“ธีรยุทธ” วิพากษ์รัฐบาลหมัก เปรียบเสมือน “ลูกกรอก 1” มี “รักเลี้ยบ-ยมมิ่ง” มี “กุมารทองคะนองปากกับกุมารทองอำนาจ” เป็นองค์ประกอบสำคัญ เตือนหาก 2 กุมารทองไม่เลิกทะเลาะกับคนไปทั่ว ก็จะเกิดการต่อต้านมากขึ้นภายใน 6 เดือน-1 ปีข้างหน้า ขณะเดียวกัน ให้ระวังยุควัฏจักรวิบัติ “นักการเมืองชั่วครองเมืง ระบุ ถ้ายังมุ่งแก้ รธน.ให้ตัวเองพ้นผิดจะเข้าสู่วิกฤตรอบสอง
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายธีรยุทธ บุญมี วิเคราะห์การเมืองไทย
วันนี้ (1 พ.ค.) นายธีรยุทธ บุญมี อาจารย์ประจำคณะสังคมวิทยา และมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้วิเคราะห์การเมืองไทย โดยชี้จุดอ่อนจุดแข็งของรัฐบาลภายใต้การนำของ นายสมัคร สุนทรเวช โดยเปรียบเทียบเป็น รัฐบาล “ลูกกรอก 1”
ทั้งนี้ ในเอกสารการวิเคราะห์ของเขาได้แยกให้เห็นรายละเอียดดังนี้
ธีรยุทธ บุญมี
โอกาสของประเทศไทย
โลกกำลังเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เศรษฐกิจอเมริกาถดถอย จีน อินเดีย ญี่ปุ่น และเอเชียก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในหัวรถจักรขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก มีการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ด้านเศรษฐกิจการเงิน ด้านวัฒนธรรม ด้านประชากร ฯลฯ ใหม่หมด ไทยต้องปรับโครงสร้าง (restructuring) ตัวเอง เพื่อฉวยประโยชน์ให้มากที่สุด เนื่องจากประชากรเอเชียที่ร่ำรวยขึ้นมีจำนวนมาก ทำให้อาหารและวัตถุดิบราคาสูงขึ้น เป็นโอกาสที่ดีของภาคเกษตรวัตถุดิบของไทย ไทยยังมีความสามารถเป็นผู้นำด้านวัฒนธรรม การบริการ การแพทย์ และการท่องเที่ยว ที่จะเติบโตขึ้นอีกมหาศาลได้ ในทางภูมิศาสตร์ไทยยังเป็นศูนย์กลางทางคมนาคม ขนส่งและจัดการสินค้าวัตถุดิบ (logistic hub) ได้ดี และยังเป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงวัฒนธรรมจีน อินเดีย เอเชียอาคเนย์ที่ดีได้ด้วย รัฐบาลต้องฉวยโอกาสนี้ให้ดี อย่าหมกมุ่นกับการแก้ปัญหาตัวเอง
จุดแข็ง จุดอ่อน และโอกาสของรัฐบาลพลังประชาชน
1. ปัจจุบันความคิดประชาธิปไตยเลือกตั้งปักหลักมั่นคงในประเทศไทย ทุกฝ่ายรวมทั้งวงวิชาการไม่ควรมีอคติว่าพรรคใดควรได้จัดตั้งรัฐบาล พปช. มีความชอบธรรมเต็มที่ที่จะจัดตั้งรัฐบาลไปได้ 4 ปี แต่คนจะยอมรับฝีมือในการบริหาร การลุแก่อำนาจ หรือความซื่อสัตย์สุจริตหรือไม่ ยังเป็นอีกปัญหาหนึ่ง
ชาวบ้านชมชอบพปช. หรือทรท. จนชนะการเลือกตั้งท่วมท้นมา 3 หนติดต่อกัน เป็นโอกาสดีที่พปช. จะสร้างสิ่งดีๆ ที่ยั่งยืนให้แก่ชาวบ้านได้ 3 ด้านคือ ก) ยกระดับความมั่นใจในอำนาจตัวเองของชาวบ้านทั่วประเทศ แทนที่จะทำให้ประชาชนเสพติดอยู่กับผลประโยชน์ของประชานิยม ข) พปช. มีโอกาสทำให้ประชาชนภาคต่างๆ มีความทัดเทียมกันมากขึ้น ถ้าดำเนินนโยบายถูกต้อง จัดสรรงบประมาณที่ไม่สร้างหนี้ให้ชนบท แต่หันมาสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ การสื่อสาร คมนาคม การศึกษาวิจัย การแพทย์ สุขภาพอนามัย ค) สนับสนุนความทัดเทียมทางวัฒนธรรมชาวบ้านภาคต่างๆ กลุ่มต่างๆ ก็เป็นสิ่งที่สามารถทำได้ และจะเกิดประโยชน์ระยะยาวแก่เศรษฐกิจท่องเที่ยวและความสมานฉันท์ในประเทศ
2. จุดอ่อนของรัฐบาลกุมารทองหรือรัฐบาลลูกกรอก 1
พปช. ถูกกล่าวหาว่าเป็นนอมินีของทรท. เรามักแปลนอมินีว่าหุ่นเชิด ซึ่งไม่ตรงนัก เพราะหุ่นไม่มีชีวิตจิตใจ นอมินีมักเป็นบุคคลที่อ่อนวัยวุฒิกว่า ด้อยคุณวุฒิ ความฉลาดกว่าเจ้าของ แต่มีความซื่อสัตย์จงรักภักดีสูง ในวัฒนธรรมไทยมีความเชื่ออยู่อย่างหนึ่งคือการเลี้ยงลูกกรอก ซึ่งผู้มีอาคมปลุกเสกจากทารกที่หมดอายุขัยไปแล้วให้กลับมามีอิทธิฤทธิ์ ควบคุมจิตใจให้ซื่อสัตย์ จงรักภักดี คอยช่วยทำงานให้ จึงควรแปลนอมินีว่า “ลูกกรอก” และเรียกรัฐบาลสมัคร สุนทรเวชว่า รัฐบาลลูกกรอก 1 ซึ่งลูกกรอกคณะนี้มีระดับผู้นำอยู่ 2 ตนคือ รักเลี้ยบ ยมมิ่ง มีฤทธิ์เดชฉกาจฉกรรจ์ ส่วนหัวหน้าคณะลูกกรอกมี 2 ตน เป็นกุมารทองคะนองฤทธิ์ ตนที่หนึ่งเป็นกุมารทองคะนองปาก คิดอะไรก็พูดอย่างนั้นทันที จนสร้างศัตรูไปทั่วทุกกลุ่ม กุมารทองตนที่ 2 คะนองอำนาจ ชอบอยู่กระทรวงที่มีอำนาจ เชื่อมั่นว่าอำนาจจะสามารถทำอะไรก็ได้โดยไม่ต้องเกรงใจใคร
รัฐบาลคณะลูกกรอกแม้จะมีฤทธิ์เดช แต่ด้อยวัยวุฒิ คุณวุฒิ ความสามารถกว่าจอมขมังเวทผู้เป็นเจ้าของ จึงทำให้ความชอบธรรมไม่สูงเท่าที่ควรจะเป็น สองกุมารทองผู้นำก็ทะเลาะกับผู้คนไปในทุกๆ เรื่อง ทำให้รัฐบาลตกอยู่ในฐานะมีตำแหน่งอำนาจได้แต่ปกครองไม่ได้ ภายใน 6 เดือนถึง 1 ปีคาดว่าจะถูกผู้คนต่อต้านหนักมากขึ้น แต่รัฐบาลน่าจะอยู่ได้ยาวกว่านี้ จุดอ่อนของพปช. ก็อยู่ตรงนโยบายประชานิยม ซึ่งเกิดข้ออ่อนหลายอย่างคือ
ก. การจัดตั้งรัฐบาลต้องเอาตัวแทนจากท้องถิ่นมาเป็นรัฐบาลมากขึ้น จึงขัดแย้งกับชนชั้นกลางในกทม. และตัวจังหวัดใหญ่ต่างๆ ที่คาดหวังการตั้งรัฐบาลที่มีผู้เชี่ยวชาญหรือมืออาชีพเป็นหลัก
ข. ระบอบพรรคการเมืองไทยอยู่กับการซื้อเสียงจ่ายเงินให้ชาวบ้าน จึงต้องถอนทุนคืน การคอร์รัปชั่นในสมัยรัฐบาลชุดนี้จะนำไปสู่การคัดค้านของสังคมอย่างกว้างขวาง และขยายตัวเป็นการขับไล่รัฐบาลได้
ค. จะเกิดความขัดแย้งผลประโยชน์ระหว่างจอมขมังเวท กุมารทอง และบรรดาลูกกรอก
ง. ทั้งพวกรักทักษิณและพวกคัดค้านทักษิณมีกลุ่มที่มีความคิดสุดขั้วแฝงอยู่ ในพวกรักทักษิณมีสุดขั้วเชิงอุดมการณ์ที่ต้องการเปลี่ยนประเทศอย่างสุดโต่ง ซึ่งจะเป็นตัวเร่งให้ความขัดแย้งในสังคมเกิดเร็วขึ้นและขยายตัวได้ง่าย
จ. ปัญหาเศรษฐกิจมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะปัญหาเงินเฟ้อ บุคลากรของพปช. ขาดความเป็นมืออาชีพ อาจทำให้ปัญหาแรงขึ้นกลายเป็นจุดอ่อนสำคัญของรัฐบาลได้
แนวโน้มอนาคต
1. วัฏจักรวิบัติ: ระวังอย่าก้าวจากยุคคมช. สู่ยุคชคม.
ในอดีตการเมืองไทยตกอยู่ภายในวงจรอุบาทว์คือ มีการซื้อเสียงเลือกตั้งนำไปสู่รัฐบาลเลือกตั้ง ซึ่งคอร์รัปชั่นกว้างขวางเพื่อถอนทุนคืน จนผู้คนเอือมระอา เกิดการปฏิวัติ นำไปสู่การต่อต้านคัดค้านของพลังต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย แล้วเกิดการเลือกตั้งซื้อเสียงเป็นวงจรไปเรื่อยๆ ปัจจุบันซึ่งเป็นยุคโลกาภิวัตน์ ทุนและความคิดเสรีนิยมขยายตัวไร้ขอบเขต จนทะเลาะกับชุมชน สถาบันสังคมต่างๆ และยังเป็นการเมืองยุคประชานิยม ปัญหาจึงกินลึกลงไปอีกกลายเป็นวัฏจักรวิบัติ กล่าวคือ มี คมช. (การปฏิวัติ) เกิดการต่อต้านจากฝ่ายประชาธิปไตยและรากหญ้า จนมีเลือกตั้ง ตั้งรัฐบาล ซึ่งเกือบทุกๆ ชุดจะโกงกินมโหฬารและใช้อำนาจบาตรใหญ่ และปิดกั้นไม่ให้มีการตรวจสอบลงโทษ กลายเป็นยุค ชคม. หรือนักการเมืองชั่วครองเมือง (การกล่าวเช่นนี้ไม่ใช่เป็นการตราหน้าบุคคลหรือคณะบุคคลเป็นการเจาะจง แต่เป็นการเตือนนักการเมืองโดยรวมอย่างจริงจังว่าอย่าก้าวไปสู่จุดนั้น ซึ่งจะเป็นความเสียหายร้ายแรงมากกว่าทุกครั้งในประวัติศาสตร์ไทย) นักการเมืองชมค.จะถูกต่อต้านจากชนชั้นกลาง ภาคสังคม ประชาชนที่ต้องการรักษาคุณธรรมและความสมดุลให้สังคม ปฏิเสธการขยายอำนาจอย่างไม่มีขีดจำกัด จนกลายเป็นความขัดแย้งวุ่นวาย เกิดการปฏิวัติหรือคมช. ซึ่งสร้างความไม่พอใจแก่ฝ่ายประชาธิปไตยเลือกตั้งและกลุ่มรากหญ้าอีก วนเวียนเป็นวัฏจักรไปเช่นนี้
ปฏิวัติ เกิดคมช.
พลังประชาธิปไตยเลือกตั้งรากหญ้าคัดค้านการปฏิวัติ
ชนชั้นกลางภาคสังคมเดินขบวน คัดค้านการคอร์รัปชั่น ใช้อำนาจบาตรใหญ่
เลือกตั้ง เกิด ชคม.
ความขัดแย้งเชิงซ้อน
จนในที่สุดเกิดเป็นความขัดแย้งเชิงซ้อน นอกจากความขัดแย้งประชาธิปไตยกับเผด็จการ ความขัดแย้งเสรีนิยมสุดขั้วกับสถาบันต่างๆ ในประเทศแล้ว จะเกิดความขัดแย้งระหว่างชาวบ้านกับชนชั้นกลางในเมือง กลายเป็นความขัดแย้งของคนทั้งชาติอีกด้วย
ประเทศมี 10 ปัจจัยเอื้อความรุนแรง จึงอยู่ในความเสี่ยงสูงมาก
เราผ่านวิกฤติทักษิณมา 1 รอบ ซึ่งได้สร้างผลเสียแก่ประเทศมากมหาศาล และหากรัฐบาลยืนกรานแก้รัฐธรรมนูญให้ตัวเองพ้นผิด พวกพ้องหลุดจากคดี ก็จะเป็นจุดเริ่มต้นวิกฤติรอบ 2 แต่เนื่องจากครั้งนี้ประเทศมีปัญหามากมาย ความขัดแย้งเริ่มต้นจะไม่เข้มข้นเท่าครั้งก่อน แต่จะยืดเยื้อยาวนาน ไม่มีคนแพ้คนชนะ รัฐบาลจะปราบปรามประชาชนก็ไม่ได้ พันธมิตรก็ไม่มีข้ออ้างล้มรัฐบาล ทหารก็ต้องไม่รัฐประหารอีกต่อไปแล้ว อย่างไรก็ตาม มีแนวโน้มสูงว่าจะเกิดความรุนแรงด้วยเหตุปัจจัยคือ
1. การมองปัญหาอย่างแยกส่วนตัดตอน การรอมชอมสมานฉันท์คนในชาติหลังจากเกิดวิกฤติครั้งใหญ่ จะเกิดขึ้นได้ต้องสร้างให้มีพื้นที่แห่งความเข้าใจร่วมกันก่อน ซึ่งควรจะมองเหตุการณ์อย่างไม่บิดเบือน และเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นจริง ไม่มองแบบแยกส่วน ซึ่งจุดนี้มองต่างกันอย่างมากคือ สังคมไทยโดยทั่วไปมองต้นตอเกิดจากการคอร์รัปชั่น และการใช้อำนาจยับยั้งไม่ให้มีการตรวจสอบการคอร์รัปชั่นของรัฐบาล ทรท. สิ่งที่ คตส. ป.ป.ช. ได้ทำมา คือการเสนอข้อมูล ข้อเท็จจริง (facts) แก่สังคมและศาล ทักษิณและพวกพ้องจะผิดหรือไม่ผิดขึ้นอยู่กับศาลจะเป็นผู้ตัดสิน แต่กลุ่มกองเชียร์ทักษิณมองปัญหาเลื่อนมาอยู่ที่เผด็จการรัฐประหาร และใช้วิธีการไม่ให้เรื่องไปจบลงที่ศาล โดยการแก้รัฐธรรมนูญ เปลี่ยนแปลงองค์กรอิสระ เมื่อมองต่างกัน ใช้ตรรกะต่างกัน วิกฤติก็ไม่จบ
2. วัฒนธรรมไทยไม่เอื้อต่อการแก้วิกฤติ สังคมไทยแต่ดั้งเดิมเป็นสังคมกลุ่มอุปถัมภ์ และนิยมวัฒนธรรมการใช้อำนาจ เราไม่ได้แก้ปัญหาโดยใช้กฎระเบียบกติกา ในอดีตเรามีวัฒนธรรมแบบศรีธนญชัย แต่ปัจจุบันได้เกิดวัฒนธรรมศรีตะแบงไช คือบรรดานักการเมืองผู้มีอำนาจส่วนใหญ่ได้พัฒนาตัวเองเป็นหลวงศรีตะแบงไช นอกจากตะแบงการตีความกฎหมาย อำนาจและผลประโยชน์แล้ว ยังชอนไชทะลุทะลวงกฎหมายรัฐธรรมนูญ รวมทั้งสถาบัน องค์กรอิสระ กระบวนการทางกฎหมายและยุติธรรมอย่างต่อเนื่องด้วย หัวโจกใหญ่ของบรรดาหลวงศรีตะแบงไชก็คือตะแบงชะเวตี้ ที่ตะแบงตั้งแต่เรื่องซุกหุ้นว่าบกพร่องโดยสุจริต แต่ก็ยังซุกหุ้นตัวเองไว้ในกองทุนต่างประเทศต่อมาอีกเกือบสิบปี ตะแบงว่าช่วยเหลือต่างประเทศ แต่กลับเอาเข้าพกเข้าห่อตัวเอง ตะแบงว่าจะเปิดเสรีคมนาคม แต่ประโยชน์กลับเข้าบริษัทของครอบครัว ตะแบงว่าจะไม่ยุบสภา แต่ก็ยุบสภา ตะแบงว่าจะไม่เล่นการเมือง แต่ก็ชักใยพรรคการเมืองใหม่ และเตรียมสร้างภาพพจน์ล้างมลทินตัวเองอยู่ตลอดเวลา สักวันหนึ่งคนกลุ่มตะแบงชะเวตี้นี้จะทำให้เสียบ้านเสียเมืองในที่สุด
3. กลไกแก้ไขปัญหาทางสังคมคือการใช้เหตุผล โดยสื่อมวลชน นักวิชาการ ผู้นำทางความคิดใช้ไม่ได้ในปัจจุบัน เพราะความหลากหลายมีมาก และการแบ่งขั้ว ดึงดันเอาชนะกันสูงมากเกินไป เมื่อคนไม่เชื่อเหตุและผลก็จะหันไปหาความรุนแรงได้ง่าย
4. พรรคการเมืองแตกขั้ว คนไม่ศรัทธาในกระบวนการแก้ปัญหาของรัฐสภาที่ปกป้องคนโกง โดยเฉพาะนับตั้งแต่กรณีคอร์รัปชั่น CTX เป็นต้นมา
5. กลไกข้าราชการมีส่วนซ้ำเติมปัญหาให้เป็นวิกฤติรุนแรงขึ้น เพราะเกิดโลภคติในผลประโยชน์ เกิดภยาคติกลัวสูญเสียตำแหน่ง ไม่ยอมทำหน้าที่ของตัวเอง
6. โดยปัจจัยทางสังคมจิตวิทยา ในภาวะสับสนขาดความชัดเจนในโครงสร้างอำนาจและข้อมูลข่าวสารที่เรียกว่าการไม่ลงรอยในการรับรู้ (cognitive dissonance) เช่น ครม. ควรจะมีอำนาจ แต่คนรับรู้ว่ายังมีผู้มีอำนาจจริงอยู่อีกชุดหนึ่ง หรือพลเอกเปรมที่เกษียณอายุไปนานแล้ว แต่ยังมีความเชื่อว่ายังคุมอำนาจในกองทัพอยู่ สภาพเช่นนี้จะเกิดคำนินทาว่าร้าย ข่าวลือได้ง่าย เกิดจิตวิทยามวลชน เชื่อกันไปปากต่อปาก พัฒนาเป็นความเชื่อว่าแต่ละฝ่ายคิดการร้าย หรือมีแผนการที่ชั่วร้ายอยู่ นำไปสู่ความเกลียดชังและพัฒนาเป็นความรุนแรงในที่สุด
7. คนไทยอยู่ในความตึงเครียดมานาน เบื่อหน่ายกับการเมือง ส่งผลให้ขีดความอดทนลดต่ำลง เกิดความรุนแรงได้ง่าย ดังจะเห็นได้จากกรณีตีหัวทนายความ กระโดดถีบในสภา ขว้างปาอิฐหินใส่ผู้ชุมนุม โชว์ของลับ ฯลฯ
8. ภาวะดังกล่าวทำให้คนไทยอ่อนไหวต่อสิ่งที่มากระทบต่อความเชื่อร่วม (collective belief) เช่น อุดมการณ์ ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ จากเรื่องเล็กพัฒนาเป็นเรื่องใหญ่ได้ ต้องมองปัญหาอย่างมีสติ อดกลั้น ปัญหาเหล่านี้เคยเกิดมาในหลายประเทศ ถ้าเป็นคดีความศาลมักต้องชั่งน้ำหนักสัดส่วนระหว่างสิทธิเสรีภาพบุคคล ซึ่งกำลังขยายตัว กับสิทธิความเชื่อของกลุ่ม
9. ระวังกระบวนการสร้างคนไทยด้วยกันเป็น “พวกอื่น” กระบวนการนี้ทางปรัชญามองว่าเกิดจากการจินตนาการภาพขึ้นจากสิ่งชั่วร้ายในจิตใจ ที่เราคิดขึ้นเองไปให้กับคนที่ต่างไปจากเราในภาวะสับสน ซึ่งเมื่อเกิดขึ้นคนไทยด้วยกันเองจะถูกมองเป็นคนอื่น พวกอื่น ดังเช่นสมัย 6 ตุลาคม 2519 นักศึกษาถูกสร้างภาพเป็นคอมมิวนิสต์ เป็นปีศาจ เป็นยักษ์มาร เป็นต้น
10. ความต่างเชิงวัฒนธรรมระหว่างประชากรภาคต่างๆ อาจถูกวิกฤติครั้งนี้นำไปสู่ความขัดแย้งร้าวลึกได้
รัฐบาลต้องหาทางแก้ไขทั้ง 10 ปัจจัยความรุนแรงดังกล่าว ที่สำคัญเฉพาะหน้าคือต้องแยกม็อบระหว่างฝ่ายพันธมิตรกับฝ่ายรักทักษิณออกจากกันอย่างเด็ดขาด เพื่อป้องกันความรุนแรงที่พร้อมจะขยายตัวดังกล่าวมาแล้ว
ทางออก
ประชาธิปไตยสมดุลคือทางออก
ในเชิงโครงสร้างวิกฤติที่ยังดำรงอยู่เป็นปัญหาระหว่างกลุ่มทุนเลือกตั้งผนวกกับชาวบ้าน ภายใต้อุดมการณ์ประชาธิปไตยเลือกตั้ง ขัดแย้งกับกลุ่มชนชั้นกลาง เทคโนแครต ชนชั้นนำไทย ภายใต้อุดมการณ์ประชาธิปไตยที่มีการถ่วงดุล ตรวจสอบ ประเทศไทยได้พัฒนามาถึงขั้นที่ทั้งสองฝ่ายมีพลังทัดเทียมกัน จึงจะไม่มีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดชนะได้เด็ดขาด ประเทศไทยดำรงอยู่ไม่ได้ถ้าฝ่ายประชาธิปไตยเลือกตั้งขยายอำนาจของตนตามอำเภอใจอย่างไม่มีขอบเขต และก็อยู่ไม่ได้เช่นกันถ้าจะหวนกลับไปสู่ยุคประชาธิปไตยครึ่งใบ หรือยุคอมาตยาธิปไตย ทางออกเชิงโครงสร้างคือการอยู่อย่างสมดุล มีทั้งประชาธิปไตยเลือกตั้งซึ่งประชาชนยอมรับ และอำนาจตรวจสอบตามรัฐธรรมนูญที่มีที่มาอิสระทำงานอย่างได้ผล ปราศจากอคติและการเกรงกลัวภัยจากนักการเมือง ภาคสังคมและประชาชนเข้มแข็งในการตรวจสอบวิจารณ์รัฐบาลมากขึ้น
ทางออกในเชิงปฏิบัติ คือ พปช. ทำตามหน้าที่ของตัวเองที่ได้รับจากการเลือกตั้ง คือการบริหารประเทศให้ได้ดี เพราะมีฐานเสียงที่หนักแน่น มีโอกาสเป็นรัฐบาลต่อเนื่องหลายสมัยอยู่แล้ว ไม่ควรรีบร้อนแก้รัฐธรรมนูญ บ้านเมืองก็หมดปัญหา คตส. ปปช. เร่งทำคดีอย่างเต็มที่ และถ้าศาลได้พิจารณาคดีความต่างๆ อย่างเที่ยงตรงยุติธรรมและรวดเร็วทันกาล ก็จะคลี่คลายปัญหาลงไปได้
ควรสร้างบรรทัดฐานที่ดีในการแก้รัฐธรรมนูญ
เราควรสร้างบรรทัดฐานในการแก้รัฐธรรมนูญให้ถูกต้อง อย่าให้เกิดประเพณีว่าพรรคการเมืองที่มีเสียงข้างมากสามารถแก้รัฐธรรมนูญได้ตามอำเภอใจ เพื่อประโยชน์ตัวเอง ควรให้ภาคสังคม ภาคประชาชนมีส่วนร่วม ให้มีประชาพิจารณ์หรือมีประชามติ ให้มีกรรมการร่วมพรรคฝ่ายค้านฝ่ายรัฐบาลพิจารณาร่วมกัน ให้มี สสร. 3 เป็นต้น ผู้เขียนมองว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 ทำได้ในช่วงเวลาที่เหมาะสม บนหลักการดังนี้คือ
1. สปิริตของรัฐธรรมนูญ 2550 คือจำกัดอำนาจบริหารไม่ให้ล้นเกิน และป้องกันการคอร์รัปชั่น ซื้อเสียง แต่การจัดความสัมพันธ์อำนาจต่างๆ มีปัญหาอยู่บ้าง
2. รัฐธรรมนูญประเทศไทยปัจจุบันแบ่งออกเป็น 4 อำนาจคือ อำนาจบริหาร นิติบัญญัติ ตุลาการ และอำนาจตรวจสอบ ต้องเคารพลักษณะหน้าที่ขอบเขตของแต่ละอำนาจ จัดวางความสัมพันธ์แต่ละอำนาจให้ถูกต้อง จำแนกแยะที่มาของอำนาจต่างๆ ให้ชัดเจนเหมาะสม
3. รัฐธรรมนูญมาตรา 237 ซึ่งลงโทษยุบพรรคเมื่อกรรมการบริหารทำผิด ควรได้รับการถกเถียงอย่างกว้างขวางในนักวิชาการสายนิติศาสตร์ เพราะกฎหมายนี้ได้มีบทบัญญัติลงโทษกลุ่ม (collective) เมื่อบุคคล (individual) ทำผิด จะเป็นการย้อนยุคหรือไม่ และจะบรรลุวัตถุประสงค์ป้องกันการซื้อเสียงหรือไม่ แต่การรีบร้อนแก้ไขของ พปช. เพื่อให้ตัวเองพ้นผิดก็ไม่ควรทำ เพราะเป็นการทำลายหลักการการปกครองโดยกฎหมาย (rule of law) เช่นกัน
/0110
เชื่อ “หมัก” หยุดคะนองปาก บรรยากาศการเมืองคลี่คลาย
นายธีรยุทธ กล่าวเพิ่มเติมถึงกรณีที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี จะงดใช้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า หากนายสมัคร ทำได้จริง จะสามารถคลี่คลายบรรยากาศทางการเมืองได้ดี แต่ที่ตนได้ตั้งฉายานายสมัครเช่นนี้ (กุมารทองคะนองปาก)นั้น ยอมรับว่า คงจะแก้ไขบุคลิกการพูดของนายสมัครไม่ได้ หากนายสมัครหยุดพูดแบบคะนองปากบรรยากาศจะดีมาก
ย้ำ พปช.เดินหน้าแก้ไข รธน. ปัญหายืดเยื้อแน่
นายธีรยุทธ กล่าวถึงกรณีที่พรรคพลังประชาชน เดินหน้าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปี 2550 จะเป็นการจุดชนวนไปสู่การรัฐประหาร และเกิดปัญหายืดเยื้อหรือไม่ว่า ปัญหาจะยืดเยื้อมาก จะนำไปสู่การชุมนุมประท้วง และอาจมีความรุนแรงย่อยๆ เกิดขึ้น เพราะในประวัติศาสตร์ทุกประเทศที่ประสบปัญหาเรื่องนี้ เมื่อนักการเมืองใช้นโยบายประชานิยมขึ้นสู่อำนาจเป็นขวัญใจของชาวบ้าน ปัญหาจะเกิดตามมาเกือบทุกแห่ง มีการรัฐประหารเหมือนกับเหตุการณ์ 19 ก.ย. หลังจากนั้นจะมีความรุนแรงของมวลชนเกิดขึ้น มีความรุนแรงย่อยมีรัฐประหารย่อย (มินิคูเดอต้า)
“จะสังเกตว่ามีทั้งรัฐประหารใหญ่ที่ทำสำเร็จ และรัฐประหารย่อยที่มีความขัดแย้งกันเองระหว่างทหาร ที่คิดต่างกัน เมืองไทยก็เคยเกิดขึ้น อนาคตก็อาจจะมีสิทธิเกิดขึ้น แต่ประวัติศาสตร์เกือบทุกประเทศที่ใช้นโยบายประชานิยม เจอปัญหานี้”
ผู้สื่อข่าวถามว่า แสดงว่าบ้านเมืองจะเริ่มเข้าสู่วิกฤติรอบสอง นายธีรยุทธ กล่าวว่า มีคนซึ่งมองปัญหาต้นเหตุอยู่ที่การคอรัปชั่น การใช้อำนาจผิดพลาดตั้งแต่สมัยก่อน และพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฉบับคมช. ที่ผ่านมาก็ประท้วงร่วมกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งจะยืดเยื้อ แต่ไม่เข้มข้นเท่าไหร่ และทวีความรุนแรงมากขึ้น อย่างไรก็ตามหากยังยืนยันทำก็เป็นเอกสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญของส.ส.ก็ยืนยันได้ แต่ความถูกต้องชอบธรรม คนเห็นด้วยหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ระบุรัฐบาลทำไม่ดี คนก็มีสิทธิประท้วง
เมื่อถามว่า รัฐบาลมาจากการเลือกตั้ง มีความชอบธรรม ผู้ประท้วงจะมีความชอบธรรมหรือไม่ นายธีรยุทธ กล่าวว่า ความชอบธรรมมีหลายด้าน ปัญหาการเมืองเรามีหลายมิติมาก เมื่อได้รับเลือกตั้งมาความชอบธรรมในการจัดตั้งรัฐบาล ไม่มีปัญหาและอยู่ได้ ครบ 4 ปีแต่จะมีปัญหาเรื่องคอร์รัปชั่นหรือไม่ ใช้อำนาจมิชอบหรือไม่ หรือลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน หรือไม่ เมื่อเกิดปัญหาใหม่ ก็จะเกิดความชอบธรรมหรือไม่ชอบธรรมใหม่ๆ ขึ้นมา ต้องแยกกันว่าคนประท้วง ไม่ได้ประท้วงเรื่องกระบวนการเลือกตั้ง แต่ประท้วงเรื่องพฤติกรรมรัฐบาลในช่วง 4 ปี
ดังนั้น ถ้ารัฐบาลทำไม่ดีในช่วง 4 ปี คนก็มีสิทธิประท้วงได้ ทุกยุคทุกสมัยก็จะมีคนประท้วงอยู่ตลอดเวลา แต่จะบานปลายถึงขั้นขับไล่รัฐบาลหรือไม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งจะต้องเป็นเรื่องใหญ่จริงๆ ที่จะนำไปสู่ขั้นขับไล่รัฐบาลถ้าไปสู่ขั้นนั้นแสดงว่า นั่นเป็นวิกฤติแล้ว เราต้องภาวนาว่ารัฐบาลต้องอย่าพัฒนาตัวเองไปสู่ขั้นที่คนเขาจะคัดค้านขับไล่ ต้องหยุดตัวเองให้เป็น
นายธีรยุทธ ยังกล่าวถึงบทบาทกองทัพว่า ที่ ผบ.ทบ.เสนอต่อสาธารณะชนจะไม่ปฏิวัติ จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ประเทศบอบช้ำจากการรัฐประหารครั้งที่แล้วพอสมควร ในแง่ของภาพพจน์ และทางปฏิบัติจริงๆ ได้พิสูจน์ว่าบุคลากรของกองทัพเอง หรือ ของกลุ่มชนชั้นนำที่เรียกว่า อำมาตย์ ค่อนข้างมีวิสัยทัศน์แบบอนุรักษ์นิยมเกินไป ค่อนข้างล้าหลังไม่ทันสถานการณ์ และความสามารถในการจัดการปัญหาก็ไม่ดีเท่าที่ควร เพราะฉะนั้น จะมีรัฐประหารอีกหนจะเป็นการซ้ำเติมให้ประเทศแย่ลงไปอีกเพราะมันคลี่คลายปัญหาไม่ได้
ทั้งนี้ ตนยังห่วงความรุนแรงความขัดแย้งที่เกิดขึ้น และถ้าเกิด ก็จะยืดเยื้อเกิดบ่อยและขยายตัว กองทัพอาจจะอ้างสถานการณ์เข้ามาแทรกแซง ห่วงตรงนี้ ซึ่งตรงนี้มองในอีกหลายปีข้างหน้า รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง มีความชอบธรรมหลายด้าน เพราะปัญหาการเมืองมีหลายวิกฤติเมื่อรับเลือกมาก็มีความชอบธรรม แต่กลับจะมีการใช้อำนาจ การลิดรอนสิทธิประชาชน
เชื่อคดี“ทักษิณ” ออกมาอย่างไร ก็ยังไม่พอใจทั้ง 2 ฝ่าย
เมื่อถามว่า รัฐบาลและพรรคร่วมยืนยันจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยอาจจะฟื้นให้กับอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย 111 คน และให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลับมาเป็นนายกฯ จะเป็นการชอบธรรมหรือไม่ นายธีรยุทธ กล่าวว่า เป็นไปไม่ได้เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้ เป็น ส.ส.
เมื่อถามว่า หากมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้กับอดีตกรรมการบริหารพรรค 111 คนจะเป็นการจุดชนวนเหตุหรือไม่ นายธีรยุทธ กล่าวว่า คนจะมองว่า เอื้อให้กับคดีความคอร์รัปชั่น และมีการเปลี่ยนแปลงองค์กรอิสระ ส่วนเรื่องกรณีบุคคล 111 คน เป็นเรื่องปลายเหตุมากกว่า ถ้ารัฐบาลเสนอดีๆ ก็จะมีคนรับฟัง
เมื่อถามว่าคดีความ พ.ต.ท.ทักษิณ อาจจะจบสิ้นปลายปีนี้ จะเป็นการจุดชนวนหรือไม่ นายธีรยุทธ กล่าวว่า หากตัดสินคดีอย่างใดอย่างหนึ่ง คนคงไม่พอใจ ที่ผ่านมาสังคมไทยพยายามแก้ไขวิกฤติความขัดแย้งด้วยวิธีการต่าง ๆ ทุกวิธีแล้ว เพราะฉะนั้น ต้องถือว่าองค์กรอิสระ คตส. ป.ป.ช. มีหน้าที่ค้นคว้าหาข้อมูลหลักฐาน หาความจริงและศาลก็จะเป็นผู้ตัดสิน ถ้าศาลตัดสินมาเราก็ควรจะฟังและถือเป็นข้อเท็จจริง จะเป็นหนทางเดียวที่จะจบเรื่องในบ้านเมืองได้
เมื่อถามว่า ยืนยันถึงความเสื่อมของสังคมไทย ที่ประสบขณะนี้ คือความเสื่อมจากผู้ใหญ่ที่เตือนแล้วมักไม่มีใครฟัง อย่างที่นี้ ผบ.ทร.บอกว่าจะมีผู้ใหญ่มาแก้ไขบ้านเมือง จะแก้ไขได้จริงหรือไม่ นายธีรยุทธ กล่าวว่า ตนยืนยันในภาพรวมว่า การเปลี่ยนแปลงของบ้านเมืองเปลี่ยนไปมาก บทบาททางวัยวุฒิ จนกระทั่งบทบาทความสามารถได้ถูกลดความสำคัญลง ความสำคัญจะกลายไปสู่ประชากรมากขึ้น กระบวนการเลือกตั้งมีบทบาทสำคัญในการคัดสรรคน มีกระบวนการคนก็พอใจหรือเป็น ส.ส.ที่รากหญ้าเลือกมา ก็เป็นนายกฯ ได้ แต่กระบวนการคุณวุฒิก็ลดความสำคัญลงไปทั่วประเทศโดยทุกภาคเฉลี่ยลดลง
เสนอถกปัญหารัฐธรรมนูญในคนทุกระดับ
เมื่อถามว่าจุดยืนของการแก้รัฐธรรมนูญ ควรจะทำในเรื่องของการป้องกันคอร์รัปชั่น แต่ไม่ควรจะแก้ไขมาตรา 237 หรือผลประโยชน์ทางการเมืองใช่หรือไม่ นายธีรยุทธ กล่าวว่า แม้รัฐธรรมนูญมาจาก คมช. แต่ก็ผ่านกระบวนการลงประชามติ ถือว่ายังผ่านความชอบธรรมในส่วนนี้อยู่ แต่ยอมรับว่า ยังมีข้อบกพร่องที่ควรแก้ไข ซึ่งก็ต้องอยู่ในกระบวนการที่เหมาะสม สังคมควรจะใช้โอกาสมาพูดคุยกันว่า กติกาใหญ่ของบ้านเมืองใช้สติปัญญา เหตุผล ความรู้ เพื่อที่จะแก้ไข เชื่อว่าเป็นโอกาสที่ดี ไม่ใช่แก้แบบใช้อำนาจ ไม่ใช่บรรทัดฐานที่ดี
เมื่อถามว่า ข้อบกพร่องของ รธน.ปี 50 นายธีรยุทธ ระบุว่า ที่มาขององค์กรอิสระมาจากการสรรหา ก็ทำได้โดยเลือกให้สถาบันหรือองค์กร ตรงนี้ไม่ใช่เฉพราะ รธน.ปี 50 แต่ รธน.ปี 40 ก็ใช้สถาบันทางวิชาการเป็นหลักในการให้บุคคลเข้ามาอยู่ในองค์กรอิสระ แต่ก็ไม่ได้ผล ดังนั้น รธน.ปี 50 ก็ได้ลดความสำคัญของสถาบันวิชการลง และเพิ่มให้กับสถาบันศาล แต่อำนาจต้องเป็นอำนาจตรวจสอบ ไม่ใช่อำนาจที่จะใช้บริหารหรืออำนาจทางนิติบัญญัติเอง อย่างไรก็ตามบางมาตราก็มีการก้าวล่วงในเรื่องอำนาจ ซึ่งคิดว่ายังขาดความเหมาะสม
เมื่อถามว่า สังคมไทยหรือผู้ใหญ่ควรจะเป็นผู้แก้ปัญหาความขัดแย้ง นายธีรยุทธ กล่าวว่า ในพื้นฐานสังคมจะต้องตัดสินด้วยตัวเองให้มากที่สุด โดยเฉพาะกระบวนการของประชาชน แต่ก็ยังมีภาระหน้าที่ที่คนอื่นทำได้ เช่น หน้าที่ในการออกมาแสดงความเห็น ทัศนคติเตือนสติคนก็เป็นหน้าที่ของนักวิชาการ ไม่ทำก็ไม่ได้ แต่อย่าไปมอบหมายให้ให้เกินสถานะหรือบทบาท