นายนพดล ปัทมะ รมว.การต่างประเทศ ซึ่งเดินทางไปสมทบกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ประเทศจีน ค่ำวันที่ 6 พ.ค. ที่ผ่านมา ก่อนที่จะเดินทางไปเยือนญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการ และเปิดเทศกาลไทยครั้งที่ 9 ระหว่างวันที่ 8-10 พ.ค. ให้สัมภาษณ์ถึงการย้าย นายวีระชัย พลาศรัย อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ไปเป็นเอกอัครราชทูตประจำกระทรวง ซึ่งที่ถูกวิจารณ์ว่าเพราะขอเอกสารแปลเกี่ยวกับคดีเครื่องตรวจวัตถุระเบิด ซีทีเอ็กซ์ 9000 ที่ทางการสหรัฐส่งมาให้ประกอบการพิจารณาคดีทุจริตเครื่องตรวจวัตถุระเบิด ซีทีเอ็กซ์ 9000 ของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ว่า กระทรวงการต่างปนระเทศมีข้าราชการเก่งๆ มากมาย แต่คนที่แต่งตั้งมาแทนก็มีความเหมาะสม สามารถทำงานได้
นายนพดล อ้างว่าการย้ายครั้งนี้เพื่อความเหมาะสมและประสิทธิภาพในการทำงาน จริงๆ แล้วเรื่องภายในกระทรวง ตนก็ไม่อยากนำมาพูดมาก แต่การย้ายครั้งนี้ ขอยืนยันว่า ไม่เกี่ยวกับเรื่องเอกสารคดีซีทีเอ็กซ์ 9000 แต่อย่างใด แต่ความจริงมีสาระสำคัญมากกว่านั้น ขณะนี้ตนต้องมาดูเรื่องเอกสาร ที่ให้ข้าราชการไปประชุมที่กัมพูชาว่า มีข้อตกลงที่ผูกมัดไทยมากไปหรือไม่
“ผมทำงานอยู่หลังฉาก ไม่อยากไปวิพากษ์วิจารณ์ข้าราชการ แต่ขอรับผิดชอบในสิ่งที่ทำ และสิ่งที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไปแล้ว”
นายสัก กอแสงเรือง โฆษก คตส. กล่าวว่า เอกสารการสอบสวนคดีการจัดซื้อซีทีเอ็กซ์ 9000 ของสหรัฐที่กรมสนธิสัญญาฯ ช่วยแปลให้ คตส.นั้นถือเป็น เอกสารชั้นความลับสุดยอด เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบไม่สามารถเปิดเผยให้ใครรับทราบได้
“ทางสหรัฐฯ กำชับว่า เป็นความลับสูงสุด จะเปิดเผยได้ก็เฉพาะในกระบวนการยุติธรรมเท่านั้น หากเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบ เปิดเผยก็จะมีความผิด ร่วมถึง บุคคลที่ขอให้เปิดเผย ก็ต้องมีความผิดด้วย ข้าราชการที่ไม่ยอมเปิดเผยข้อมูล ควรที่จะได้รับความคุ้มครองอย่างเต็มที่ ไม่ควรถูกคุกคาม กลั่นแกล้ง”
ด้าน คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และกรรมการ คตส.กล่าวว่า ขอชื่นชมการทำงานของนายวีรชัย และขอดูแคลนพฤติกรรม การย้ายเช่นนี้ และวันที่ 12 พ.ค.นี้ เวลา 10.00 น.จะนำกระเช้าดอกไม้ไปมอบให้กับนายวีระชัยที่กระทรวงการต่างประเทศ
แนะขรก.อดทนกับรัฐบาลที่ไร้คุณธรรม
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณี กระทรวงมหาดไทยโยกย้ายนอกฤดูกาล โดยย้ายนายเกษม วัฒนธรรม รองผู้ว่าราชการ จ.บุรีรัมย์ ประธาน กกต.บุรีรัมย์ ที่สอบสวนการทุจริตเลือกตั้งอย่างตรงไปตรงมา จนว่าที่ ส.ส.พรรคพลังประชาชน 3 คนถูกใบแดงว่า พวกตนขอให้กำลังใจนายเกษมในฐานะที่เป็นข้าราชการรักศักดิ์ศรีทำหน้าที่ตนเองโดยคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวม ความถูกต้องและความยุติธรรม
“เมื่อบ้านเมืองอยู่ภายใต้การปกครองของผู้มีอำนาจที่ไม่มีคุณธรรมก็ต้องอดทน ผมเชื่อว่าเขาอยู่ไม่นาน ท่านรองเกษมจะอยู่ได้นานกว่า การใช้อำนาจแบบนี้ ไม่ใช่เป็นการสร้างอาณาจักรความกลัวให้กับข้าราชการ แต่แสดงให้เห็นว่าผู้ใช้อำนาจนั้นกลัว กลัวความถูกต้องความเป็นธรรม และอีกหน่อยก็ต้องกลัวพลังของประชาชนทั้งประเทศ ผมไม่ใช่หมอดูแต่ก็รู้ว่า เวลาของรัฐบาลสั้นลงทุกที ปัจจัยที่ทำให้ผมมองแบบนี้เพราะคนพวกนี้ไม่คำนึงถึงความรู้สึกของประชาชน กล้าที่จะทำอะไรหักหาญความรู้สึกของประชนด้วยความเหลิงอำนาจ ผมเชื่อว่าทำแบบนี้ ไม่มีใครอยู่ได้ เท่าที่ผมเห็นว่าจากการอยู่ในการเมือง30 ปี เห็นพฤติกรรมของคน ที่ใช้อำนาจโดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกของประชาชนอย่างแท้จริงอยู่ไม่ได้ แม้มีเสียงข้างมากก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะเสียงข้างมากไม่ได้มาด้วยเสียงของศรัทรา หรือวิธีการที่ถูกต้อง”
ตามคาดอัยการไม่สั่งคดีปล่อยกู้พม่า
วานนี้(9 พ.ค.)นายเศกสรรค์ บางสมบุญ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีพิเศษ คณะทำงานพิจารณาสำนวนการทุจริตปล่อยกู้ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมแบงก์) มูลค่า 4,000 ล้านบาท ให้กับรัฐบาลพม่าที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาในชั้น คตส. เผยถึงความคืบหน้า การพิจารณาสำนวนว่า นายชัยเกษม นิติสิริ อัยการสูงสุด ได้ส่งหนังสือลับแจ้งไปยัง คตส.แล้วเมื่อวันที่ 8 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยอัยการสูงสุด เสนอให้ตั้งคณะกรรมการร่วมอัยการ กับ คตส.เพื่อสอบเพิ่มเติม เนื่องจากอัยการเห็นว่า สำนวนคดียังไม่สมบูรณ์เพียงพอที่จะมีความเห็นสั่งคดีได้ว่าจะฟ้องหรือไม่ฟ้อง
โดยอัยการ 5 คนที่เตรียมจะให้ร่วมเป็นคณะกรรมการร่วม ประกอบด้วย ตนเอง นายนันทศักดิ์ พูลสุข อธิบดีอัยการฝ่ายคดีศาลสูง เขต 8, นายวินัย ดำรงค์มงคลกุล อธิบดีอัยการฝ่ายคดีล้มละลาย, ม.ล.ศุภกิตต์ จรูญโรจน์ เลขานุการรองอัยการสูงสุด และ นายรุจ เขื่อนสุวรรณ อัยการพิเศษฝายคดีพิเศษ 1
อธิบดีอัยการฝ่ายคดีพิเศษ กล่าวว่า การเสนอตั้งคณะกรรมการร่วมอัยการ-คตส.คดีนี้ คตส.จะมีความเห็นด้วยหรือไม่ อย่างไร คงตอบแทนไม่ได้ หาก คตส.จะไม่ตั้งคณะกรรมการร่วม เพราะมั่นใจสำนวนและยืนยันตามความเห็นของ คตส.เอง และจะเลือกฟ้องคดีเอง ก็ทำได้ แต่อัยการยืนยันว่า สำนวนยังขาดความสมบูรณ์ ซึ่งการสอบเพิ่มเติมเพื่อให้พยานหลักฐานและประเด็นสำคัญแห่งคดีที่จะใช้นำสืบในชั้นศาลพิสูจน์ความผิดของผู้ถูกกล่าวหานั้นเกิดความสมบูรณ์ที่สุดทั้งข้อกฎหมาย และข้อเท็จจริงแห่งคดี
“รายละเอียดประเด็นที่ อัยการสูงสุด เสนอให้ตั้งคณะกรรมการร่วมสอบเพิ่มเติม เป็นความลับที่เปิดเผยไม่ได้ แต่ถ้าจะยกคดีหวยบนดิน และทุจริตกล้ายางพารา ขึ้นมาเทียบเคียงแล้วประเด็นที่อัยการตั้งข้อสังเกตให้สอบเพิ่มเติม คดีนี้ มีไม่มากเท่าสองคดี เพราะคดีนี้มีผู้ถูกกล่าวหาเพียงรายเดียว แต่ประเด็นมีความสำคัญต่อการพิสูจน์ความผิดซึ่งอัยการพร้อมเสมอที่จะฟ้องคดีให้ คตส.หากสำนวนสมบูรณ์”
นายนพดล อ้างว่าการย้ายครั้งนี้เพื่อความเหมาะสมและประสิทธิภาพในการทำงาน จริงๆ แล้วเรื่องภายในกระทรวง ตนก็ไม่อยากนำมาพูดมาก แต่การย้ายครั้งนี้ ขอยืนยันว่า ไม่เกี่ยวกับเรื่องเอกสารคดีซีทีเอ็กซ์ 9000 แต่อย่างใด แต่ความจริงมีสาระสำคัญมากกว่านั้น ขณะนี้ตนต้องมาดูเรื่องเอกสาร ที่ให้ข้าราชการไปประชุมที่กัมพูชาว่า มีข้อตกลงที่ผูกมัดไทยมากไปหรือไม่
“ผมทำงานอยู่หลังฉาก ไม่อยากไปวิพากษ์วิจารณ์ข้าราชการ แต่ขอรับผิดชอบในสิ่งที่ทำ และสิ่งที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไปแล้ว”
นายสัก กอแสงเรือง โฆษก คตส. กล่าวว่า เอกสารการสอบสวนคดีการจัดซื้อซีทีเอ็กซ์ 9000 ของสหรัฐที่กรมสนธิสัญญาฯ ช่วยแปลให้ คตส.นั้นถือเป็น เอกสารชั้นความลับสุดยอด เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบไม่สามารถเปิดเผยให้ใครรับทราบได้
“ทางสหรัฐฯ กำชับว่า เป็นความลับสูงสุด จะเปิดเผยได้ก็เฉพาะในกระบวนการยุติธรรมเท่านั้น หากเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบ เปิดเผยก็จะมีความผิด ร่วมถึง บุคคลที่ขอให้เปิดเผย ก็ต้องมีความผิดด้วย ข้าราชการที่ไม่ยอมเปิดเผยข้อมูล ควรที่จะได้รับความคุ้มครองอย่างเต็มที่ ไม่ควรถูกคุกคาม กลั่นแกล้ง”
ด้าน คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และกรรมการ คตส.กล่าวว่า ขอชื่นชมการทำงานของนายวีรชัย และขอดูแคลนพฤติกรรม การย้ายเช่นนี้ และวันที่ 12 พ.ค.นี้ เวลา 10.00 น.จะนำกระเช้าดอกไม้ไปมอบให้กับนายวีระชัยที่กระทรวงการต่างประเทศ
แนะขรก.อดทนกับรัฐบาลที่ไร้คุณธรรม
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณี กระทรวงมหาดไทยโยกย้ายนอกฤดูกาล โดยย้ายนายเกษม วัฒนธรรม รองผู้ว่าราชการ จ.บุรีรัมย์ ประธาน กกต.บุรีรัมย์ ที่สอบสวนการทุจริตเลือกตั้งอย่างตรงไปตรงมา จนว่าที่ ส.ส.พรรคพลังประชาชน 3 คนถูกใบแดงว่า พวกตนขอให้กำลังใจนายเกษมในฐานะที่เป็นข้าราชการรักศักดิ์ศรีทำหน้าที่ตนเองโดยคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวม ความถูกต้องและความยุติธรรม
“เมื่อบ้านเมืองอยู่ภายใต้การปกครองของผู้มีอำนาจที่ไม่มีคุณธรรมก็ต้องอดทน ผมเชื่อว่าเขาอยู่ไม่นาน ท่านรองเกษมจะอยู่ได้นานกว่า การใช้อำนาจแบบนี้ ไม่ใช่เป็นการสร้างอาณาจักรความกลัวให้กับข้าราชการ แต่แสดงให้เห็นว่าผู้ใช้อำนาจนั้นกลัว กลัวความถูกต้องความเป็นธรรม และอีกหน่อยก็ต้องกลัวพลังของประชาชนทั้งประเทศ ผมไม่ใช่หมอดูแต่ก็รู้ว่า เวลาของรัฐบาลสั้นลงทุกที ปัจจัยที่ทำให้ผมมองแบบนี้เพราะคนพวกนี้ไม่คำนึงถึงความรู้สึกของประชาชน กล้าที่จะทำอะไรหักหาญความรู้สึกของประชนด้วยความเหลิงอำนาจ ผมเชื่อว่าทำแบบนี้ ไม่มีใครอยู่ได้ เท่าที่ผมเห็นว่าจากการอยู่ในการเมือง30 ปี เห็นพฤติกรรมของคน ที่ใช้อำนาจโดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกของประชาชนอย่างแท้จริงอยู่ไม่ได้ แม้มีเสียงข้างมากก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะเสียงข้างมากไม่ได้มาด้วยเสียงของศรัทรา หรือวิธีการที่ถูกต้อง”
ตามคาดอัยการไม่สั่งคดีปล่อยกู้พม่า
วานนี้(9 พ.ค.)นายเศกสรรค์ บางสมบุญ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีพิเศษ คณะทำงานพิจารณาสำนวนการทุจริตปล่อยกู้ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมแบงก์) มูลค่า 4,000 ล้านบาท ให้กับรัฐบาลพม่าที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาในชั้น คตส. เผยถึงความคืบหน้า การพิจารณาสำนวนว่า นายชัยเกษม นิติสิริ อัยการสูงสุด ได้ส่งหนังสือลับแจ้งไปยัง คตส.แล้วเมื่อวันที่ 8 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยอัยการสูงสุด เสนอให้ตั้งคณะกรรมการร่วมอัยการ กับ คตส.เพื่อสอบเพิ่มเติม เนื่องจากอัยการเห็นว่า สำนวนคดียังไม่สมบูรณ์เพียงพอที่จะมีความเห็นสั่งคดีได้ว่าจะฟ้องหรือไม่ฟ้อง
โดยอัยการ 5 คนที่เตรียมจะให้ร่วมเป็นคณะกรรมการร่วม ประกอบด้วย ตนเอง นายนันทศักดิ์ พูลสุข อธิบดีอัยการฝ่ายคดีศาลสูง เขต 8, นายวินัย ดำรงค์มงคลกุล อธิบดีอัยการฝ่ายคดีล้มละลาย, ม.ล.ศุภกิตต์ จรูญโรจน์ เลขานุการรองอัยการสูงสุด และ นายรุจ เขื่อนสุวรรณ อัยการพิเศษฝายคดีพิเศษ 1
อธิบดีอัยการฝ่ายคดีพิเศษ กล่าวว่า การเสนอตั้งคณะกรรมการร่วมอัยการ-คตส.คดีนี้ คตส.จะมีความเห็นด้วยหรือไม่ อย่างไร คงตอบแทนไม่ได้ หาก คตส.จะไม่ตั้งคณะกรรมการร่วม เพราะมั่นใจสำนวนและยืนยันตามความเห็นของ คตส.เอง และจะเลือกฟ้องคดีเอง ก็ทำได้ แต่อัยการยืนยันว่า สำนวนยังขาดความสมบูรณ์ ซึ่งการสอบเพิ่มเติมเพื่อให้พยานหลักฐานและประเด็นสำคัญแห่งคดีที่จะใช้นำสืบในชั้นศาลพิสูจน์ความผิดของผู้ถูกกล่าวหานั้นเกิดความสมบูรณ์ที่สุดทั้งข้อกฎหมาย และข้อเท็จจริงแห่งคดี
“รายละเอียดประเด็นที่ อัยการสูงสุด เสนอให้ตั้งคณะกรรมการร่วมสอบเพิ่มเติม เป็นความลับที่เปิดเผยไม่ได้ แต่ถ้าจะยกคดีหวยบนดิน และทุจริตกล้ายางพารา ขึ้นมาเทียบเคียงแล้วประเด็นที่อัยการตั้งข้อสังเกตให้สอบเพิ่มเติม คดีนี้ มีไม่มากเท่าสองคดี เพราะคดีนี้มีผู้ถูกกล่าวหาเพียงรายเดียว แต่ประเด็นมีความสำคัญต่อการพิสูจน์ความผิดซึ่งอัยการพร้อมเสมอที่จะฟ้องคดีให้ คตส.หากสำนวนสมบูรณ์”