บทความวันนี้ได้ใช้บางส่วนของข้อเขียนของคุณเปลวสีเงินจากหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ กับบทวิเคราะห์ของคุณธีรยุทธ บุญมี มาเป็นชื่อบทความ จึงต้องบอกกล่าวและขออนุญาตไว้ ณ ที่นี้
คุณธีรยุทธ บุญมี ได้ออกบทวิเคราะห์รัฐบาลหุ่นเชิดและขนานนามรัฐบาลหุ่นเชิดหน้าหมูปากหมาเสียใหม่ว่าเป็นรัฐบาลลูกกรอก 1 และยังพูดถึงเรื่องกุมารทองและรักยมด้วย พร้อมทั้งเตือนด้วยว่าอย่าประพฤติตนเป็นรัฐบาลแบบ ชคม. หรือแบบคน “ชั่วครองเมือง”
คุณเปลวสีเงินก็ได้เขียนตอนท้ายของบทความประจำวันที่ 2 พฤษภาคม 2551 ในหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ว่าใกล้ อวส. ของพวกชั่วครองเมืองแล้ว ความหมายก็คือรัฐบาลที่ประกอบด้วยคนชั่วครองเมืองนั้นใกล้ถึงกาลอวสานแล้ว
ทั้งสองเรื่องนี้เกี่ยวเนื่องและเป็นเรื่องเดียวกัน และคงจะต้องใจคนไทยทั้งประเทศ คือต้องใจว่าเป็นการขนานสมญารัฐบาลนี้สอดคล้องตรงกับข้อเท็จจริงที่เป็นอยู่อย่างหนึ่ง
และตรงกับความปรารถนาสูงสุดของคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศนี้ว่าต้องการให้พวกชั่วครองเมืองทั้งหลายนี้ถึงกาลอวสานโดยเร็วที่สุดอีกประการหนึ่ง
รัฐบาลชั่วหรือคนชั่วครองเมืองนั้นไม่มีทางจีรังยั่งยืนได้อย่างแน่นอน อธรรมไม่มีทางอยู่ค้ำฟ้าหรือประสบชัยชนะในที่สุด มีแต่ต้องพินาศฉิบหายวายวอดอย่างแน่นอน นี่เป็นสัจธรรม
แต่น้ำใจคนนั้นไม่อาจอดทนต่อความเดือดร้อนเสียหายหรือความอัปยศอดสูได้นาน ดังนั้นจึงมีความต้องการให้ความชั่วช้าเลวทรามทั้งหลายสลายสิ้นไปโดยไวที่สุด
เพราะเหตุนี้การประมาณสถานการณ์หรือการคาดหมายสถานการณ์ของคุณเปลวสีเงินที่ว่าพวกชั่วครองเมืองใกล้ถึงกาลอวสานแล้ว จึงตรงกับน้ำใจคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศ
ก็อยากจะเตือนข้าราชการบางคนที่ยอมตนเป็นทาสบริวารนักการเมืองชั่วทั้งหลายให้ได้สำนึกเอาไว้ว่า สรรพสิ่งนั้นไม่มีจีรังยั่งยืน ย่อมเกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วดับไปทั้งนั้น การฝักใฝ่รับใช้นักการเมืองโดยดูหมิ่นเหยียดหยามตนเองราวกับเป็นสุนัข ในที่สุดแล้วคนที่ต้องรับชะตากรรมก็คือตัวเอง ตลอดจนครอบครัวลูกเมียทั้งนั้น
นักการเมืองมันไม่มาร่วมรับผิดชอบร่วมทุกข์ร่วมสุขอะไรด้วยหรอก ดีไม่ดีมันก็เผ่นหนีไปต่างประเทศ ปล่อยให้ข้าราชการและสมุนบริวารเดือดร้อนรับชะตากรรมไปโดยลำพัง
ดังนั้นข้าราชการทั้งหลายควรจะได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสัตย์สุจริต ตามกฎหมายและระเบียบแบบแผนและด้วยความเป็นธรรม โดยไม่ต้องทำตัวเป็นสุนัขรับใช้ของนักการเมือง ถึงจะขัดใจนักการเมืองอย่างมากก็แค่ถูกสั่งให้ประจำกรม แต่ไม่มีทางที่จะติดคุกติดตะรางหรือเดือดร้อนวุ่นวายในภายหลังทั้งตัวเองและครอบครัว
เรื่องที่น่าสนใจก็คือรัฐบาลลูกกรอก รัฐบาลกุมารทองและรักยม ซึ่งเป็นเรื่องสามเรื่องที่ดูเหมือนจะคล้ายคลึงกันแต่เป็นคนละเรื่องและต่างกัน
เมื่อคุณธีรยุทธ บุญมี เอาเรื่องนี้มาพูดก็เป็นโอกาสที่จะทำความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้กันสักครั้งหนึ่ง เพราะอย่างน้อยที่สุดก็ช่วยให้สามารถเข้าใจความหมายในเชิงอุปมาและการเปรียบเทียบการเมืองในประเทศไทยในวันนี้ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
เรามาทำความรู้ความเข้าใจกันในแต่ละเรื่อง คือเรื่องลูกกรอก กุมารทอง และรักยม โดยไม่จำเป็นที่จะต้องทำความเข้าใจเรื่องชั่วครองเมืองอีก เพราะเห็นตำตากันอยู่ทุกวัน เดือดร้อนกันทุกหย่อมหญ้า สาหัสฝังจิตฝังใจไปอีกนานทีเดียว
ลูกกรอกก็คือผีเด็กชนิดหนึ่ง
ลูกกรอกก็คือเด็กทารกที่ปฏิสนธิแล้วมีอาการครบ 32 เป็นแต่มีขนาดเล็กแค่คืบหรือกว่าคืบเล็กน้อยเท่านั้น แม้จะอยู่ในครรภ์มารดาจนครบกำหนด ขนาดดังกล่าวก็ไม่เปลี่ยนแปลง
ในทางการแพทย์ถือว่าทารกดังกล่าวไม่มีชีวิตตั้งแต่ขณะคลอด จึงไม่มีสภาพเป็นบุคคลตามกฎหมาย เพราะจะเป็นบุคคลตามกฎหมายได้ก็ต้องคลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารก
แต่ลูกกรอกซึ่งเป็นแค่ทารกอยู่ในครรภ์ มีอาการครบ 32 มีขนาดผิดปกติจากทารกทั่วไป และไร้ชีวิต จึงไม่ใช่ทารกหรือบุคคลตามกฎหมาย
แต่ในทางไสยศาสตร์นั้นถือว่าวิญญาณได้ปฏิสนธิในตัวลูกกรอกแล้ว และวิญญาณนั้นยังครองอยู่จนกระทั่งคลอดออกมา ดังนั้นลูกกรอกจึงไม่เน่าไม่เปื่อย ทั้งๆ ที่ในทางการแพทย์ถือว่าไม่มีชีวิตอยู่แล้ว
ในทางไสยศาสตร์จึงถือว่าลูกกรอกเป็นทารกที่มีวิญญาณครองแต่ไม่มีชีวิต ดังนั้นเมื่อคลอดออกมาจึงมีคติที่จะอาบน้ำอาบท่าใส่เสื้อผ้าใส่พานแล้วสักการบูชา โดยมีคติความเชื่อว่าจะปกปักรักษาผู้เป็นพ่อแม่ให้แคล้วคลาดจากอุปัทวันตรายทั้งปวง มีโชค มีลาภ มีทรัพย์สินเงินทองที่อุดมสมบูรณ์
ที่น่าแปลกใจก็คือลูกกรอกที่ตั้งอยู่ในพานนั้นถึงแม้จะไม่ต้องมียาหรือสมุนไพรหรือสารเคมีใดๆ อาบฉาบไว้ก็ไม่เน่าไม่เปื่อย ลูกกรอกบางรายคงสภาพเดิมอยู่ถึง 60 ปี แต่โดยมากก็จะสลายกลายเป็นผุยผงเมื่อผู้เป็นพ่อแม่เสียชีวิต
ความศักดิ์สิทธิ์หรือความขลังของลูกกรอกไม่ได้เกิดจากพิธีไสยศาสตร์หรือการปลุกเสกแต่ประการใด แต่เชื่อว่าลูกกรอกนั้นมีวิญญาณสิงสถิตอยู่ คอยทำนุบำรุงอุ้มชูผู้เป็นพ่อแม่ และผู้เป็นพ่อแม่ก็จะปฏิบัติต่อลูกกรอกนั้นเหมือนกับการปฏิบัติต่อลูกตามวัยของเด็ก
เช่น ตอนเล็กๆ ก็หาของเล่นไปให้ กินข้าวก็ชวนให้กิน ไปไหนก็ชวนไปด้วย
นักวิชาไสยบางรายเที่ยวล่าลูกกรอก เที่ยวแสวงหาว่าที่ใดมีลูกกรอกบ้างก็ใช้วิชาอาคมเรียกวิญญาณลูกกรอกนั้นเอาไปใช้สอยเป็นข้าทาสบริวาร
ดังนั้นพ่อแม่คนใดมีลูกกรอกจึงต้องไปแสวงหาอาจารย์ดีเพื่อทำพิธีป้องกันมิให้คนอื่นมาเรียกเอาวิญญาณลูกกรอกไป
เรื่องราวของลูกกรอกนั้นดูเหมือนว่าจะมีอยู่ทั่วทุกภาคของประเทศไทย
ถัดมาก็เป็นเรื่องของกุมารทอง
กุมารทองก็คือผีเด็กเหมือนกัน แต่ต่างกับลูกกรอก เพราะกุมารทองเกิดขึ้นโดยพิธีไสยและแบบแผนวิชาไสย
นั่นคือเมื่อสตรีมีครรภ์และตายทั้งกลมในขณะที่ครรภ์แก่ แล้วทารกในครรภ์ก็มีอาการครบถ้วน 32 แล้ว ครั้นแม่ตายทารกในครรภ์ก็ตายตามไปด้วย เด็กทารกในครรภ์ที่มีอาการครบ 32 และตายตามแม่ในลักษณะที่แม่ตายทั้งกลมนั้นคืออุปกรณ์หลักและสำคัญที่สุดในการทำกุมารทอง
นักวิชาไสยจะทำพิธีที่ประกอบด้วยวันเวลาและ ณ สถานที่อันวิเวกวิกาล ทำการผ่าท้องศพแม่ออก ควักเอาทารกที่ตายนั้นเอาไปทำพิธี เริ่มต้นด้วยการย่างให้แห้งเพื่อไม่ให้เน่าเปื่อย จากนั้นก็เรียกอาการ 32 ด้วยอาคม และตั้งนามรูปเรียกวิญญาณเข้าสิง
บางทีก็เป็นวิญญาณของเด็กที่ตายนั่นเอง แต่บางทีวิญญาณนั้นหนีไปก่อนก็เรียกวิญญาณเด็กอื่นมาเข้าสิงแทน จากนั้นก็ทำพิธีปลุกเสกให้เป็นกุมารทองเพื่อให้มีฤทธิ์เดชแก่กล้ากว่าผีทั้งหลาย
ผีกุมารทองจึงเป็นผีที่มีฤทธิ์ แต่ไม่ได้มีฤทธิ์ขึ้นมาด้วยตนเอง หากมีฤทธิ์ได้ด้วยการปลุกเสกและความเข้มขลังของวิทยาคมของผู้ปลุกเสก ผู้ปลุกเสกจึงสามารถใช้กุมารทองให้ทำการได้หลายอย่าง ไม่ว่าผิดชอบชั่วดีประการใด
ส่วนรักยมนั้นก็เป็นผีเด็กเหมือนกัน แต่เป็นผีเด็กที่ไม่ต้องอาศัยเด็กทารกแบบลูกกรอกหรือแบบกุมารทอง หากแต่สร้างขึ้นมาโดยพิธีกรรมไสย ที่ใช้ไม้รักและไม้มะยมมาแกะเป็นกุมารเล็กๆ ในท่ายืน
ไม้รักที่ว่านี้ก็คือไม้จากต้นรักหรือต้นดอกรัก แต่มักนิยมใช้ต้นรักที่ตายพราย ทว่าหายากนัก ที่ใช้กันอยู่จึงใช้ต้นรักที่เหี่ยวเฉาแล้วโดยทั่วไป
ส่วนไม้มะยมนั้นมีอยู่ 3 ชนิดคือมะยมบ้าน มะยมป่า และมะยมหิน ใช้ไม้มะยมอย่างไหนก็ได้ทั้งนั้น แต่โดยมากนิยมมะยมป่า ยิ่งเป็นต้นมะยมป่าที่ตายพรายก็ถือกันว่าขลังนัก
กุมารที่แกะจากไม้รักจะชื่อว่ารัก ที่แกะจากไม้มะยมจะชื่อว่ายม
การตัดไม้รักไม้ยมต้องอาศัยการคำนวณวันเวลาฤกษ์ผานาที แม้กระทั่งการเข้าไปตัดก็ต้องไม่ให้เงาทาบต้นไม้นั้น ตัดมาแล้วก็ต้องมาเหลาเกลาพร้อมกับการบริกรรมอาคม
จากนั้นก็แกะเป็นตัวกุมาร ในขณะที่แกะก็ต้องคำนวณฤกษ์ผานาทีและภาวนาอาคมในขณะแกะไปจนเสร็จ แกะเสร็จแล้วก็ตั้งธาตุทั้งสี่ เรียกอาการ 32 ตั้งนามรูป เป็นลูกรัก ลูกยม เรียกวิญญาณเด็กเข้ามาสิงทั้งตัวรัก ตัวยม จากนั้นก็ทำพิธีเบิกเนตร ปลุกเสกให้มีฤทธิ์เดชดังประสงค์
เสร็จแล้วก็เอาไปเลี้ยงไว้ในขวดใส่น้ำมันจันทน์ มีบทคาถาสำหรับเรียก สำหรับใช้ และปฏิบัติต่อเหมือนกับการเลี้ยงเด็กไว้คู่หนึ่ง ให้กิน ให้อยู่ ให้ของเล่น ไปไหนก็ไปด้วยกัน กินก็กินด้วยกัน นอนก็นอนด้วยกัน จะใช้สอยให้ทำอะไรก็ว่าคาถาแล้วบอกกล่าวใช้สอย
ดังนั้นการที่คุณธีรยุทธ บุญมี เปรียบเทียบรัฐบาลและผู้คนในรัฐบาลนี้ว่าเป็นรัฐบาลลูกกรอก รัฐบาลกุมารทอง และมีรัฐมนตรีรักยม โดยภาพรวมจึงตรงกับสภาพที่เป็นจริง
เพราะไม่ได้เป็นตัวเป็นตนของตนเอง เกิดขึ้นได้ด้วยการปลุกเสก เป็นแต่ว่าไม่ได้ปลุกเสกด้วยอาคมของขลัง หากปลุกเสกด้วยธนมนตรา ซึ่งเป็นมนตราที่เสกผีให้โม่แป้งก็ได้
ถึงแม้บางคนจะแก่เฒ่า บางคนจะเยาว์วัย แต่สภาพโดยรวมก็คือผีเด็กนั่นเอง คือไม่มีความคิดจิตวิญญาณเป็นของตนเอง ไม่รู้สึกผิดชอบชั่วดี จะทำอะไรและไม่ทำอะไรก็สุดแท้แต่จอมขมังเวทย์จะปลุกเสกใช้สอย
ประเทศไทยและคนไทยจึงหวังอะไรกับพวกลูกกรอก กุมารทอง และรักยมแบบนี้ไม่ได้ ไม่เห็นหรือว่าเพียงสองเดือนกว่าๆ ก็กินเลือดกินเนื้อคนไทยจนแห้งเหี่ยวเซียวซีดไปตามๆ กัน
สองเดือนกว่ามานี้ทำให้น้ำมันแพงขึ้นลิตรละเกือบ 10 บาท ทำให้ข้าวสารแพงขึ้นถังละเกือบ 300 บาท ทำให้น้ำตาลแพงขึ้นกิโลกรัมละ 5 บาทเศษ ทั้งสามสิ่งนี้เป็นสินค้าต้นทางหรือต้นน้ำ ส่งผลให้สินค้า ค่าบริการ และค่าครองชีพทุกชนิดแพงตามไปหมด
จึงทำให้ประชาชนเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า ต้องมีค่าครองชีพที่สูงขึ้น คนมีเงินเฉยๆ ก็ยังขาดทุนเพราะเงินเฟ้อ ที่บอกว่าเงินเฟ้อแค่ 6% นั้นโกหกดอก แท้จริงเงินเฟ้อไปแล้ว 28%
ถ้าจะเทียบกับข้าวสารก็พูดได้เต็มปากเต็มคำว่าเงินเฟ้อไปถึง 50% อย่างนี้ก็ฉิบหายกันทั้งประเทศแน่ สมน้ำหน้าและสาแก่ใจคนที่ไปเลือกพวก ชคม. ไหมล่ะพี่น้อง?
รัฐบาลลูกกรอกแบบนี้จึงไม่ใช่รัฐบาลที่จะแก้ไขปัญหาเดือดร้อนของบ้านเมืองหรือความเดือดร้อนของประชาชน และเขาก็ไม่สนใจที่จะแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของชาติและประชาชนเลย
สนใจอยู่อย่างเดียวคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตามที่จอมขมังเวทย์ผู้ปลุกเสกสั่งให้ทำ ประเทศไทยและคนไทยจะฉิบหายก็ช่างมัน ขอให้แก้รัฐธรรมนูญได้อย่างเดียวก็พอแล้ว.
คุณธีรยุทธ บุญมี ได้ออกบทวิเคราะห์รัฐบาลหุ่นเชิดและขนานนามรัฐบาลหุ่นเชิดหน้าหมูปากหมาเสียใหม่ว่าเป็นรัฐบาลลูกกรอก 1 และยังพูดถึงเรื่องกุมารทองและรักยมด้วย พร้อมทั้งเตือนด้วยว่าอย่าประพฤติตนเป็นรัฐบาลแบบ ชคม. หรือแบบคน “ชั่วครองเมือง”
คุณเปลวสีเงินก็ได้เขียนตอนท้ายของบทความประจำวันที่ 2 พฤษภาคม 2551 ในหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ว่าใกล้ อวส. ของพวกชั่วครองเมืองแล้ว ความหมายก็คือรัฐบาลที่ประกอบด้วยคนชั่วครองเมืองนั้นใกล้ถึงกาลอวสานแล้ว
ทั้งสองเรื่องนี้เกี่ยวเนื่องและเป็นเรื่องเดียวกัน และคงจะต้องใจคนไทยทั้งประเทศ คือต้องใจว่าเป็นการขนานสมญารัฐบาลนี้สอดคล้องตรงกับข้อเท็จจริงที่เป็นอยู่อย่างหนึ่ง
และตรงกับความปรารถนาสูงสุดของคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศนี้ว่าต้องการให้พวกชั่วครองเมืองทั้งหลายนี้ถึงกาลอวสานโดยเร็วที่สุดอีกประการหนึ่ง
รัฐบาลชั่วหรือคนชั่วครองเมืองนั้นไม่มีทางจีรังยั่งยืนได้อย่างแน่นอน อธรรมไม่มีทางอยู่ค้ำฟ้าหรือประสบชัยชนะในที่สุด มีแต่ต้องพินาศฉิบหายวายวอดอย่างแน่นอน นี่เป็นสัจธรรม
แต่น้ำใจคนนั้นไม่อาจอดทนต่อความเดือดร้อนเสียหายหรือความอัปยศอดสูได้นาน ดังนั้นจึงมีความต้องการให้ความชั่วช้าเลวทรามทั้งหลายสลายสิ้นไปโดยไวที่สุด
เพราะเหตุนี้การประมาณสถานการณ์หรือการคาดหมายสถานการณ์ของคุณเปลวสีเงินที่ว่าพวกชั่วครองเมืองใกล้ถึงกาลอวสานแล้ว จึงตรงกับน้ำใจคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศ
ก็อยากจะเตือนข้าราชการบางคนที่ยอมตนเป็นทาสบริวารนักการเมืองชั่วทั้งหลายให้ได้สำนึกเอาไว้ว่า สรรพสิ่งนั้นไม่มีจีรังยั่งยืน ย่อมเกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วดับไปทั้งนั้น การฝักใฝ่รับใช้นักการเมืองโดยดูหมิ่นเหยียดหยามตนเองราวกับเป็นสุนัข ในที่สุดแล้วคนที่ต้องรับชะตากรรมก็คือตัวเอง ตลอดจนครอบครัวลูกเมียทั้งนั้น
นักการเมืองมันไม่มาร่วมรับผิดชอบร่วมทุกข์ร่วมสุขอะไรด้วยหรอก ดีไม่ดีมันก็เผ่นหนีไปต่างประเทศ ปล่อยให้ข้าราชการและสมุนบริวารเดือดร้อนรับชะตากรรมไปโดยลำพัง
ดังนั้นข้าราชการทั้งหลายควรจะได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสัตย์สุจริต ตามกฎหมายและระเบียบแบบแผนและด้วยความเป็นธรรม โดยไม่ต้องทำตัวเป็นสุนัขรับใช้ของนักการเมือง ถึงจะขัดใจนักการเมืองอย่างมากก็แค่ถูกสั่งให้ประจำกรม แต่ไม่มีทางที่จะติดคุกติดตะรางหรือเดือดร้อนวุ่นวายในภายหลังทั้งตัวเองและครอบครัว
เรื่องที่น่าสนใจก็คือรัฐบาลลูกกรอก รัฐบาลกุมารทองและรักยม ซึ่งเป็นเรื่องสามเรื่องที่ดูเหมือนจะคล้ายคลึงกันแต่เป็นคนละเรื่องและต่างกัน
เมื่อคุณธีรยุทธ บุญมี เอาเรื่องนี้มาพูดก็เป็นโอกาสที่จะทำความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้กันสักครั้งหนึ่ง เพราะอย่างน้อยที่สุดก็ช่วยให้สามารถเข้าใจความหมายในเชิงอุปมาและการเปรียบเทียบการเมืองในประเทศไทยในวันนี้ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
เรามาทำความรู้ความเข้าใจกันในแต่ละเรื่อง คือเรื่องลูกกรอก กุมารทอง และรักยม โดยไม่จำเป็นที่จะต้องทำความเข้าใจเรื่องชั่วครองเมืองอีก เพราะเห็นตำตากันอยู่ทุกวัน เดือดร้อนกันทุกหย่อมหญ้า สาหัสฝังจิตฝังใจไปอีกนานทีเดียว
ลูกกรอกก็คือผีเด็กชนิดหนึ่ง
ลูกกรอกก็คือเด็กทารกที่ปฏิสนธิแล้วมีอาการครบ 32 เป็นแต่มีขนาดเล็กแค่คืบหรือกว่าคืบเล็กน้อยเท่านั้น แม้จะอยู่ในครรภ์มารดาจนครบกำหนด ขนาดดังกล่าวก็ไม่เปลี่ยนแปลง
ในทางการแพทย์ถือว่าทารกดังกล่าวไม่มีชีวิตตั้งแต่ขณะคลอด จึงไม่มีสภาพเป็นบุคคลตามกฎหมาย เพราะจะเป็นบุคคลตามกฎหมายได้ก็ต้องคลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารก
แต่ลูกกรอกซึ่งเป็นแค่ทารกอยู่ในครรภ์ มีอาการครบ 32 มีขนาดผิดปกติจากทารกทั่วไป และไร้ชีวิต จึงไม่ใช่ทารกหรือบุคคลตามกฎหมาย
แต่ในทางไสยศาสตร์นั้นถือว่าวิญญาณได้ปฏิสนธิในตัวลูกกรอกแล้ว และวิญญาณนั้นยังครองอยู่จนกระทั่งคลอดออกมา ดังนั้นลูกกรอกจึงไม่เน่าไม่เปื่อย ทั้งๆ ที่ในทางการแพทย์ถือว่าไม่มีชีวิตอยู่แล้ว
ในทางไสยศาสตร์จึงถือว่าลูกกรอกเป็นทารกที่มีวิญญาณครองแต่ไม่มีชีวิต ดังนั้นเมื่อคลอดออกมาจึงมีคติที่จะอาบน้ำอาบท่าใส่เสื้อผ้าใส่พานแล้วสักการบูชา โดยมีคติความเชื่อว่าจะปกปักรักษาผู้เป็นพ่อแม่ให้แคล้วคลาดจากอุปัทวันตรายทั้งปวง มีโชค มีลาภ มีทรัพย์สินเงินทองที่อุดมสมบูรณ์
ที่น่าแปลกใจก็คือลูกกรอกที่ตั้งอยู่ในพานนั้นถึงแม้จะไม่ต้องมียาหรือสมุนไพรหรือสารเคมีใดๆ อาบฉาบไว้ก็ไม่เน่าไม่เปื่อย ลูกกรอกบางรายคงสภาพเดิมอยู่ถึง 60 ปี แต่โดยมากก็จะสลายกลายเป็นผุยผงเมื่อผู้เป็นพ่อแม่เสียชีวิต
ความศักดิ์สิทธิ์หรือความขลังของลูกกรอกไม่ได้เกิดจากพิธีไสยศาสตร์หรือการปลุกเสกแต่ประการใด แต่เชื่อว่าลูกกรอกนั้นมีวิญญาณสิงสถิตอยู่ คอยทำนุบำรุงอุ้มชูผู้เป็นพ่อแม่ และผู้เป็นพ่อแม่ก็จะปฏิบัติต่อลูกกรอกนั้นเหมือนกับการปฏิบัติต่อลูกตามวัยของเด็ก
เช่น ตอนเล็กๆ ก็หาของเล่นไปให้ กินข้าวก็ชวนให้กิน ไปไหนก็ชวนไปด้วย
นักวิชาไสยบางรายเที่ยวล่าลูกกรอก เที่ยวแสวงหาว่าที่ใดมีลูกกรอกบ้างก็ใช้วิชาอาคมเรียกวิญญาณลูกกรอกนั้นเอาไปใช้สอยเป็นข้าทาสบริวาร
ดังนั้นพ่อแม่คนใดมีลูกกรอกจึงต้องไปแสวงหาอาจารย์ดีเพื่อทำพิธีป้องกันมิให้คนอื่นมาเรียกเอาวิญญาณลูกกรอกไป
เรื่องราวของลูกกรอกนั้นดูเหมือนว่าจะมีอยู่ทั่วทุกภาคของประเทศไทย
ถัดมาก็เป็นเรื่องของกุมารทอง
กุมารทองก็คือผีเด็กเหมือนกัน แต่ต่างกับลูกกรอก เพราะกุมารทองเกิดขึ้นโดยพิธีไสยและแบบแผนวิชาไสย
นั่นคือเมื่อสตรีมีครรภ์และตายทั้งกลมในขณะที่ครรภ์แก่ แล้วทารกในครรภ์ก็มีอาการครบถ้วน 32 แล้ว ครั้นแม่ตายทารกในครรภ์ก็ตายตามไปด้วย เด็กทารกในครรภ์ที่มีอาการครบ 32 และตายตามแม่ในลักษณะที่แม่ตายทั้งกลมนั้นคืออุปกรณ์หลักและสำคัญที่สุดในการทำกุมารทอง
นักวิชาไสยจะทำพิธีที่ประกอบด้วยวันเวลาและ ณ สถานที่อันวิเวกวิกาล ทำการผ่าท้องศพแม่ออก ควักเอาทารกที่ตายนั้นเอาไปทำพิธี เริ่มต้นด้วยการย่างให้แห้งเพื่อไม่ให้เน่าเปื่อย จากนั้นก็เรียกอาการ 32 ด้วยอาคม และตั้งนามรูปเรียกวิญญาณเข้าสิง
บางทีก็เป็นวิญญาณของเด็กที่ตายนั่นเอง แต่บางทีวิญญาณนั้นหนีไปก่อนก็เรียกวิญญาณเด็กอื่นมาเข้าสิงแทน จากนั้นก็ทำพิธีปลุกเสกให้เป็นกุมารทองเพื่อให้มีฤทธิ์เดชแก่กล้ากว่าผีทั้งหลาย
ผีกุมารทองจึงเป็นผีที่มีฤทธิ์ แต่ไม่ได้มีฤทธิ์ขึ้นมาด้วยตนเอง หากมีฤทธิ์ได้ด้วยการปลุกเสกและความเข้มขลังของวิทยาคมของผู้ปลุกเสก ผู้ปลุกเสกจึงสามารถใช้กุมารทองให้ทำการได้หลายอย่าง ไม่ว่าผิดชอบชั่วดีประการใด
ส่วนรักยมนั้นก็เป็นผีเด็กเหมือนกัน แต่เป็นผีเด็กที่ไม่ต้องอาศัยเด็กทารกแบบลูกกรอกหรือแบบกุมารทอง หากแต่สร้างขึ้นมาโดยพิธีกรรมไสย ที่ใช้ไม้รักและไม้มะยมมาแกะเป็นกุมารเล็กๆ ในท่ายืน
ไม้รักที่ว่านี้ก็คือไม้จากต้นรักหรือต้นดอกรัก แต่มักนิยมใช้ต้นรักที่ตายพราย ทว่าหายากนัก ที่ใช้กันอยู่จึงใช้ต้นรักที่เหี่ยวเฉาแล้วโดยทั่วไป
ส่วนไม้มะยมนั้นมีอยู่ 3 ชนิดคือมะยมบ้าน มะยมป่า และมะยมหิน ใช้ไม้มะยมอย่างไหนก็ได้ทั้งนั้น แต่โดยมากนิยมมะยมป่า ยิ่งเป็นต้นมะยมป่าที่ตายพรายก็ถือกันว่าขลังนัก
กุมารที่แกะจากไม้รักจะชื่อว่ารัก ที่แกะจากไม้มะยมจะชื่อว่ายม
การตัดไม้รักไม้ยมต้องอาศัยการคำนวณวันเวลาฤกษ์ผานาที แม้กระทั่งการเข้าไปตัดก็ต้องไม่ให้เงาทาบต้นไม้นั้น ตัดมาแล้วก็ต้องมาเหลาเกลาพร้อมกับการบริกรรมอาคม
จากนั้นก็แกะเป็นตัวกุมาร ในขณะที่แกะก็ต้องคำนวณฤกษ์ผานาทีและภาวนาอาคมในขณะแกะไปจนเสร็จ แกะเสร็จแล้วก็ตั้งธาตุทั้งสี่ เรียกอาการ 32 ตั้งนามรูป เป็นลูกรัก ลูกยม เรียกวิญญาณเด็กเข้ามาสิงทั้งตัวรัก ตัวยม จากนั้นก็ทำพิธีเบิกเนตร ปลุกเสกให้มีฤทธิ์เดชดังประสงค์
เสร็จแล้วก็เอาไปเลี้ยงไว้ในขวดใส่น้ำมันจันทน์ มีบทคาถาสำหรับเรียก สำหรับใช้ และปฏิบัติต่อเหมือนกับการเลี้ยงเด็กไว้คู่หนึ่ง ให้กิน ให้อยู่ ให้ของเล่น ไปไหนก็ไปด้วยกัน กินก็กินด้วยกัน นอนก็นอนด้วยกัน จะใช้สอยให้ทำอะไรก็ว่าคาถาแล้วบอกกล่าวใช้สอย
ดังนั้นการที่คุณธีรยุทธ บุญมี เปรียบเทียบรัฐบาลและผู้คนในรัฐบาลนี้ว่าเป็นรัฐบาลลูกกรอก รัฐบาลกุมารทอง และมีรัฐมนตรีรักยม โดยภาพรวมจึงตรงกับสภาพที่เป็นจริง
เพราะไม่ได้เป็นตัวเป็นตนของตนเอง เกิดขึ้นได้ด้วยการปลุกเสก เป็นแต่ว่าไม่ได้ปลุกเสกด้วยอาคมของขลัง หากปลุกเสกด้วยธนมนตรา ซึ่งเป็นมนตราที่เสกผีให้โม่แป้งก็ได้
ถึงแม้บางคนจะแก่เฒ่า บางคนจะเยาว์วัย แต่สภาพโดยรวมก็คือผีเด็กนั่นเอง คือไม่มีความคิดจิตวิญญาณเป็นของตนเอง ไม่รู้สึกผิดชอบชั่วดี จะทำอะไรและไม่ทำอะไรก็สุดแท้แต่จอมขมังเวทย์จะปลุกเสกใช้สอย
ประเทศไทยและคนไทยจึงหวังอะไรกับพวกลูกกรอก กุมารทอง และรักยมแบบนี้ไม่ได้ ไม่เห็นหรือว่าเพียงสองเดือนกว่าๆ ก็กินเลือดกินเนื้อคนไทยจนแห้งเหี่ยวเซียวซีดไปตามๆ กัน
สองเดือนกว่ามานี้ทำให้น้ำมันแพงขึ้นลิตรละเกือบ 10 บาท ทำให้ข้าวสารแพงขึ้นถังละเกือบ 300 บาท ทำให้น้ำตาลแพงขึ้นกิโลกรัมละ 5 บาทเศษ ทั้งสามสิ่งนี้เป็นสินค้าต้นทางหรือต้นน้ำ ส่งผลให้สินค้า ค่าบริการ และค่าครองชีพทุกชนิดแพงตามไปหมด
จึงทำให้ประชาชนเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า ต้องมีค่าครองชีพที่สูงขึ้น คนมีเงินเฉยๆ ก็ยังขาดทุนเพราะเงินเฟ้อ ที่บอกว่าเงินเฟ้อแค่ 6% นั้นโกหกดอก แท้จริงเงินเฟ้อไปแล้ว 28%
ถ้าจะเทียบกับข้าวสารก็พูดได้เต็มปากเต็มคำว่าเงินเฟ้อไปถึง 50% อย่างนี้ก็ฉิบหายกันทั้งประเทศแน่ สมน้ำหน้าและสาแก่ใจคนที่ไปเลือกพวก ชคม. ไหมล่ะพี่น้อง?
รัฐบาลลูกกรอกแบบนี้จึงไม่ใช่รัฐบาลที่จะแก้ไขปัญหาเดือดร้อนของบ้านเมืองหรือความเดือดร้อนของประชาชน และเขาก็ไม่สนใจที่จะแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของชาติและประชาชนเลย
สนใจอยู่อย่างเดียวคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตามที่จอมขมังเวทย์ผู้ปลุกเสกสั่งให้ทำ ประเทศไทยและคนไทยจะฉิบหายก็ช่างมัน ขอให้แก้รัฐธรรมนูญได้อย่างเดียวก็พอแล้ว.