xs
xsm
sm
md
lg

กบข.เพิ่มพอร์ตลุยนอก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

กบข.ขอเวลาอีก 3 เดือน เตรียมเพิ่มน้ำหนักลงทุนต่างประเทศเป็น 20% จาก 15% ในปัจจุบัน ดันพอร์ตลงทุนเมืองนอกขยับขึ้นเป็น 7 หมื่นล้านบาท เผยฉวยโอกาสทองช่วงค่าเงินบาทแข็ง ส่งเงินไปลงทุนพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้นล่วงหน้าแล้ว ก่อนจับจังหวะตลาดนิ่ง โยกเงินลงทุนหุ้น- Private Equity-อสังหาริมทรัพย์ต่อ ชี้ราคาน้ำมันยังเป็นตัวแปรสำคัญต่อการลงทุนทั่วโลก ส่วนความร่วมมือกับบลจ. นครหลวงไทย เล็งดึงกองทุนเอฟไอเอฟ เพื่อทางเลือกลงทุนให้สมาชิก

นายวิสิฐ ตันติสุนทร เลขาธิการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เปิดเผยว่า ภายใน 3 เดือนนี้ กบข.จะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในต่างประเทศเป็น 20% จากสัดส่วนการลงทุนในปัจจุบัน 15% หรือประมาณ 5.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนดังกล่าว จะทำให้ กบข.มีพอร์ตการลงทุนต่างประเทศรวมเป็น 7 หมื่นล้านบาท
โดยในช่วงที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นในช่วงที่ผ่านมา กบข.ได้โอนเงินบางส่วนไปลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นในต่างประเทศบ้างแล้ว เพื่อรอจังหวะการลงทุนในตลาดหุ้น การลงทุนใน Private Equity (การลงทุนทางเลือก) และการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลกในอีก 3 เดือนข้างหน้า โดยตราสารหนี้ดังกล่าวเป็นพันธบัตรต่างประเทศระยะสั้นอายุเฉลี่ยตั้งแต่ 1-3 เดือน ซึ่งรวมถึงการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลเกาหลีใต้ที่ให้ผลตอบแทนสูงในขณะนี้ด้วย
ทั้งนี้ ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นในขณะนี้ เป็นโอกาสที่น่าสนใจลงทุน เพราะการที่ค่าบาทแข็ง หากเราเอาเงินออกไปลงทุนในต่างประเทศก็จะได้เงินมากขึ้น ซึ่งการที่เราโยกเงินออกไปลงทุนในบัญชีต่างประเทศล่วงหน้าในตราสารหนี้ระยะสั้นก่อน ถึงเวลาที่ตลาดหุ้นผันผวนน้อยลง ก็สามารถโยกเงินลงทุนในหุ้นได้ทันที
“เราเองไม่ได้รอว่าอีก 3 เดือนที่เราจะลงทุนแล้วต้องโอนเงินไปตอนนั้น แต่การที่เราโอนเงินออกไปลงทุนในพันธบัตรระยะสั้นในต่างประเทศก่อน หากทุกอย่างผันผวนน้อยลงโดยเฉพาะตลาดหุ้น เราก็สามารถโยกเงินไปลงทุนต่อได้”นายวิสิฐกล่าว
นายวิสิฐกล่าวว่า สำหรับสาเหตุที่ กบข. ต้องรอจังหวะอีก 3 เดือนก่อนเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในต่างประเทศเป็น 20% เนื่องจากภาวะการลงทุนทั่วโลกในขณะนี้ ยังผันผวนอยู่อย่างต่อเนื่องจากปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) ในสหรัฐฯ โดยเฉพาะตลาดหุ้นทั่วโลก ซึ่งกบข. จะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนเป็น 12-13% จาก 10% ในปัจจุบัน ส่วนที่เหลือจะเป็นการลงทุนใน Private Equity และการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลก
ทั้งนี้ มองว่าปัจจัยที่ส่งผลต่อการการลงทุนทั่วโลกในขณะนี้ ยังเป็นปัญหาราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหลังจากนี้ ราคาน้ำมันเองคงจะไม่ปรับลดลงมาที่ระดับ 80 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลอีกแล้ว เพราะเชื่อว่าทุกคนมองค่าเฉลี่ยไว้ที่ 90-100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งการที่ราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้นดังกล่าว ส่งผลต่อโดยตรงต่อต้นทุนการผลิต ซึ่งในอนาคตก็ไม่มีใครสามารถคาดเดาได้ว่าจะขึ้นไปถึงไหน
นอกจากนี้ หากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐยังคงอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง ก็มีแนวโน้มที่ราคาน้ำมันจะปรับตัวขึ้นไปสูงได้อีก จนกว่าค่าเงินดอลลาร์สหรัฐจะเริ่มกลับมามีเสถียรภาพมากขึ้น ซึ่งอาจจะใช้เวลาจากนี้ไปประมาณ 4-6 เดือนข้างหน้า และน่าจะเห็นค่าเงินดอลลาร์เปลี่ยนทิศทางกลับมาแข็งค่าได้ภายในปลายปีนี้
สำหรับเพดานการลงทุนในต่างประเทศของกบข. ปัจจุบันอยู่ที่ 25% ซึ่งภายในปีนี้ คาดว่าจะสามารถลงทุนได้เพิ่มขึ้นเป็น 22.5-23% ซึ่งสัดส่วนการลงทุนดังกล่าวเป็นการลงทุนเต็มที่ของกบข. เนื่องจากต้องช่องว่างเพื่อให้สัดส่วนการถือครองหุ้นสามารถเคลื่อนไหวได้

**หุ้นไทยยังน่าสนใจ**
นายวิสิฐกล่าวถึงการลงทุนในตลาดหุ้นไทยว่า ยังคงมีความน่าสนใจ เนื่องจากในปัจจุบันราคาหุ้นยังคงอยู่ในระดับต่ำ และปรับลดลงน้อยกว่าตลาดหุ้นอื่นๆ ในภูมิภาคเดียวกัน ซึ่งทำให้ตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสที่จะปรับเพิ่มขึ้น หลังจากที่ปัจจัยลบต่างๆ ภายในประเทศเริ่มคลี่คลาย แต่ปัจจัยภายนอกประเทศ เช่น ปัญหาซับไพร์ม ยังคงเป็นตัวแปรหลักที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นทั่วโลกรวมทั้งตลาดหุ้นไทยด้วย ส่วนสัดส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นไทยรวมทั้งกระแสเงินสดของ กบข.ในปัจจุบันอยู่ที่ 12% โดยสัดส่วนของเงินสดมีอยู่ประมาณ 1-2%
ส่วนกรณีการขายหุ้นไอพีโอของ บมจ.เอสโซ่(ESSO) นั้น นายวิสิฐกล่าวว่า ยังไม่ขออกความคิดเห็นว่าสนใจการซื้อหุ้นไอพีโอของ ESSO หรือไม่ เนื่องจากในขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับหุ้นดังกล่าว ในขณะเดียวกันยังไม่ขอออกความคิดเห็นเช่นกันว่าหุ้นดังกล่าวจะสร้างความคึกคักให้กับบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยหรือไม่ หลังจากที่เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) เพราะต้องรอดูข้อมูลก่อน แต่ ESSO เป็นหุ้นโรงกลั่นที่อยู่ในกลุ่มพลังงาน ซึ่งจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุน ไปเป็นเงินทุนหมุนเวียนมากกว่าการนำไปขยายธุรกิจ

**ดึงกองทุนFIFเพิ่มทางเลือกให้ข้าราชการ**
นายวิสิฐกล่าวว่า สำหรับความร่วมมือกับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) นครหลวงไทย จำกัด หลังจากกบข.เข้าไปถือหุ้นในสัดส่วน 40% แล้ว ในอนาคตน่าจะมีความร่วมมือกันมากขึ้น โดยเฉพาะกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ที่กบข. กำลังทำอยู่ หลังจากก่อนหน้านี้ มีกองทุนคุ้มครองเงินต้นที่ออกมาให้สมาชิก กบข. ไปแล้ว
นอกจากนี้ กบข.ยังมีแผนที่นำกองทุนรวมต่างประเทศ (FIF) มาเป็นทางเลือกให้กับสมาชิกกบข. มากขึ้นด้วย เนื่องจากเราต้องการให้สมาชิกมีการกระจายการลงทุนมากขึ้น นอกจากการลงทุนในประเทศอย่างเดียว ซึ่งในอนาคตคงจะมีการจัดตั้งกองทุนใหม่ขึ้นมา ซึ่งอาจจะไม่จำเป็นต้องตั้งขึ้นมาเพื่อรองรับสมาชิก กบข. แต่เปิดขายให้กับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นลูกค้าของบลจ.ด้วย
กำลังโหลดความคิดเห็น