ท่านผู้อ่านที่เคารพ ถ้าเราถามบัณฑิตกฎหมายรุ่นใหม่ 10 คนว่าหลักกฎหมายที่เรียกว่า Mala Prohibita คืออะไร เกือบทั้งหมดจะตอบไม่ได้ นั่นแสดงว่ามาตรฐานการเรียนการสอนกฎหมายของประเทศเราตกต่ำลงไปมาก
เมื่อเป็นเช่นนี้ บุคคลทั่วไปหรือผู้ที่ลำเอียงถือหางพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองอยู่ จะมิยิ่งหนักกว่านี้หรือ
Mala Prohibita คือหลักกฎหมายว่าด้วยความผิดซึ่งอาจจะมิใช่ความชั่วร้ายในตัว แต่มีบทบัญญัติกฎหมายระบุห้ามไว้มิให้กระทำหรือจะต้องกระทำ หากผู้หนึ่งผู้ใดกระทำขึ้นหรือไม่กระทำตามที่กฎหมายสั่ง ถือว่าผู้นั้นกระทำผิด และมีระวางกำหนดไว้ให้ลงโทษผู้นั้นอย่างชัดแจ้ง
การกระทำผิดกฎหมาย Mala Prohibita นี้ไม่จำเป็นจะต้องไปตีความเลย เพราะถึงตีก็จะตีเป็นอื่นไม่ได้ อย่างไรก็จะต้องรับโทษตามที่กำหนดไว้
ผมแน่ใจว่า กกต.อัยการสูงสุดทุกท่าน ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทุกท่านต้องรู้หลัก Mala Prohibita นี้ดีทุกคน การที่ท่านผู้ใดจะละเว้นไม่นำหลักมาปฏิบัตินั้น เป็นเรื่องมหัศจรรย์ยิ่ง
กรณีของนายไชยา สะสมทรัพย์ นายมณเฑียร (พรรคชาติไทย) นายสุนทร วิลาวัณย์ (พรรคมัชฌิมาประชาธิปไตย) และนายยงยุทธ ติยะไพรัช ในปัจจุบันล้วนตกอยู่ในหลัก Mala Prohibita ทั้งสิ้น
ผมขอคารวะลูกผู้ชายชาติทหาร พลตรีสนั่น ขจรประศาสตร์ ที่เชิดอกยอมรับผิดกรณีนี้อย่างกล้าหาญ ทั้งๆ ที่ขณะนั้นรุ่งเรืองอำนาจบัดนี้พ้นเงื่อนวิบาก 5 ปีต้องห้ามแล้ว แต่ยังตกหล่มการเมืองอยู่
ผมเสียดายชาติชายไม่ไว้ลายตำรวจไทย และสงสารประเทศไทยเป็นอย่างยิ่ง ถ้าหากพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยอมรับผิดคดีซุกหุ้นเสียดีๆ ป่านนี้ประเทศไทยก็คงจะพ้นวิบากกรรม และคงไม่พ้นที่พ.ต.ท.ทักษิณ จะกลับมาเป็นผู้นำอย่างสง่างาม
ทักษิณที่ผ่านการบำเพ็ญขันติบารมี รู้ดีรู้ชั่วและรู้จักคน พร้อมด้วยสัปปุริสธรรมเจ็ด คงจะต่างกับทักษิณในปัจจุบันอย่างแน่นอน ประเทศไทยอาจจะไปโลด
ทักษิณในปัจจุบันเป็นอย่างไร ท่านผู้อ่านคงจะคิดและถกเถียงกันเอาเองได้ แต่ไม่สมควรที่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะมองข้ามข้อมูลข้อเท็จจริงอันประจักษ์อยู่ว่า การกระทำผิดและคำวินิจฉัยในอดีตโดยศาลต่างๆ ทั้งเรื่องการเลือกตั้งเป็นโมฆะ การยุบพรรค และการห้ามผู้บริหาร 111 คนเล่นการเมือง หาได้กระทำโดยบุคคลที่เป็นสมุนบริวารของ คมช. ตามที่ระบอบทักษิณแก้เกี้ยวจนกระทั่งชาวโลกเข้าใจผิดไม่ แต่กระทำโดยศาลผู้ทรงความรู้และเที่ยงธรรมภายใต้พระนามาภิไธย
คนของทักษิณแต่งชุดสากลไปฟังคำสั่งศาล และประกาศล่วงหน้าว่าจะเคารพคำวินิจฉัยยังไม่ทันสิ้นความดี ก็พากันใส่เสื้อกล้าม โพกหัวแดงออกอาละวาด
จุดหักเหสำคัญที่สุดของการเมืองไทยเกิดขึ้นเพราะพ.ต.ท.ทักษิณ ดิ้นรนให้ตนเองหลุดจากคดีซุกหุ้น ผู้ที่นิยมลุ่มหลงทักษิณพากันกดดันเคลื่อนไหว ทำให้หลักกฎหมายกลายเป็นหมัน เกิดธรรมเนียมอุบาทว์เพิ่มขึ้นในบ้านเมือง นั่นก็คือการบิดพลิ้วทำลายหลักกฎหมาย โดยอาศัยการเล่นคำว่า เลือกใช้หลักรัฐศาสตร์แทนหลักนิติศาสตร์
ผู้ที่รู้รัฐศาสตร์ดีและผู้ที่รู้นิติศาสตร์ดี ย่อมจะรู้ว่าหลักรัฐศาสตร์กับหลักนิติศาสตร์แท้ที่จริงคือหลักเดียวกัน มีขึ้นไว้เพื่อป้องกันรักษาความสงบเรียบร้อย และความถูกต้องในบ้านเมือง
คิดถึงสมัคร คิดถึงทักษิณ แล้วก็เลยคิดถึง อัลกอร์ ความจริงนายกอร์ เขารู้อยู่เต็มอกว่าเสียงของเขาชนะได้เป็นประธานาธิบดี แต่เนื่องด้วยวิบากกรรมและความวิปริตของศาล และระบบนับคะแนนของรัฐฟลอริดา ศาลสั่งให้ระงับการนับคะแนน ทั้งๆ ที่กอร์มีสิทธิสู้ต่อ แต่กอร์เห็นแก่ชาติยิ่งกว่าตัวเอง เขาเห็นว่าหากมีการต่อสู้ยืดเยื้อ สหรัฐอเมริกาจะเสียหายบาดเจ็บ เกิดช่องว่างขาดผู้นำ เขาจึงเป็นผู้ยอมเสียสละเสียเอง โทรศัพท์ไปแสดงความยินดีต่อบุช ประธานาธิบดีที่ได้ชื่อว่างี่เง่าที่สุดในประวัติศาสตร์ของอเมริกา
นายชวน หลีกภัย เพิ่งออกมาบ่นว่า ประเทศไทยมีผู้นำฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติที่มัวหมอง ไร้ความสง่างาม แบกข้อหามีโทษทั้งคู่ ทำให้ชาติเสื่อมเสียชื่อเสียงไปด้วย
อดีตนายกฯ พูดน้อย และพูดช้า แต่พูดถูกต้อง
ก่อนที่จะกลับมาพูดถึงความผิดถูกในการกดดันแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคโพกหัวแดง ผมขออนุญาตพูดสั้นๆ ถึงเรื่องอื่นที่เกี่ยวข้องกัน 2 เรื่องก่อน คือ (1) เรื่องปฏิญญาฟินแลนด์ และ (2) เรื่องอำนาจนิติบัญญัติของสภาผู้แทนเนปาล
(1) เรื่องปฏิญญาฟินแลนด์ ขณะนี้ผมถูกฟ้องเรียกค่าเสียหาย 2 พันล้านบาท โดยพรรคไทยรักไทยและพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ข้อหาใส่ความทำให้ถูกเกลียดชังด้วยการเขียนและเผยแพร่เรื่องปฏิญญาฟินแลนด์ ผมขึ้นศาลหลายหนแล้ว และก็ได้ประสบความจริงว่า การที่ทนายของพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร บอกศาลว่าลูกความของตนปรารถนาความสมานฉันท์และต้องการยอมความนั้นไม่จริง พอๆ กับความไม่จริงที่แจ้งศาลว่าไม่สามารถหาตัวความคือพ.ต.ท. ทักษิณชินวัตร เพื่อเอาความแน่นอนและกำหนดเวลาได้ ความจริงเวลานี้โจทย์ที่ 1 คือพรรคไทยรักไทยนั้นสิ้นสภาพไปแล้ว และน่าจะชำระบัญชีเสร็จสิ้นไปแล้วด้วย ไม่น่าจะดำเนินคดีความต่อได้ ยังเหลือแต่โจทย์ที่ 2 คือพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผมดีใจมากที่จะมีโอกาสขอให้ศาลเบิกตัวพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มาเป็นพยาน ผมได้ขอความปราณีต่อศาลว่ายิ่งคดีนี้ล่าช้าเพียงใด ผมก็ยิ่งเสียหายมากขึ้นเท่านั้น สมกับภาษิตกฎหมายว่า Justice delayed is justice denied: ความยุติธรรมที่ล่าช้าก็คือความอยุติธรรม ผมจะมีเวลาหรือปัญญาที่ไหนไปหาเงิน 2 พันล้านเลยมาแก้ความยากจนของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรได้
อนึ่ง ผมเองก็มิได้เป็นผู้หยิบยกประเด็นปฏิญญาฟินแลนด์นี้ขึ้นมาสู่สาธารณชน ซ้ำผมยังได้เขียนและพูดไว้อย่างโจ่งแจ้งว่า ผมไม่ทราบว่าปฏิญญาฟินแลนด์นี้คืออะไร มีอยู่จริงหรือไม่ แต่ผมได้เขียนวิจารณ์มาก่อนแล้วว่า ผมได้ศึกษายุทธศาสตร์และพฤติกรรมของระบอบทักษิณเห็นว่ามีส่วนคล้ายคลึงกับปฏิญญาฟินแลนด์ที่อ้างอยู่อย่างน้อย 5 ประการคือ (1) การเปลี่ยนเมืองไทยให้มีระบบพรรคการเมืองเดียว (2) การเปลี่ยนระบบราชการให้เลิกจากความเป็นกลาง กลับมาขึ้นกับการชี้นำของพรรค ภายใต้ระบบซีอีโอ (3) การแปลงสินทรัพย์ให้เป็นทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแปรสภาพรัฐวิสาหกิจ (ที่กำไรดี) ให้เป็นบริษัทมหาชน (4) การทำให้สถาบันกษัตริย์เป็นเพียงสัญลักษณ์ และ (5) การจัดระบบให้เป็นพรรคมวลชน (แต่ในนาม) ภายใต้การนำแบบรวมศูนย์-รวบอำนาจ-เป็นทาสหัวหน้า
บทความ 5 ตอนของผมเริ่มพิมพ์ในวันที่ 19 พฤษภาคม 2549 ได้ถูกรวมเล่มเป็นฉบับอย่างแพร่หลายตามนิสัยมักง่าย มักได้ ไม่เคารพสิทธิผู้อื่น โดยผมมิได้รู้เห็นหรืออนุญาตเลย กล่าวกันว่าบทความนี้มีผลกระทบรุนแรงจนนำมาสู่การยึดอำนาจในวันที่ 19 กันยายน ปีเดียวกัน ผมไม่เชื่อว่าจริง
แต่ที่จริงก็คือ การกระทำผิดและไม่เคารพกฎหมายของผู้มีอำนาจและพวกพ้องบริวารเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่ยอมรับการท้วงติงหรือตรวจสอบใดๆ ทั้งสิ้น
แม้กระทั่งการยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 2 เมษายน 2549 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงปรารภต่อศาลว่าอาจเกิดวิกฤตชาติล่มจม และการเลือกตั้งพรรคเดียวจะเป็นประชาธิปไตยหรือไม่ อันนำไปสู่คำสั่งศาลให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ กกต.ชุดวาสนาถูกตัดสินจำคุก พรรคไทยรักไทยถูกยุบเพราะการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตย ห้ามผู้บริหาร 111 คนเล่นการเมืองเป็นเวลา 5 ปี ฯลฯ
ทั้งหมดนี้ดูเหมือนจะเลือนรางไปง่ายๆ เพราะสังคมไทยไม่ชอบจดจำ ไม่มีผู้ใดเห็นความต่อเนื่องของนิสัยที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่เคารพกฎหมายของผู้นำและพวกพ้องบริวาร ซึ่งยืนยันอยู่อย่างเดียวว่าความถูกผิดบริสุทธิ์อาจยืนยันได้ด้วยการเลือกตั้ง หรือแม้กระทั่งการแก้รัฐธรรมนูญในปัจจุบัน
(2) เรื่องประชาธิปไตยและทฤษฎีอำนาจนิติบัญญัติ ในระบอบประชาธิปไตยแท้ๆ นั้น อำนาจนิติบัญญัติเป็นอำนาจที่สูงและมีศักดิ์ศรีเป็นหนึ่งในบรรดาอำนาจอธิไตยทั้งปวง จนกระทั่งมีคำกล่าวว่า สภาฯ จะออกกฎหมายให้พระอาทิตย์ขึ้นทางตะวันตกหรือให้เรียกวัวว่าควายก็ได้ เมื่อเร็วๆ นี้สภาผู้แทนเนปาลก็ผ่านกฎหมายล้มเลิกสถาบันกษัตริย์ เพราะรัฐบาลมีเสียงข้างมาก สถาบันกษัตริย์ขัดกับรัฐบาลเนืองๆ และรัฐบาลไม่สามารถแก้ความขัดแย้งต่อสู้กับกองพลังนิยมเหมาได้ การเลือกตั้งล่าสุดก็ส่อเค้าว่าพวกนิยมคอมมิวนิสต์ลัทธิเหมาจะเข้าครองเนปาลค่อนข้างแน่
ผมได้เขียนมาหลายครั้งแล้วว่าไทยกับเนปาลหรือปากีสถานนั้นแตกต่างกันมาก ไม่มีทางจะเป็นอย่างเดียวกันได้ง่ายๆ ผมเชื่อมั่นว่าระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เป็นระบบที่เหมาะสมกับเมืองไทย ถึงแม้จะสร้างยากเย็นเพราะความไม่สมประกอบของชนชั้นนำไทย แต่ก็มิใช่จะเป็นไปไม่ได้เสียเลยทีเดียว
ถึงกระนั้น ก็ไม่ควรประมาท ทั้งในทางทฤษฎีและในภาคปฏิบัติ หากพรรคพลังประชาชนต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็น่าจะมีสิทธิและความสามารถที่กระทำเช่นนั้นได้ และเมื่อทำได้ครั้งหนึ่งแล้ว ในอนาคตจะแก้ให้มีการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีโดยตรง ก็ไม่เห็นจะมีปัญหาหรือกลายเป็นประเด็นแต่อย่างใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสายตาสื่อและนักวิชาการต่างประเทศ
แต่ปัญหาขณะนี้ ก็คือ พรรคพลังประชาชนเป็นพรรคที่ถูกต้องชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญกฎหมายหรือไม่ ผมได้ตอบว่าไม่ ตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้งแล้ว
และถ้าหากท่านผู้อ่านกลับไปอ่านคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคไทยรักไทย ความวิตกต่างๆ ก็อาจจะคลายลง
เว้นเสียแต่ว่า ในบ้านเมืองของเรานี้ บุคคลใหญ่กว่ากฎหมาย
เว้นเสียแต่ว่า กฎหมายไร้ความศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีความหมาย จะทำลายเสียเมื่อไหร่ อย่างไรก็ได้ เพื่ออำนาจของบุคคลคนหนึ่งและหมู่คณะที่ทำตัวอยู่เหนือกฎหมายมาตั้งแต่ 8 พฤษภาคม 2544 มาแล้ว.
เมื่อเป็นเช่นนี้ บุคคลทั่วไปหรือผู้ที่ลำเอียงถือหางพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองอยู่ จะมิยิ่งหนักกว่านี้หรือ
Mala Prohibita คือหลักกฎหมายว่าด้วยความผิดซึ่งอาจจะมิใช่ความชั่วร้ายในตัว แต่มีบทบัญญัติกฎหมายระบุห้ามไว้มิให้กระทำหรือจะต้องกระทำ หากผู้หนึ่งผู้ใดกระทำขึ้นหรือไม่กระทำตามที่กฎหมายสั่ง ถือว่าผู้นั้นกระทำผิด และมีระวางกำหนดไว้ให้ลงโทษผู้นั้นอย่างชัดแจ้ง
การกระทำผิดกฎหมาย Mala Prohibita นี้ไม่จำเป็นจะต้องไปตีความเลย เพราะถึงตีก็จะตีเป็นอื่นไม่ได้ อย่างไรก็จะต้องรับโทษตามที่กำหนดไว้
ผมแน่ใจว่า กกต.อัยการสูงสุดทุกท่าน ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทุกท่านต้องรู้หลัก Mala Prohibita นี้ดีทุกคน การที่ท่านผู้ใดจะละเว้นไม่นำหลักมาปฏิบัตินั้น เป็นเรื่องมหัศจรรย์ยิ่ง
กรณีของนายไชยา สะสมทรัพย์ นายมณเฑียร (พรรคชาติไทย) นายสุนทร วิลาวัณย์ (พรรคมัชฌิมาประชาธิปไตย) และนายยงยุทธ ติยะไพรัช ในปัจจุบันล้วนตกอยู่ในหลัก Mala Prohibita ทั้งสิ้น
ผมขอคารวะลูกผู้ชายชาติทหาร พลตรีสนั่น ขจรประศาสตร์ ที่เชิดอกยอมรับผิดกรณีนี้อย่างกล้าหาญ ทั้งๆ ที่ขณะนั้นรุ่งเรืองอำนาจบัดนี้พ้นเงื่อนวิบาก 5 ปีต้องห้ามแล้ว แต่ยังตกหล่มการเมืองอยู่
ผมเสียดายชาติชายไม่ไว้ลายตำรวจไทย และสงสารประเทศไทยเป็นอย่างยิ่ง ถ้าหากพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยอมรับผิดคดีซุกหุ้นเสียดีๆ ป่านนี้ประเทศไทยก็คงจะพ้นวิบากกรรม และคงไม่พ้นที่พ.ต.ท.ทักษิณ จะกลับมาเป็นผู้นำอย่างสง่างาม
ทักษิณที่ผ่านการบำเพ็ญขันติบารมี รู้ดีรู้ชั่วและรู้จักคน พร้อมด้วยสัปปุริสธรรมเจ็ด คงจะต่างกับทักษิณในปัจจุบันอย่างแน่นอน ประเทศไทยอาจจะไปโลด
ทักษิณในปัจจุบันเป็นอย่างไร ท่านผู้อ่านคงจะคิดและถกเถียงกันเอาเองได้ แต่ไม่สมควรที่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะมองข้ามข้อมูลข้อเท็จจริงอันประจักษ์อยู่ว่า การกระทำผิดและคำวินิจฉัยในอดีตโดยศาลต่างๆ ทั้งเรื่องการเลือกตั้งเป็นโมฆะ การยุบพรรค และการห้ามผู้บริหาร 111 คนเล่นการเมือง หาได้กระทำโดยบุคคลที่เป็นสมุนบริวารของ คมช. ตามที่ระบอบทักษิณแก้เกี้ยวจนกระทั่งชาวโลกเข้าใจผิดไม่ แต่กระทำโดยศาลผู้ทรงความรู้และเที่ยงธรรมภายใต้พระนามาภิไธย
คนของทักษิณแต่งชุดสากลไปฟังคำสั่งศาล และประกาศล่วงหน้าว่าจะเคารพคำวินิจฉัยยังไม่ทันสิ้นความดี ก็พากันใส่เสื้อกล้าม โพกหัวแดงออกอาละวาด
จุดหักเหสำคัญที่สุดของการเมืองไทยเกิดขึ้นเพราะพ.ต.ท.ทักษิณ ดิ้นรนให้ตนเองหลุดจากคดีซุกหุ้น ผู้ที่นิยมลุ่มหลงทักษิณพากันกดดันเคลื่อนไหว ทำให้หลักกฎหมายกลายเป็นหมัน เกิดธรรมเนียมอุบาทว์เพิ่มขึ้นในบ้านเมือง นั่นก็คือการบิดพลิ้วทำลายหลักกฎหมาย โดยอาศัยการเล่นคำว่า เลือกใช้หลักรัฐศาสตร์แทนหลักนิติศาสตร์
ผู้ที่รู้รัฐศาสตร์ดีและผู้ที่รู้นิติศาสตร์ดี ย่อมจะรู้ว่าหลักรัฐศาสตร์กับหลักนิติศาสตร์แท้ที่จริงคือหลักเดียวกัน มีขึ้นไว้เพื่อป้องกันรักษาความสงบเรียบร้อย และความถูกต้องในบ้านเมือง
คิดถึงสมัคร คิดถึงทักษิณ แล้วก็เลยคิดถึง อัลกอร์ ความจริงนายกอร์ เขารู้อยู่เต็มอกว่าเสียงของเขาชนะได้เป็นประธานาธิบดี แต่เนื่องด้วยวิบากกรรมและความวิปริตของศาล และระบบนับคะแนนของรัฐฟลอริดา ศาลสั่งให้ระงับการนับคะแนน ทั้งๆ ที่กอร์มีสิทธิสู้ต่อ แต่กอร์เห็นแก่ชาติยิ่งกว่าตัวเอง เขาเห็นว่าหากมีการต่อสู้ยืดเยื้อ สหรัฐอเมริกาจะเสียหายบาดเจ็บ เกิดช่องว่างขาดผู้นำ เขาจึงเป็นผู้ยอมเสียสละเสียเอง โทรศัพท์ไปแสดงความยินดีต่อบุช ประธานาธิบดีที่ได้ชื่อว่างี่เง่าที่สุดในประวัติศาสตร์ของอเมริกา
นายชวน หลีกภัย เพิ่งออกมาบ่นว่า ประเทศไทยมีผู้นำฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติที่มัวหมอง ไร้ความสง่างาม แบกข้อหามีโทษทั้งคู่ ทำให้ชาติเสื่อมเสียชื่อเสียงไปด้วย
อดีตนายกฯ พูดน้อย และพูดช้า แต่พูดถูกต้อง
ก่อนที่จะกลับมาพูดถึงความผิดถูกในการกดดันแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคโพกหัวแดง ผมขออนุญาตพูดสั้นๆ ถึงเรื่องอื่นที่เกี่ยวข้องกัน 2 เรื่องก่อน คือ (1) เรื่องปฏิญญาฟินแลนด์ และ (2) เรื่องอำนาจนิติบัญญัติของสภาผู้แทนเนปาล
(1) เรื่องปฏิญญาฟินแลนด์ ขณะนี้ผมถูกฟ้องเรียกค่าเสียหาย 2 พันล้านบาท โดยพรรคไทยรักไทยและพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ข้อหาใส่ความทำให้ถูกเกลียดชังด้วยการเขียนและเผยแพร่เรื่องปฏิญญาฟินแลนด์ ผมขึ้นศาลหลายหนแล้ว และก็ได้ประสบความจริงว่า การที่ทนายของพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร บอกศาลว่าลูกความของตนปรารถนาความสมานฉันท์และต้องการยอมความนั้นไม่จริง พอๆ กับความไม่จริงที่แจ้งศาลว่าไม่สามารถหาตัวความคือพ.ต.ท. ทักษิณชินวัตร เพื่อเอาความแน่นอนและกำหนดเวลาได้ ความจริงเวลานี้โจทย์ที่ 1 คือพรรคไทยรักไทยนั้นสิ้นสภาพไปแล้ว และน่าจะชำระบัญชีเสร็จสิ้นไปแล้วด้วย ไม่น่าจะดำเนินคดีความต่อได้ ยังเหลือแต่โจทย์ที่ 2 คือพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผมดีใจมากที่จะมีโอกาสขอให้ศาลเบิกตัวพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มาเป็นพยาน ผมได้ขอความปราณีต่อศาลว่ายิ่งคดีนี้ล่าช้าเพียงใด ผมก็ยิ่งเสียหายมากขึ้นเท่านั้น สมกับภาษิตกฎหมายว่า Justice delayed is justice denied: ความยุติธรรมที่ล่าช้าก็คือความอยุติธรรม ผมจะมีเวลาหรือปัญญาที่ไหนไปหาเงิน 2 พันล้านเลยมาแก้ความยากจนของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรได้
อนึ่ง ผมเองก็มิได้เป็นผู้หยิบยกประเด็นปฏิญญาฟินแลนด์นี้ขึ้นมาสู่สาธารณชน ซ้ำผมยังได้เขียนและพูดไว้อย่างโจ่งแจ้งว่า ผมไม่ทราบว่าปฏิญญาฟินแลนด์นี้คืออะไร มีอยู่จริงหรือไม่ แต่ผมได้เขียนวิจารณ์มาก่อนแล้วว่า ผมได้ศึกษายุทธศาสตร์และพฤติกรรมของระบอบทักษิณเห็นว่ามีส่วนคล้ายคลึงกับปฏิญญาฟินแลนด์ที่อ้างอยู่อย่างน้อย 5 ประการคือ (1) การเปลี่ยนเมืองไทยให้มีระบบพรรคการเมืองเดียว (2) การเปลี่ยนระบบราชการให้เลิกจากความเป็นกลาง กลับมาขึ้นกับการชี้นำของพรรค ภายใต้ระบบซีอีโอ (3) การแปลงสินทรัพย์ให้เป็นทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแปรสภาพรัฐวิสาหกิจ (ที่กำไรดี) ให้เป็นบริษัทมหาชน (4) การทำให้สถาบันกษัตริย์เป็นเพียงสัญลักษณ์ และ (5) การจัดระบบให้เป็นพรรคมวลชน (แต่ในนาม) ภายใต้การนำแบบรวมศูนย์-รวบอำนาจ-เป็นทาสหัวหน้า
บทความ 5 ตอนของผมเริ่มพิมพ์ในวันที่ 19 พฤษภาคม 2549 ได้ถูกรวมเล่มเป็นฉบับอย่างแพร่หลายตามนิสัยมักง่าย มักได้ ไม่เคารพสิทธิผู้อื่น โดยผมมิได้รู้เห็นหรืออนุญาตเลย กล่าวกันว่าบทความนี้มีผลกระทบรุนแรงจนนำมาสู่การยึดอำนาจในวันที่ 19 กันยายน ปีเดียวกัน ผมไม่เชื่อว่าจริง
แต่ที่จริงก็คือ การกระทำผิดและไม่เคารพกฎหมายของผู้มีอำนาจและพวกพ้องบริวารเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่ยอมรับการท้วงติงหรือตรวจสอบใดๆ ทั้งสิ้น
แม้กระทั่งการยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 2 เมษายน 2549 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงปรารภต่อศาลว่าอาจเกิดวิกฤตชาติล่มจม และการเลือกตั้งพรรคเดียวจะเป็นประชาธิปไตยหรือไม่ อันนำไปสู่คำสั่งศาลให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ กกต.ชุดวาสนาถูกตัดสินจำคุก พรรคไทยรักไทยถูกยุบเพราะการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตย ห้ามผู้บริหาร 111 คนเล่นการเมืองเป็นเวลา 5 ปี ฯลฯ
ทั้งหมดนี้ดูเหมือนจะเลือนรางไปง่ายๆ เพราะสังคมไทยไม่ชอบจดจำ ไม่มีผู้ใดเห็นความต่อเนื่องของนิสัยที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่เคารพกฎหมายของผู้นำและพวกพ้องบริวาร ซึ่งยืนยันอยู่อย่างเดียวว่าความถูกผิดบริสุทธิ์อาจยืนยันได้ด้วยการเลือกตั้ง หรือแม้กระทั่งการแก้รัฐธรรมนูญในปัจจุบัน
(2) เรื่องประชาธิปไตยและทฤษฎีอำนาจนิติบัญญัติ ในระบอบประชาธิปไตยแท้ๆ นั้น อำนาจนิติบัญญัติเป็นอำนาจที่สูงและมีศักดิ์ศรีเป็นหนึ่งในบรรดาอำนาจอธิไตยทั้งปวง จนกระทั่งมีคำกล่าวว่า สภาฯ จะออกกฎหมายให้พระอาทิตย์ขึ้นทางตะวันตกหรือให้เรียกวัวว่าควายก็ได้ เมื่อเร็วๆ นี้สภาผู้แทนเนปาลก็ผ่านกฎหมายล้มเลิกสถาบันกษัตริย์ เพราะรัฐบาลมีเสียงข้างมาก สถาบันกษัตริย์ขัดกับรัฐบาลเนืองๆ และรัฐบาลไม่สามารถแก้ความขัดแย้งต่อสู้กับกองพลังนิยมเหมาได้ การเลือกตั้งล่าสุดก็ส่อเค้าว่าพวกนิยมคอมมิวนิสต์ลัทธิเหมาจะเข้าครองเนปาลค่อนข้างแน่
ผมได้เขียนมาหลายครั้งแล้วว่าไทยกับเนปาลหรือปากีสถานนั้นแตกต่างกันมาก ไม่มีทางจะเป็นอย่างเดียวกันได้ง่ายๆ ผมเชื่อมั่นว่าระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เป็นระบบที่เหมาะสมกับเมืองไทย ถึงแม้จะสร้างยากเย็นเพราะความไม่สมประกอบของชนชั้นนำไทย แต่ก็มิใช่จะเป็นไปไม่ได้เสียเลยทีเดียว
ถึงกระนั้น ก็ไม่ควรประมาท ทั้งในทางทฤษฎีและในภาคปฏิบัติ หากพรรคพลังประชาชนต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็น่าจะมีสิทธิและความสามารถที่กระทำเช่นนั้นได้ และเมื่อทำได้ครั้งหนึ่งแล้ว ในอนาคตจะแก้ให้มีการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีโดยตรง ก็ไม่เห็นจะมีปัญหาหรือกลายเป็นประเด็นแต่อย่างใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสายตาสื่อและนักวิชาการต่างประเทศ
แต่ปัญหาขณะนี้ ก็คือ พรรคพลังประชาชนเป็นพรรคที่ถูกต้องชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญกฎหมายหรือไม่ ผมได้ตอบว่าไม่ ตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้งแล้ว
และถ้าหากท่านผู้อ่านกลับไปอ่านคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคไทยรักไทย ความวิตกต่างๆ ก็อาจจะคลายลง
เว้นเสียแต่ว่า ในบ้านเมืองของเรานี้ บุคคลใหญ่กว่ากฎหมาย
เว้นเสียแต่ว่า กฎหมายไร้ความศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีความหมาย จะทำลายเสียเมื่อไหร่ อย่างไรก็ได้ เพื่ออำนาจของบุคคลคนหนึ่งและหมู่คณะที่ทำตัวอยู่เหนือกฎหมายมาตั้งแต่ 8 พฤษภาคม 2544 มาแล้ว.