใช้คำพูดหยาบคายในสภาผู้แทนราษฎร อย่างที่ไม่เคยมีปรากฏมาก่อน อย่าพยายามแต่งตั้งคนที่มีพฤติกรรมที่ใช้คำพูดยั่วยุ คุกคามความเคลื่อนไหวของประชาชน มาเป็นรัฐมนตรีจะดีที่สุด
นอกจากนี้นายสนธิ ยังกล่าวถึงคดีกำนันชัยวัฒน์ ฉางข้าวคำ พยานปากเอกในคดีใบแดงของนายยงยุทธ ติยะไพรัช อีกว่า กำนันชัยวัฒน์ เป็นพยานปากเอก พอรัฐบาลชุดพลังประชาชนเข้ามามีอำนาจ ก็เปลี่ยนตำรวจ เอาตำรวจไปแจ้งข้อกล่าวหากำนันชัยวัฒน์ ออกหมายจับกำนันชัยวัฒน์ วัตถุประสงค์เพื่อที่จะจับกำนันชัยวัฒน์ไม่ให้มาขึ้นศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง ทำถึงขนาดเข้าไปในศาลเพื่อขอหมายจับกำนันชัยวัฒน์ในศาล เพื่อไม่ให้กำนันชัยวัฒน์มาให้การกรณีนายยงยุทธ เกิดมาไม่เคยเจอแบบนี้ ทำไมไม่ให้เขาให้การให้เสร็จ แล้วถ้ามีหมายจับก็จับไป พวกนี้เวรกรรมมีจริง ถ้ามีการเปลี่ยนแปลง คนพวกนี้สมควรจะได้รับผลเวรผลกรรมทั้งหมด
นายสนธิ กล่าวถึงการขึ้นราคาน้ำตาลทรายกิโลกรัมละ 5 บาท ว่าเป็นการฉ้อราษฎร์บังหลวงที่อำมหิตที่สุด เพราะได้สร้างความทุกข์ร้อนให้กับประชาชน 63 ล้านคนที่ต้องซื้อน้ำตาลในราคาแพงขึ้น ในช่วงเวลาที่ไม่ควรจะซื้อแพง เพราะโรงงานน้ำตาลได้ปิดหีบไปแล้วตั้งแต่กุมภาพันธ์หลังจากอ้อยถูกส่งเข้าโรงงานเสร็จ การมาขึ้นราคาน้ำตาลในตอนนี้ ทำให้โรงงานน้ำตาลรวยขึ้นอีกกิโลกรัมละ 5 บาท โดยผ่องถ่ายภาระตรงนี้มาให้ประชาชน ครอบครัวที่ปากกดัตีนถีบ ต้องกินข้าวแพง จ่ายค่ารถเมล์แพงอยู่แล้ว เงินเดือนก็ไม่ได้ขึ้น จะอยู่ได้อย่างไร แม่ค้าทองหยิบฝอยทอง ร้านเบเกอรี่เล็กๆ คนทำขนมเมืองเพชรแทบล้มทั้งจังหวัด
นายสนธิ กล่าวต่อว่า เคยมีที่ไหนที่ขึ้นราคาน้ำตาลครั้งเดียว 20 เปอร์เซ็นต์ แต่ที่เป็นอย่างนี้เพราะรัฐบาลนี้จะอยู่สั้น เมื่อโกงอะไรได้ ก็ต้องรีบโกง แล้วพูดว่าขึ้นแค่ 5 บาท ไม่เห็นจะเดือดร้อน แล้วอย่ามาพูดว่าไม่เคยได้รับเงินแม้แต่บาทเดียว ที่เคยบอกว่าจะเข้ามาดูแลประชาชนให้อยู่ดีกินดี แล้วจู่ๆ มาขึ้นราคาน้ำตาล นี่หรือรัฐบาลที่อ้างว่ารักประชาชน
“เรื่องข้าวสาร ก็พ่อค้าส่งออกที่ร่ำรวย แต่ชาวนายังขายได้เกวียนละแค่ 6 พัน พี่น้องชาวอีสาน ภาคเหนือที่ยังชอบ พรรคพลังประชาชน ท่านไม่มีโอกาสได้ฟังผมพูด แต่ถ้ามีใครฟังแล้วช่วยไปบอกด้วยว่า ว่า พวกท่านเป็นสาเหตุที่ทำให้ข้าวแพง น้ำตาลแพง มันไม่ไหวจริงๆ พี่น้องจะรับได้หรือ”
นายสนธิกล่าวต่อว่า นอกจากนี้ รัฐบาลชุดนี้ยังไม่รู้จักละอายชั่วเกรงกลัวต่อบาป เป็นรัฐบาลที่ไม่มียางอาย ไม่สนใจว่าจะมีคนทขาดคุณสมบัติมาเป็นรัฐมนตรี ทั้งที่ คตส.ได้กล่าวหารัฐมนตรี 4 คน ในคดีหวยบนดินแล้ว และรัฐมนตรีอีก 2 คนที่ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดกรณีการถือหุ้นในบริษัทเอกชน แต่รัฐบาลนี้ก็ไม่สนใจ กรณีนายการุณ โหสกุล ส.ส.พรรคพลังประชาชนกระโดถีบนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ก็มีผลสอบของคณะกรรมการออกมาแล้วสรุปว่าผิด ปรากฏว่ากรรมการที่มาจากพรรคพลังประชาชนไม่ยอมลงชื่อรับรองผลสอบ นี่มันอะไรกัน เมืองไทยมีคนชั่วช้าขนาดนี้ ก็ไม่มีอะไรเหลืออยู่แล้ว
“มาจนกระทั่งในที่สุด อยากจะแก้รัฐธรรมนูญเพื่อให้ตัวเองพ้นผิด ก็เดินหน้าแก้ ไม่ฟังเสียง 14 ล้านคนที่ลงประชามติ คุณต้องการประชาธิปไตยไม่ใช่หรือ งั้นผมเสนอประชาธิปไตยทางตรงให้เลย ก็ในเมืองอำนาจรัฐอยู่ในมือคุณแล้วนี่ คุณก็ให้ลงประชามติไปเลย จะออกทีวีสั่งให้เชียร์ก็ได้ ให้ผู้ว่าสั่งให้รับได้ ผลออกมาอย่างไร ผมจะยอมรับ แต่ทำไมคุณไม่ทำ ที่คุณไม่ทำทั้งที่รู้ว่าจะชนะ ก็เพราะมันช้า คดีของคุณทักษิณในศาลกำลังเดินหน้าไม่หยุดยั้ง ที่คุณไม่ทำประชามติ เพราะเวลามันไม่เข้าทางคุณใช่หรือไม่”นายสนธิกล่าว
แฉเงื่อนงำ ยกเขาพระวิหารแลกสัมปทานก๊าซฯ
ต่อมา นายสนธิ ได้กล่าวถึงเงื่อนงำการเสนอขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกว่า เมื่อปี 2547 นั้น คณะรัฐมนตรีของไทยและกัมพูชาเคยประชุมร่วมกัน และมีมติว่าจะร่วมกันพัฒนาพื้นที่เขาพระวิหารเพื่อประโยชน์ด้านการท่องเที่ยวและการศึกษาประวัติศาสตร์ร่วมกัน นอกจากนี้จะร่วมกันเสนอเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก โดยในตัวปราสาทนั้นศาลโลกตัดสินให้เป็นของกัมพูชาแล้วตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน 2505 แต่พื้นที่รอบๆ รวมทั้งประสาทอื่นๆ ที่เป็นส่วนประกอบของเขาพระวิหารยังอยู่ในเขตไทย เพราะฉะนั้นไทยและกัมพูชาจึงจะร่วมกันเสนอเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก
อย่างไรก็ตาม ต่อมา ทางกัมพูชาจะเสนอขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกฝ่ายเดียว โดยอ้างว่าเสนอเฉพาะตัวปราสาทที่เป็นของกัมพูชา และเคยยื่นเสนอต่อคณะกรรมการมรดกโลกของยูเนสโกไปแล้วที่เมืองไครสต์เชิร์ช ประเทศนิวซีแลนด์ แต่ถูกตีกลับเพราะยูเนสโกเห็นว่าควรเสนอพื้นที่ส่วนประกอบของเขาพระวิหารที่อยู่ในฝั่งไทยด้วย โดยให้มาตกลงกับไทยก่อน
นายสนธิ กล่าวต่อว่า ขณะนี้กัมพูชากำลังเสนอให้ยูเนสโกพิจารณาอีกครั้ง และนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี บอกว่า เรื่องการยื่นเสนอเขาพระวิหารเป็นมรดกให้เป็นเรื่องของทางกัมพูชา ซึ่งถ้าหากยูเนสโกอนัมติให้เขาพระวิหารเป็นมรดกโลก ไทยก็จะเสียดินแดนส่วนประกอบของเขาพระวิหารที่กินเข้ามาในฝั่งไทย 2.5 กิโลเมตร เพราะทางยูเนสโกจะถือว่าไทยยินยอมกับทางกัมพูชาแล้ว เหมือนกรณที่ศาลโลกตัดสินให้เขาพระวิหารเป้นของกัมพูชาเมื่อปี 2505 โดยศาลฯ ได้ชี้ว่า เนื่องจากไทยไม่เคยโต้แย้งสิทธิการครอบครองเขาพระวิหารตามที่ฝรั่งเศสได้เขียนแผนที่ให้เขาพระวิหารอยู่ในเขตแดนของกัมพูชา ทั้งที่ตัวปราสาทเขาพระวิหารตั้งอยู่บนชะง่อนผาของฝั่งไทย
นายสนธิกล่าวต่อว่า หากไทยไม่ยื่นคัดค้านการเสนอจดทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชา ก็จะเท่ากับเป็นการยกอธิปไตยให้กัมพูชา แม้ว่าเรื่องนี้อาจเป็นเรื่องการเมืองของกัมพูชาที่จะเอาไปหาเสียงในประเทศของเขา แต่เรื่องนี้มีเบื้องหลังที่ลึกกว่านั้น
“อยากถามนายสมัคร และนายนพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศว่า ทำไมรัฐบาลไม่มีนโยบายที่จะยื่นเสนอให้เขาพระวิหารเป็นมรดกโลกควบคู่กับเขมร แล้วเรียกร้องให้ มรดกโลกแห่งนี้อยู่ภายใต้การดูแลของ 2 ประเทศ ซึ่งน่าจะเป็นทางออกที่ถูกต้อง ทำไมนายสมัครบอกว่าเป็นเรื่องของเขมร อ้างว่าจะยื่นเฉพาะตัวปราสาท เขมรเขาบอกมาเอง หรือว่าเป็นคำพูดตอนตีกอล์ฟกับนายกฯ เขมร” นายสนธิ กล่าว
นอกจากนี้ เรื่องดังกล่าว นายสุวรรณ วัฒนพิทักษิ์พงษ์ หัวหน้าอุทยานเขาพระวิหาร อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ เคยให้สัมภาษณ์ว่า ทางกัมพูชาได้เขียนแผนที่โดยตัดเขตแดนฝั่งไทยไปอยู่ในฝั่งกัมพูชาด้วย ซึ่งต้องมีการเจรจากันในระดับหน่วยเหนือ ขณะเดียวกันฝ่ายไทยก็จะขอยื่นขอเป็นมรดกโลกเช่นกันใน 25 ก.พ.2551
นายสนธิ กล่าวว่า นั่นแสดงว่าก่อนที่รัฐบาลนี้จะเข้ามา ไทยก็มีเจตนาที่จะยื่นเช่นกัน แต่จนขณะนี้ผ่านมา 2 เดือนกว่าแล้ว ทำไมไม่ยื่น นายสนธิ ได้ย้อนไปเมื่อครั้งการจัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรคอนเสิร์ตการเมือง เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2549 ที่สวนลุมพินี ซึ่งนายสนธิเคยพูดถึงเขตทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทยและกัมพูชาในอ่าวไทยที่มีการถกเถียงกันมาตั้งแต่ปี 2544 และสุดท้ายมีมติว่าจะพัฒนาพื้นที่ร่วมกัน โดยพื้นที่แห่งนี้มีการสำรวจพบว่าเป็นแหล่งก๊าซธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
รัฐบาลไทยสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พยายามจะทำในลักษณะเดียวกับพื้นที่ทับซ้อนระหว่างไทยกับมาเลย์ โดยแบ่งผลประโยชน์คนละครึ่ง โดยให้ไทยทำครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งให้เขมร ในครึ่งของไทยนั้นคงไม่พ้น ปตท.ที่จะเข้าไปทำประโยชน์ ส่วนครึ่งของกัมพูชานั้นต้องให้ต่างชาติเข้าไปทำ เพราะกัมพูชาเองไม่มีศักยภาพเพียงพอ
นายสนธิกล่าวต่อว่า ขณะนี้มีนักลงทุนจากหลายประเทศพยายามที่จะเข้าไปรับสัมปทานพื้นที่ในครึ่งของกัมพูชา และมีข่าวที่น่าสนใจใน นสพ.โพสต์ทูเดย์ วันที่ 9 พ.ค. 2551 นี้ ระบุว่า แหลงข่าวทางทหารกำลังจับตาอดีตนักการเมืองคนสำคัญที่กำลังเข้าไปลงทุนด้านพลังงานตรงพื้นที่ทับซ้อนในส่วนของกัมพูชา มีความพยายามจะใช้กรณีเขาพระวิหารต่อรองการเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล โดยมีความพยายามขอให้ฝ่ายไทยยกเขาพระวิหารให้กัมพูชาเสีย
นายสนธิ กล่าวต่อว่า ตนไม่สบายใจต่อนายสมัครและนายนพดล 2 เรื่อง เรื่องแรก กรณีที่ไม่มีนโยบายที่ชัดเจนต่อกรณีเขาพระวิหาร ทำไมต้องให้กัมพูชายื่นขอเป็นมรดกโลกฝ่ายเดียว ทำไมไม่ขอมีส่วนร่วม
“ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศครับ ท่านใช้เวลาทำงานให้ชาติบ้านเมืองน้อยมาก ส่วนใหญ่ท่านใช้เวลาทำงานให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เวลาพ.ต.ท.ทักษิณ ไปที่ไหนท่านก็ไปด้วย ท่านมีหน้าที่จัดพาสปอร์ตทูตคืนให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผมไม่อยากให้เขากล่าวหาท่านว่าท่านเป็นเครื่องมือของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในการที่ไม่ยอมให้กระทรวงการต่างประเทศจัดคณะทำงานเพื่อยื่นเรื่องควบคู่กับเขมรไป เพื่อยื่นไปที่คณะกรรมการมรดกโลก เพื่อให้คณะกรรมการมรดกโลกพิจารณาว่า เขาพระวิหารนั้นสมควรที่จะเป็นมรดกโลกร่วมกันระหว่างไทยกับกัมพูชา”
นายสนธิ ย้ำว่า การที่นายสมัคร และนายนพดล ยอมให้กัมพูชายื่นฝ่ายเดียว ทำให้น่าสงสัยว่าจะอยู่ในกระบวนการสมรู้ร่วมคิดยกเขาพระวิหาร แลกสัมปทานขุดก๊าซบนทีพื้นที่ทับซ้อนหรือไม่ และเรื่องนี้ ยังอาจโยงไปถึงกรณีการย้าย นายวีระชัย พลาศัย อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ไปเป็นเอกอัครราชทูตประจำกระทรวง ซึ่งนายวีระชัยเคยเป็นคนดูแลเรื่องเขตแดน รวมทั้งกรณีเขาพระวิการ ทำให้อดคิดไม่ได้ ที่ถูกย้ายเพราะเป็นก้างขวางคอ กัมพูชา ในการยึดเขาพระหารหรือไม่
นอกจากนั้นยังมีคนเก่าในระบอบทักษิณขอข้อมูลภายในการสอบสวนของสหรัฐอเมริกาเรื่องซีทีเอ็กซ์ ซึ่งเป็นเอกสารลับ นายวีระชัยจึงไม่ยอมให้ และบอกให้ทำหนังสือขอเป็นลายลักษณ์อักษร
กรณีการย้ายนายวีระชัย ทำให้นายวีรศักดิ์ ฟูตระกูล ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ต้องเขียนจดหมายเปิดผนึกด้วยลายมือ ยกย่องนายวีระชัย ในการปกป้องแผ่นดินไทยและผลประโยชน์ของชาติ และขอให้ข้าราชการของกรมยึดวีระชัยเป็นบุคคลตัวอย่างในการรับใช้ชาติอย่างสุดความสามารถ และรักษาศักดิ์ศรีข้าราชกหารในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
“ผมไม่เคยคิดว่าวิกฤตของชาตินั้นจะรุนแรงมากมายถึงขนาดนี้ มันไม่ใช่เรื่องความเศร้า มันเป็นเวรกรรมของประเทศหรือเปล่า นี่เรากำลังจะสูญเสียอธิปไตยของแผ่นดินไทย โดยการที่เราไม่ใส่ใจ คุณสมัคร คุณนพดล คุณต้องทำอะไรอย่างใดอย่างหนึ่ง แสดงเจตนารมณ์ของคุณออกมา ด้วยการให้กระทรวงการต่างประเทศให้เป็นนโยบายออกมาว่าจะต้องส่งตัวแทนไทย ส่งข้อมูล เข้าร่วมยื่นเสนอขอเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกร่วมกับประเทศกัมพูชา ถ้าคุณยังปฏิเสธที่จะทำเช่นนี้อยู่ก็แสดงว่าข้อกล่าวหาที่เขากล่าวหาว่ามีความพยายามที่นายกฯ ฮุน เซน พร้อมที่จะให้สัมปทานประทานบัตรการขุดเจาะแก๊สให้กับอดีตนักการเมืองคนหนึ่ง แต่ต้องพ่วงเขาพระวิหารให้เขมรด้วย”นายสนธิ กล่าวทิ้งท้าย