xs
xsm
sm
md
lg

พันธมิตรฯ ดับเครื่องชนชุมนุมใหญ่ต้านแก้ รธน.ปกป้อง "สถาบันเบื้องสูง"

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

"พันธมิตรฯ" ประกาศเดินหน้าไม่มีถอย ค้านแก้รัฐธรรมนูญ แบบเบ็ดเสร็จ หากดื้อแพ่งดันเข้าสภาเมื่อไร ชุมนุมใหญ่แน่นอน ชี้หากจริงใจแก้เพื่อประชาชน ควรทำประชามติเสียก่อน "สนธิ" ชี้กระบวนการโค่นล้มรัฐธรรมนูญ-สถาบันเบื้องสูง กำลังเหิมเกริมหนัก ลั่นศึกใหญ่ถอยไม่ได้แล้ว เตือนสติพรรคร่วมรัฐบาลอย่าหลงเล่ห์พลังแม้ว เพียงเพราะผวายุบพรรค กลายเป็นเครื่องมือช่วยล้างมลทิน แม้วและพวกพ้อง รวมทั้งเป็นการบ่อนทำลายสถาบันฯ ขณะที่ม็อบพลังแม้ว สุดถ่อย โชว์อนาจาร พร้อมปาหินใส่ประชาชนที่มาร่วมสัมมนา รวมทั้งสื่อ อาบเลือด

เมื่อวันศุกร์ที่ 25 เม.ย.ที่ผ่านมา แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ประกอบด้วย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายสมศักดิ์ โกศัยสุข นายพิภพ ธงไชย นายสนธิ ลิ้มทองกุล และนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ได้กล่าวบนเวที สัมมนาประชาชน-ติดอาวุธทางปัญญา ในรายการ "ยามเฝ้าแผ่นดินภาคพิเศษ ครั้งที่ 2 " ซึ่งได้ดำเนินการสัมมนาตั้งแต่เวลา 16.00-22.00 น. ณ หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยมีผู้เข้าร่วมสัมมนาหลายพันคน

พล.ต.จำลอง ศรีเมือง กล่าวว่า ที่ประชุมของพันธมิตรฯได้ประเมินสถานการณ์เห็นว่า ขณะนี้มีปรากฏการณ์หลายเรื่องที่จะพยายามจะมาล้มล้างสถาบันที่เราเคารพรัก ถ้าประชาชนไม่ออกมาช่วย ใครจะออกมา และเรื่องการพยายามทำลายสถาบันที่เราเคารพรัก จนถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทำให้ขณะนี้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย รอไม่ได้อีกแล้ว เพราะมีพันธมิตรฯในต่างจังหวัดรอชุมนุมอยู่ พวกที่จ้องทำลายองคมนตรี ก็คือพวกเดียวกันกับพวกที่จ้องแก้รัฐธรรมนูญ

"สนธิ" แฉล้ม รธน.-สถาบันเบื้องสูง

ด้าน นายสนธิ ลิ้มทองกุล กล่าวว่า กลุ่มนี้พยายามตลอดเวลาที่จะแก้รัฐธรรมนูญ และเป็นการพยายามเพื่อตัวเอง ซึ่งพวกเขาไม่ฟังเสียงของประชาชน 14 ล้านเสียงที่ลงประชามติไป ถึงแม้ว่าจะไม่เห็นด้วยกับมาตรา 237 และ 309 แต่ไม่เป็นประเด็นที่ใหญ่ที่สุด เราเพียงแค่เรียกร้องขอให้ผ่านกระบวนการประชามติเสียก่อน แล้วค่อยมาดูว่าจะแก้กันตรงไหน แต่การดึงดันโดยไม่ฟังเสียงใครเลย ยิ่งทำให้พรรคพลังประชาชนแก้รัฐธรรมนูญ เป็นการแก้ปัญหาให้ตัวเอง หากวันไหนที่จะมีการผลักดันเข้าสภา วันนั้น พันธมิตรฯจะประกาศชุมนุมทันที และประกาศให้ประชาชน 14 ล้านเสียง รู้ว่าเราจะชุมนุมอย่างสันติ และอหิงสา

นายสนธิ กล่าวว่า การสัมมนาครั้งนี้ จะเป็นครั้งสุดท้ายของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แต่ในส่วนของตน ก็จะมีการปาฐกถาให้ความรู้ ซึ่งในขณะเดียวกันจะดูว่ารัฐบาลจะมีสติในการแก้ไขปัญหาของประเทศชาติหรือไม่ แต่ถ้าไม่มี การชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก็จะเกิดขึ้นอีกครั้ง

นายสนธิ กล่าวย้ำว่า สถานการณ์ในขณะนี้ไม่ใช่วิกฤตเพียงอย่างเดียว แต่เป็นโศกนาฏกรรมที่ประชาชนใกล้จะทำสงครามระหว่างกันตามที่ นายจักรภพ เพ็ญแข ต้องการแล้ว และเป็นการต่อสู้ของประชาชนฝ่ายที่ยืนหยัดในความถูกต้อง กับอีกฝ่ายที่ไปหลอกต้มประชาชน ส.ส. และนักการเมือง โดยเตือนไม่ให้ ส.ส.พรรคพลังประชาชนและพรรคร่วมรัฐบาลไม่ให้ตกเป็นเครื่องมือของกลุ่มที่กำลังจะทำลายสถาบันต่างๆ

นายสนธิ ระบุว่า เป็นที่เข้าใจกัยแล้วว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้เพื่อหนีคดียุบพรรค และคดีทุจริต พร้อมทั้งเตือนสติ ส.ส.พรรคพลังประชาชชนว่ากรณีหากมีการยุบพรรคจริง คนที่เดือดร้อนคือกรรมการบริหารพรรคไม่กี่คน ขณะที่ ส.ส.สามารถไปหาพรรคใหม่ได้

นายสนธิ ยังระบุอีกว่า การล้มรัฐธรรมนูญในครั้งนี้เกิดขึ้นจากกระบวนการ 3 ประการ เป็นกระบวนการทำลายสถาบันต่อเนื่องมากว่า 3 ปี จนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการทำพิธีในวัดพระแก้ว เว็บมนุษยด็อทคอม กลุ่มนักการเมืองฝ่ายซ้ายที่อกหักนิยมในลัทธิมาร์กซ์ ไม่เปลี่ยนแปลง

นายสนธิ ยังตั้งข้อสังเกตถึงกรณีการทำสกู๊ปการโค่นล้มสถาบันกษัตริย์ในประเทศเนปาล ของสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 กรมปราสัมพันธ์ หรือการให้สัมภาษณ์ต้องการเห็นสงครามประชาชนของ นานจักรภพ เพ็ญแข หรือมีเว็บไซต์ไฮทักษิณ ที่โจมตีสถาบันสูงสุด

"ทุกอย่างกรรมส่อเจตนา และไม่เคยมีครั้งไหนที่สถาบันสูงสุดถูกลบหลู่เท่ากับในยุคที่พรรคไทยรักไทยต่อเนื่องมาจนถึงรัฐบาลพรรคพลังประชาชน"

นายสนธิ ยังชี้ให้เห็นถึงกระบวนการดังกล่าวอีกว่า ยังผสมโรงกับนักการเมืองชั่ว แถวบุรีรัมย์ และเชียงราย ซึ่งกลุ่มนี้ที่ต้องการแค่อำนาจและความร่ำรวย คนพวกนี้ก็มาเข้าร่วมกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ต้องการอำนาจและความยิ่งใหญ่ โดยกล่าวว่าสังคมเกิดความผิดเพี้ยน ที่มีการต้อนจำเลยของแผ่นดินยิ่งกว่าเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน

ส่วนกลุ่มสุดท้ายที่ นายสนธิ กล่าวถึงคือ กลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่ไม่รู้ประวัติศาสตร์ถูกล้างสมองเรื่องสถาบันกษัตริย์ จนนำไปสู่กรณีที่มีนักศึกษาคนหนึ่ง ถึงกับไม่ยืนถวายความเคารพในโรงภาพยนต์ แล้วนำไปสู่การแจ้งจับกุมดำเนินคดี ขณะเดียวกันมีข้อสังเกตว่า ในช่วงที่ให้สัมภาษณ์นักศึกษาคนนี้มีผู้สนับสนุนชูป้ายเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อต้องการยกระดับการต่อสู้ไปสู่สากล

นายสนธิ ยังได้ถามพรรคร่วมรัฐบาลถึงเงื่อนไขในการร่วมรัฐบาลก่อนหน้านี้ เมื่อเห็นพฤติกรรมที่โค่นล้มสถาบันแบบนี้จะยังอยู่สนับสนุนอยู่ต่อไปอีกหรือ

นายสนธิ ยังชี้ให้เห็นอีกว่า หากมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญสำเร็จ ก็จะมีการยุบสภา แล้วจะได้รับการเลือกตั้งกลับมาใหม่จำนวน300-400 เสียง ถึงตอนนั้น อาจจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญในหมวดที่ 1-2 ก็ได้

"ศึกครั้งนี้เป็นศึกใหญ่ที่สุดในชีวิต เป็นความอยู่รอดของบ้านเมือง ถ้าต้องการ รักษาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เราต้องสู้ เราจะถอยไม่ได้ เพราะถือว่าเป็นการขุดรากเหง้าของเรา" นายสนธิ ระบุ

นายสมศักดิ์ โกศัยสุข กล่าวว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญของเขาไม่ได้ทำเพื่อคนส่วนใหญ่ ซึ่งตนขอฝากไปถึงพรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรค อยากจะเตือนสติ การที่จะเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นการทำลายหลักรัฐธรรมนูญของประเทศ เพราะเราเพิ่งได้รัฐธรรมนูญมา

ด้านนายพิภพ ธงชัย กล่าวว่า การพิจารณารัฐธรรมนูญกำลังจะบานปลาย ถ้าไม่ระวังสถานการณ์เช่นนี้อาจจะลามไปถึงองคมนตรี ซึ่งจะทำให้เกิดวิกฤติใหญ่ การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ของรัฐบาลชุดนี้ ต้องการให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลับเข้ามามีอำนาจในสังคมไทย ตนคิดว่าพรรคพลังประชาชน และพรรคร่วมรัฐบาลควรจะถอนตัว และไม่ควรร่วมแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ เพราะเกรงว่าจะทำให้เกิดสถานการณ์วิกฤติครั้งใหญ่

"อยากถามว่า ทำไมไม่กล้าทำประชามติ แต่กลับกล้าที่จะยุบสภา อยากบอกว่า การทำประชามติกับการเลือกตั้งเป็นคนละเรื่องกัน อยากให้นายกรัฐมนตรี(นายสมัคร สุนทรเวช) ต้องแยกให้ชัด และประชาชนอย่าไปหลงที่นายกรัฐมนตรีพูด จะทำให้ไขว้เขว" นายพิภพ กล่าว

นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ กล่าวว่า อยากจะพูดอย่างหนักแน่นก่อนที่การชุมนุมจะเกิดขึ้น จะเห็นว่ารัฐบาลทำตัวเป็นสิ่งปฏิกูลในสภา และกำลังจะเดินหน้าทำภารกิจ 2 อย่าง คือ 1. ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และพวกพ้องพ้นจากคดี 2. ให้ระบอบทักษิณฟื้นชีพ และให้ระบบองค์กรอิสระอ่อนแอ โดยสร้างตัวประกันขึ้นมา 3 ตัวประกัน 1.ใช้ประชาชนรากหญ้าเป็นตัวประกัน 2.ใช้ที่พรรค 3 พรรคที่กำลังจะถูกยุบ และ 3. รัฐบาล ทั้ง 3 ตัวประกันที่กำลังจะนำไปสู่วิกฤติแห่งชาติ

"เพ็ญ" จะไม่มีแผ่นดินอยู่เหมือนนาย

นายสมเกียรติ กล่าวต่อว่า ขณะนี้ นายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ต้องถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ เพราะได้ให้สัมภาษณ์ในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง โดยได้วิพากษ์วิจารณ์ถึงศักดินาอย่างสาดเสียเทเสีย จึงเป็นการที่น่าสะพรึงกลัว และมีสถานีโทรทัศน์บางช่องที่มีเจตนาร้ายดำเนินการโดยฉายสารคดีโค่นล้มระบอบพระมหากษัตริย์เนปาล อย่าบอกว่าเป็นการก้าวล่วง

"ผมไม่อยากจะพูดว่า 14 ตุลา และพฤษภาทมิฬ มีคนไปเผากรมประชาสัมพันธ์ อยากจะบอกว่า สถานีทีวีช่องนี้โปรดเตรียมตัวให้ดี ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนว่าประชาชนเป็นเจ้าของ และผู้เสียภาษีประมาณล้านคนจะลุกขึ้นมา และการที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ตัดสินใจชุมนุม เป็นการสัประยุทธทัพครั้งสุดท้าย เดินหน้าไม่ถอย" นายสมเกียรติกล่าว

สำหรับเงื่อนไขท่าทีของพรรคเพื่อแผ่นดิน ในการประชุมกลุ่มของพรรคร่วมรัฐบาลนั้น นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า ที่พันธมิตรฯ ได้มีการประชุมก่อนหน้านี้ และประเมินสถานการณ์เป็นระยะ โดยคาดการณ์ว่า ท่าทีในการประชุมของ 6 พรรค ในสัปดาห์หน้าอาจมีผลให้พันธมิตรฯ ต้องปรับรูปแบบการเคลื่อนไหว อาจจำเป็นต้องลงถนนอีกครั้ง โดยจัดรูปแบบเป็นการชุมนุมที่หน้าทำเนียบรัฐบาลหรือสนามหลวง รูปแบบการสัมมนาในร่มอาจไม่เพียงพอแล้ว

สู้ขั้นแตกหัก หากยังดันทุรังแก้ รธน.

นายปราโมทย์ นาครทรรพ นักรัฐศาสตร์อาวุโส กล่าวว่า น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ได้เรียกร้อง และประกาศชัดใน 3 ประการคือ 1.ยืนกราน 2.แตกหัก 3.ยืนหยัด ประเทศไทยต้องปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย.ที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขเท่านั้น ซึ่งเราต้องยึดมั่น แต่ขณะนี้มีหลายฝ่ายเป็นห่วงเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่าจะเกิดการนองเลือด ซึ่งขณะนี้ตนคิดว่า ถึงเวลาแล้วที่จะต้องต่อสู้ให้แตกหัก เราต้องยืนกราน เพราะพวกเราต้องการให้พวกเราประสบความสำเร็จ ไม่ให้รัฐบาลใช้อำนาจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อพวกพ้อง ซึ่งคงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แต่เราต้องไม่ท้อถอย

ซึ่งเราต้องหวังบุคคล 3 คน คือ 1. คือ นายประเสริฐ นาสกุล ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ผู้วินิฉัยฉัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรอดีตนายกรัฐมนตรี กระทำผิดในคดีซุกหุ้น 2. นายคณิต ณ นคร รองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ที่รู้ว่าพรรคไทย ทรท.จะเดินหน้าทำกฎหมายให้ผิดซึ่งเป็นการทำลายกม. ไม่ได้จึงลาออกมา เพราะถ้าไม่ถือว่ากฎหมายบ้านเมืองเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์บ้านเมืองก็วิกฤติอยู่ไม่ได้ และ3 นพ.วิจารณ์ แพทย์ ม.มหิดล ผู้ให้ความเห็นโดยสุจริตในหลายเรื่อง เช่นการตัดสินของศาล หรือการเลือกตั้งที่ไม่สุจริต

รธน.50 ป้องกันนักการเมืองยึดอำนาจ

น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ อดีตประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวอย่างชัดเจนว่า ประชาชนตื่นตัวขึ้นมาต่อต้านนักการเมืองที่ฉกฉวยประโยชน์ เข้ามาบริหารบ้านเมืองเพื่อพวกพ้อง ซึ่งเจตนารมณ์ของการยกร่างรัฐธรรมนูญปี 50 เพื่อป้องกันการผูกขาดควบรวมพรรคการเมือง การแทรกแซงองค์อิสระ ไปจนถึงรัฐสภา และที่สำคัญรัฐธรรมนูญปี 50 ได้ให้สิทธิของประชาชนเพื่อป้องกันนักการเมืองใช้อำนาจมิชอบ

ทั้งนี้ วัตถุประสงค์ของการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ เพื่อหนีคดียุบพรรคและคดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กับพวกอีก 110 คน และที่สำคัญเป้าหมายเพื่อคนๆ เดียว โดยสั่งผ่านตัวแทน(นอมินี) โดยให้สังเกตเป้าหมาย 4 ประการของการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ คือ1. รีบโยกย้ายข้าราชการระดับสูง เพื่อปูฐานอำนาจและรวบอำนาจ 2. ควบคุมและแทรกแซงสื่อ โดยเฉพาะสื่อของรัฐ 3. มีขบวนการใต้ดินทำลายปูชนียบุคคล และทำลายสถาบันต่างๆและ 4. จัดขบวนการไม่ให้ยืนถวายความเคารพในโรงภาพยนต์

"เป้าหมายเชื่อว่าไม่ใช่แค่แก้รัฐธรรมนูญ วันข้างหน้าอาจเกิดเหตุการณ์คาดไม่ถึงว่า เป้าหมายของคนพวกนี้ต้องการอะไร" น.ต.ประสงค์ กล่าว และชี้วิกฤตที่ประชาชนกำลังประสบอยู่ในขณะนี้คือ "ปัญหาข้าวยากหมากแพง แต่กลับมีคนพวกหนึ่งคิดจะแก้รัฐธรรมนูญ ยุยงให้เกิดความแตกแยก ให้เกิดการเผชิญหน้า ทำให้ประชาชนเกิดความสิ้นหวังกับรัฐบาลชุดนี้ ชาวบ้านรับไม่ได้ตั้งแต่หัวแถวยันท้ายแถว เรื่องที่ควรทำกลับไม่ทำ แต่เรื่องไม่ควรทำกลับเร่งทำ ลุกลี้ลุกลนจะแก้รัฐธรรมนูญ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ปัญหาของประชาชน แต่เป็นปัญหาของนักการเมืองกลุ่มหนึ่งเท่านั้น"

รัฐบาลพยายามคุมองค์กรอิสระ

นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ 2550 กล่าวว่า ในช่วงที่บ้านเมืองกำลังมีวิกฤติข้าวยากหมากแพง ภาคใต้มีการฆ่ากัน แต่คนที่มาปกครองประเทศกลับหวังแต่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อตัวเองแล้วอ้างว่าแก้เพื่อประเทศชาติ

นายเจิมศักดิ์ กล่าวต่อว่า ถ้าดูให้ดี จะเห็นว่าความพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ต้องการตัดตอนกระบวนการยุติธรรม ไม่ว่าจะเป็นมาตรา 237 เพื่อให้พ้นจากการยุบพรรค มาตรา 309 ต้องการตัดตอนคดีทุจริตของรัฐบาลชุดเก่าและ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร สิ่งที่คืบคลานต่อไปอีกคือต้องการเปลี่ยนรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ตัวเองแทรกแซงองค์กรอิสระที่ขณะนี้เขาควบคุมไม่ได้ จึงคิดที่จะเอารัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 เข้ามาใช้แทน เพื่อจะเปลี่ยนระบบการสรรหาองค์กรอิสระให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ 2540 ที่พรรคการเมืองใหญ่เข้าไปแทรกแซงได้

นายเจิมศักดิ์ กล่าวว่า ตนเคยเป็นสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) เคยตรวจสอบการแทรกแซงด้วยความเจ็บปวดมาโดยตลอด เมื่อมีโอกาสได้มาร่างรัฐธรรมนูญ 2550 จึงหวังจะอุดช่องว่างไม่ให้นักการเมืองเข้ามาแทรกแซงได้ ตนเคยเป็นบรรณาธิการหนังสือเรื่อง "รัฐธรรมนูญตายแล้ว" ซึ่งก็คือรัฐธรรมนูญ 2540 ที่ถูกบิดเบือน ละเว้น แก้ไข ชอนไช โดยศาลรัฐธรรมนูญชุดเดิมที่ไม่ได้เรื่อง เพราะฉะนั้นเขาจึงอยากกลับไปใช้รัฐธรรมนูญที่ตายแล้ว

นายเจิมศักดิ์ ได้ตั้งคำถามกับ 2 พรรคร่วมรัฐบาล คือ พรราติไทย และเพื่อแผ่นดิน ซึ่งเคยตั้งเงื่อนไข 5 ข้อ ในการเข้าร่วมรัฐบาลคือ 1.ต้องจงรักภักดี เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ 2.ต้องไม่ก้าวล่วงองคมนตรี 3.ต้องไม่ล้างแค้นทางการเมือง สร้างความปรองดอง 4.ต้องไม่ออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้กับผู้ที่กระทำผิด และ 5.คดีความของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต้องเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม

อย่างไรก็ตาม เมื่อดูท่าทีของทั้ง 2 พรรคในขณะนี้ สถานการณ์มันบอกแล้วว่า เรื่องความจงรักภักดีนั้นเขาจงรักภักดีเทิดทูนฯ มากน้อยแค่ไหน เรื่องการไม่ก้าวล่วงองคมนตรี แต่เมื่อเช้าปล่อยให้มีคนไปด่า พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ที่หน้าบ้านพัก เรื่องการไม่ล้างแค้น เรากลับพบว่าการโยกย้ายข้าราชการหลายตำแหน่ง เรื่องไม่นิรโทษกรรมให้ผู้ที่ทำผิด แต่จะแก้มาตรา 237 และมาตรา 309 ซึ่งก็คือเป็นการนิรโทษ เรื่องคดีของ พ.ต.ท.ทักษิณจะให้เป็นไปตามตามกระบวนการยุติธรรม แต่กลับจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อเข้าไปแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม แต่พรรคร่วมรัฐบาลทั้ง 2 พรรค ก็ไม่เห็นว่าอย่างไร

ต่อมานายเจิมศักดิ์ ได้อ้างหนังสือของท่านหนังสือของพระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตโต) เรื่อง "จุดหมายของงานการเมือง" ซึ่งได้อธิบายลักษณะของนักการเมืองว่าเป็นพวกที่มีแต่ความอยาก ตัณหา คิดแต่จะเอาประโยชน์เข้าตัวเอง โดยยกตัวอย่าง กรณีที่นายสมัคร สุนทรเวช อ้างว่าต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 เพราะจะมีการยุบพรรค ไม่เช่นนั้นจะอยู่ไม่ได้ นอกจากนี้นักการเมืองยังคิดแต่จะให้ตัวเองยิ่งใหญ่ อยากได้อำนาจ โดยนำภาพเหตุการณ์ที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ขึ้นไปอาละวาดด่าตำรวจและสื่อมวลชนบน สน.ทองหล่อ เมื่อเดือนตุลาคม 2543

นายเจิมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ขณะนี้บ้านเมืองกำลังเกิดอาเพศ เพราะมีคนทำให้เกิด อาจารย์บังคับให้นักศึกษาอม "นกเขา" ซึ่งพฤติการณ์แบบนี้ไม่ต่างจากนายจักรภพ เพ็ญแข รมต.สำนักนายกฯ เพราะ 1.อาจารย์มหาวิทยาลัยคิดว่าตัวเองมีอำนาจเหนือนักศึกษา ขณะที่นายจักรภพ ก็คิดว่าตัวเองมีอำนาจเหนือวิทยุชุมชน 2. อาจารย์คิดว่าตัวเองมีอำนาจข่มขู่เรียกสินบนเอาประโยชน์ใส่ตัว ถ้านักศึกษายินยอม นายจักรภพ ก็คิดว่าตัวเองมีอำนาจบีบให้วิทยุชุมชนเสนอข่าวรัฐบาลวันละ 2-3 ชั่วโมง แลกเปลี่ยนกับการไปเจรจาตำรวจไม่ให้จับกุม

นายเจิมศักดิ์ ย้ำว่า สิ่งเหล่านี้สอดคล้องกับที่ท่านประยุตบอกว่า การเมืองมีปัญหาเพราะนักการเมืองตกอยู่ภายใต้ตัณหา มานะทิฐิ ทั้งหมดต้องการใช้สถานะตำแหน่งของการมีอำนาจบังคับข่มขืนใจให้คนอื่นทำตามตัวเองให้บรรลุจุดสุดยอด ซึ่งวิธีการอย่างนี้ผู้ชายแท้ๆ หรือผู้หญิงแท้ๆ เขาไม่ทำกัน

สำหรับทางออกของปัญหานั้น นายเจิมศักดิ์ ได้อัญเชิญพระราชดำรัสของประบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระราชทานแก่คณะตุลาการศาลปกครองและประธานศาลฎีกา เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2549 ที่ทรงขอร้องให้ศาลออกมาแก้ปัญหาวิกฤติการณ์ทางการเมืองขณะนั้น ซึ่งถือว่าเป็นวิกฤติที่สุดในโลก โดยพระองค์ทรงย้ำให้ประธานศาลฎีกาไปหารือกับศาลอื่นๆ จะทำอะไรต้องรีบทำ ไม่เช่นนั้นบ้านเมืองจะล่มจม

หนีความผิด เมินแก้วิกฤตชาติ

นางอังคณา นีละไพจิตร ภรรยาทนายสมชาย และประธานคณะทำงานยุติธรรมเพื่อสันติภาพ ในฐานะอดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ(ส.ส.ร.) กล่าวว่า วันนี้ คนที่เสียอำนาจ พยายามที่จะกลับเข้ามาทวงคืนอำนาจกลับไปเพื่อพวกพ้องของตัวเอง ทำให้คนไทยได้รับบทเรียนซึ่งก็คือ ระบอบอำนาจที่ไม่ชอบธรรม และวันนี้คนเหล่านั้นกำลังกลับเข้ามาใช้อำนาจข่มเหงประชาชนเหมือนในอดีตเช่นเดิม จึงอยากถามว่า คนที่นำการปฏิวัติ กับคนที่ใช้อำนาจเผด็จการนั้น ใครทำร้ายประชาชนมากกว่ากัน และชี้ให้เห็นถึงสภาพสังคมไทยในยุครัฐบาลนี้ว่า ดื้อดึงไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของประชาชน โดยไม่ยอมให้มีการทำประชาพิจารณ์ก่อนที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2550 ทั้งๆ ที่ อดีตส.ส.ร.นั้น ไม่ได้ร่างกฎหมายยึดติดกับรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าว เพราะยังมีบทเฉพาะกาล คือ สามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ และยังเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถยื่นรายชื่อโดยตรงเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วยตัวเองได้โดยไม่ต้องผ่านสภา

"เราแปลกใจที่รัฐบาลเพิ่งเข้ามารับตำแหน่ง แต่กลับกุลีกุจอที่จะเร่งแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยไม่เอาใจใส่ปัญหาที่สำคัญยิ่งของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่าครองชีพ ราคาน้ำมันแพง รวมทั้งราคาค่าข้าวสารที่กำลังพุ่งสูงขึ้น แล้วประชาชนจะอยู่ได้อย่างไร อีกทั้งเขาไม่เคยใส่ใจที่จะลงไปแก้ปัญหาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งๆที่ รัฐบาลเป็นคนจุดเชื้อไฟด้วย" นางอังคณา กล่าว

ทุนนิยมการเงินทำให้สังคมเสื่อมโทรม

นายสมเกียรติ รอดเจริญ ผู้นำแรงงาน และอดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวว่า กฎหมายและสังคม ขณะนี้จากที่เคยมีอยู่ในวัฒนธรรมที่ดี ประเพณีที่ดี ปัจจุบันเสื่อมทรามลง บ้านเราก็มองเห็นว่าสังคมเราแย่ อีกหน่อยไม่ต้องใช้แล้วกฎหมาย วิ่งหาผู้มีอำนาจ จบ สิ่งสุดท้ายที่ชัดเจนสุดบ้านเรา ใครร่ำรวยมีเกียรติมีศักดิ์ ยิ่งใหญ่ เงินเป็นใหญ่ ในจีนก็เกิดขึ้นแล้ว แล้วในบ้านเราล่ะเกิดขึ้นมานานแล้วหรือยัง เงินเป็นใหญ่สามารถทำให้ผีโม่แป้งได้ คนแสวงหาเงิน อำนาจ เพื่อเงิน และเพื่อเก็บอำนาจไว้ วนเวียนอยู่กับสองสิ่งนี้ จะได้มาด้วยความถูกต้อง หรือเลวอย่างไรก็ตามแต่ขอให้มีอำนาจ แล้วไปหาเงินเก็บไว้เพื่อไปหาอำนาจต่อๆไป

"เมื่อเงินเป็นใหญ่ทำให้วิกฤตในสังคม อันตรายมาก จึงเป็นเหตุให้เกิดการแก้กฎระเบียบที่เราอยู่ร่วมกันขณะนี้ พูดง่ายๆ ความถูกต้องชอบธรรมด้อยกว่าการมีพวกมากลากไป มีเงินเสียอย่างจะทำอะไรก็ได้ ใครจะทำไม นี่คือมูลเหตุแห่งการแก้กติกา กฎหมายและรัฐธรรมนูญเพื่อประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้อง ไม่สนใครทั้งสิ้น ถ้าจะแก้จริงๆ เพื่อนในคุกผมฝากมาบอกว่า ให้ช่วยแก้ด้วยว่าคนปล้น คนฆ่าใครก็ไม่ผิด"นายสมเกียรติ กล่าว

ผบ.สส. ยันไม่ใช่ทำเพื่อพวกพ้อง

พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด กล่าวถึงการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯว่า การชุมนุมมีมาหลายครั้งแล้วไม่มีอะไรน่าห่วงมาก เพราะเจ้าหน้าที่รู้หน้าที่ดี แต่ต้องไม่ประมาท การชุมนุมเป็นเรื่องธรรมดาในระบอบประชาธิปไตย ถ้าอยู่ในขอบเขตก็ไม่มีปัญหา

แต่เมื่อถามว่า หากประชาชนสองฝ่ายเกิดการปะทะกัน ทหารจะเข้ามาดูแลหรือไม่ พล.อ.บุญสร้าง กล่าวว่า มีขั้นตอนระเบียบปฏิบัติชัดเจนว่าเกิดความขัดแย้ง วุ่นวายรุนแรงถึงขั้นไหน ถ้าไม่ถึงขั้นวิกฤต หรือมิคสัญญี ทหารจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้อง จะดูแลความเรียบร้อยทั่วๆ ไป เป็นหน้าที่ของตำรวจ คิดว่าเหตุการณ์คงไม่ถึงขั้นนั้น และกรณีที่มีกระแสข่าวทหารมีการสั่งเช็กกำลังเพื่อเตรียมปฏิวัตินั้นคงเป็นกระแสข่าวที่ปั่นกันในหมู่สื่อมวลชน ซึ่งตนไม่เคยได้ยิน และไม่น่าจะมีมูล ขอยืนยันว่าไม่มีการสั่งเช็กกำลัง

ต่อกรณีที่ขณะนี้มีการมองว่า รัฐบาลพยายามรวบรัดดำเนินการแก้รัฐธรรมนูญ โดยไม่ฟังเสียงทัดทาน พล.อ.บุญสร้าง กล่าวว่า จะทำเร็วหรือช้าต้องดูเหตุผล และเหตุผลนั้นต้องบริสุทธิ์ มุ่งเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติเป็นส่วนรวม เพราะถ้าเป็นเหตุผลเพื่อตัวเองและเพื่อกลุ่ม ซึ่งมีอยู่หลายกลุ่ม ยิ่งคุย ก็ยิ่งไม่รู้เรื่อง แต่ถ้ามุ่งไปที่ส่วนรวมเป็นหนึ่งเดียว จะทำให้เกิดความร่วมมือ

แคนาดาร่วมต้านแก้ รธน.50

ในด้านพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยสหรัฐอเมริกา-แคนาดา ได้ออกแถลงการณ์ ฉบับที่ 3/2551ลงวันที่ 24 เม.ย.นี้ เรื่อง "ขอสนับสนุนการเคลื่อนไหวต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปี 2550" ว่า

"ดังที่เห็นกันแล้วว่า ขบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญของกลุ่มตัวแทนทุนสามานย์ระบอบทักษิณ ได้ใช้เล่ห์เหลี่ยมกลยุทธ์พลิกแพลง หลอกลวงประชาชนอย่างต่อเนื่อง เมื่อประชาชนรู้ทันก็ยิ่งเดิมเกมเปลี่ยนแผนหมายล้มล้างรัฐธรรมนูญปี 2550 ทั้งฉบับ โดยมิได้คำนึงถึงเสียงของประชาชนที่ได้ร่วมกันแสดงประชามติมากกว่า 14 ล้านเสียง ซ้ำยังลวงตาประชาชนด้วยการพยายามฟื้นคืนชีพ รัฐธรรมนูญ ปี 2540 ด้วยจุดมุ่งหมายเดิม คือ มาตรา 237 และมาตรา 309 การอ้างว่ารัฐธรรมนูญปี 2540 เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายนั้น เป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง "คำแถลงการณ์ พร้อมระบุว่า

ที่ประชุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยสหรัฐอเมริกาและเครือข่าย มีมติเห็นด้วยและขอสนับสนุนการเคลื่อนไหวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและเครือข่ายภาคประชาชนในส่วนต่างๆ ทั่วประเทศและต่างประเทศ ในการคัดค้านและร่วมต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปี 2550 อย่างถึงที่สุด

พันธมิตรฯ ชลบุรี ถูกตำรวจสกัด

นางจุฑามาศ เลิศศิลปชัย สมาชิกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จ.ชลบุรี กล่าวภายหลังเดินทางมาถึงหอประชุมใหญ่ ม.ธรรมศาสตร์ ตนเองและพวกกว่า 20คน ซึ่งเดินทางด้วยรถตู้เช่า 2 คัน ถูกตำรวจนอกเครื่องแบบพยายามเข้ามาสอบถามข้อมูล ว่ามีใครจะเดินทางมาร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรฯ แต่ท้ายที่สุดก็สามารถเคลื่อนรถออกเดินทางมาได้

"การสกัดดังกล่าวไม่ส่งผลให้พวกเรามาเข้าร่วมกิจกรรมกับกลุ่มพันมิตรประชาชนฯ ที่ กทม.ไม่ได้ หากมีนัดหมายกันอีกในอนาคต ก็จะใช้วิธีการหลบเลี่ยงเพื่อเดินทางมาได้ในที่สุด" นางจุฑามาศ ระบุ

ตร.คุมเข้มรักษาความปลอดภัย

พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) เดินทางมายังม.ธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์) เพื่อดูแลความสงบเรียบร้อยในการจัดการสัมมนาของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พร้อมยืนยัน สถานการณ์ทุกอย่างยังเป็นไปโดยสงบเรียบร้อย และถึงแม้จะมีประชาชนเดินทางเข้ามาจากหลายจังหวัดทั่วประเทศ แต่เจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้มีการสกัดกั้นแต่อย่างใด ทั้งนี้ จากการประเมินผู้เข้ารับฟังการสัมมนาภายในหอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีประมาณ 4,000 คน ส่วนกลุ่มต่อต้านที่อยู่บริเวณท้องสนามหลวง มีอยู่ประมาณกว่า 200 คน

เปิดเพลงลดแรงเผชิญหน้า

ขณะที่สถานการณ์บริเวณม.ธรรมศาสตร์ เจ้าหน้าที่ตำรวจปรับแผนการควบคุม โดยได้นำรถ 6 ล้อ และรถควบคุมผู้ต้องหา ของกองบัญชาการตำรวจนครบาลมาจอดไว้ที่หน้าประตูม.ธรรมศาสตร์ และมีการเปิดเพลง รักกันไวเถิด เสียงดัง เพื่อให้ผู้ชุมนุมที่อยู่ภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ไม่เห็นหน้า หรือได้ยินเสียงด่าทอของกลุ่มต่อต้าน โดยเชื่อว่าจะเป็นส่วนหนึ่งในการลดการเผชิญหน้ากัน

อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ตำรวจสน.ชนะสงคราม ได้จับกุมนายศราวุธ ศรีภิรมย์วิทย์ อายุ 27 ปี นักศึกษาม.รามคำแหง คณะนิติศาสตร์ หลังก่อเหตุขว้างก้อนหินจากฝั่งม.ธรรมศาสตร์ ใส่กลุ่มต่อต้านพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ชุมนุมอยู่บริเวณท้องสนามหลวง

ม็อบเถื่อน!!-ช่างภาพช่อง 7 หัวแตก

ผู้สื่อข่าวรายงานจากม.ธรรมศาสตร์ว่า ในช่วงดึกบริเวณหน้ามหาวิทยาลัยฯ เกิดเหตุวุ่นวายอันเนื่องมาจากม็อบต้านการสัมมนาของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งชุมนุมอยู่ทางฝั่งสนามหลวง ได้โชว์อนาจาร พยายามแสดงกิริยากักฬะ มาโดยตลอด รวมทั้งขว้างปาข้าวของ ขวดน้ำ ก้อนหิน เข้ามาภายในมหาวิทยาลัยอย่างต่อเนื่องนั้น

และเมื่อเวลา 22.30 น. นายเสรี อูมา ช่างภาพช่อง7 ได้ถูกม็อบปาหินโดนบริเวณคิ้วจนแตกเลือดไหลอาบเต็มหน้า ขณะที่นายเสรีกำลังทำหน้าที่สื่อมวลชน ถ่ายภาพเหตุการณ์อยู่ในบริเวณป้ายรถเมล์หน้าม.ธรรมศาสตร์ เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ต้องรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลเป็นการด่วน

นอกจากนี้ ในช่วงที่การสัมมนาใกล้ถึงเวลายุติ กลุ่มที่ก่อความวุ่นวายพยายามกระจายกำลังไปปิดกั้นประตูทางออกของม.ธรรม-ศาตร์ ด้วย
กำลังโหลดความคิดเห็น