ระหว่างแท้ และเทียม บางครั้งจะแยกแยะออกก็ต่อเมื่อกาลเวลาผ่านไป!!
ระหว่างเอเอสทีวี และพีทีวีของบริษัทเพื่อนพ้องน้องพี่ ซึ่งมีผู้ก่อตั้ง นายวีระ มุสิกพงศ์, นายจักรภพ เพ็ญแข, นายจตุพร พรหมพันธุ์, นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, นายอุสมาน ลูกหยี และนายก่อแก้ว พิกุลทอง ก็เช่นกัน
แม้จะเป็นสื่อที่มีระบบคล้ายๆ กันเป็นฟรีทีวีผ่านดาวเทียม ใช้เทคโนโลยีไม่ต่างกัน จนถูกนำไปเปรียบเทียบกันของคนบางกลุ่ม นักวิชาการด้านสื่อรุ่นใหญ่บางคน แต่ด้วยปรัชญาแนวทางการทำงานที่แตกต่างวันเวลาผ่านไป ทำให้หนึ่งนั้นยังอยู่ ส่วนอีกหนึ่งนั้นม้วนเสื่อปิดฉากลงไปเรียบร้อย
เอเอสทีวี ผ่านมาถึงวันนี้ได้ 4 ปีกำลังก้าวเข้าสู่ปีที่ 5
ขณะที่ พีทีวี เปิดตัวในเดือนมีนาคมปี 2550 มีอายุได้เพียงปีเดียวก็ประกาศปิดตัวเองเรียบร้อยไปแล้ว เมื่อวันก่อน
ไม่ว่าเหตุผลการปิดพีทีวีที่บรรดาผู้บริหารซึ่งได้ดิบได้ดีเชิดหน้าชูคอในรัฐบาลชุดนี้ อย่างนายจักรภพ ที่ปากเก่งถูกปูนบำเหน็จเป็นรัฐมนตรีดูแลสื่อ เช่นเดียวกับ นายณัฐวุฒิ เป็นทีมโฆษกรัฐบาล บอกว่า เพราะ ธุรกิจขาดทุน แบกภาระไม่ไหว หรือ เพราะหมดภารกิจแล้วทิ้งให้เพื่อนร่วมงานที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่เคว้งคว้างนับร้อย! ก็ตาม ความจริงก็คือความจริง
นายจักรภพ และพวกพ้องอ้างเสมอว่า พีทีวี คือ สถานีโทรทัศน์เพื่อประชาชน ขันอาสาเป็นสื่อแท้แล้วปรามาสโจมตี สนธิ ลิ้มทองกุล และเอเอสทีวี ว่าเป็นเพียงแค่สื่อโฆษณาชวนเชื่อ
“ความจริงคนใน ASTV มีคนเก่งๆ อยู่มาก แต่ทำไมมาจำกัดตัวเองอยู่แค่ภารกิจโฆษณาชวนเชื่อก็ไม่รู้...ผมกำลังมองว่า คนที่คอยสั่งการให้คนใน ASTV ใช้คำหยาบคาย ใช้การโจมตีที่ก้าวร้าวนั้น เขาจะได้ใจพนักงานของเขาเองไปได้นานแค่ไหน” (นายจักรภพ ให้สัมภาษณ์ 31มีนาคม 2551)
ทว่า 1 ปี ของพีทีวี ที่มีสโลแกนว่า เป็นทีวีเพื่อประชาชน นายจักรภพไม่รู้เลยหรือว่า พีทีวีของตนนั้น กลับไม่ได้ให้คุณค่าอะไรแก่สังคมในฐานะสื่อ นอกจากไล่บี้ปฏิปักษ์ทางการเมืองอย่างหยาบคายก้าวร้าวยิ่ง ทั้งต่อต้าน คมช.ประท้วงต่อต้านรัฐประหาร และการปราศรัยกล่าวโจมตี จาบจ้วง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ก่อนที่จะนำม็อบ นปก.บุกทำลายข้าวของทางราชการ
รวมไปถึงปกป้องเป็นองครักษ์พิทักษ์นายให้ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งถูกฟ้องร้องและดำเนินคดี ในข้อหาทุจริตคอร์รัปชัน เอื้อประโยชน์ให้ตนเอง ครอบครัว และพวกพ้อง!!
นี่คือแนวทางการทำงานของสื่อแท้ที่นายจักรภพ ภูมิอกภูมิใจ?
นี่เป็นแนวทางปรัชญาการทำงานของสื่อของรัฐมนตรีที่กำลังทำหน้าที่กำกับดูแลสื่อ?
ส่วนเอเอสทีวี 4 ปีที่ผ่านมา พิสูจน์ตัวเองได้ว่า นำเสนอข้อมูล ข้อเท็จจริงที่สังคมไม่เคยรับรู้มาก่อน ในระบอบทักษิณ ทั้งการทุจริตคอร์รัปชัน ที่เป็นที่มาของคดีต่างๆ ที่ คตส.ส่งฟ้องศาล เป็นสื่อทางเลือกแก่สาธารณะ และยังจะเป็นต่อไปเรื่อยๆ
เอเอสทีวี ไม่ได้ร่ำรวย ไม่ใช่ไม่ขาดทุน เหมือนพีทีวี ตรงกันข้ามในทางธุรกิจชักหน้าไม่ถึงหลังแทบทุกเดือน แต่ทำไมยังอยู่ได้?
นี่เป็นคำตอบบางส่วนของ สนธิ ลิ้มทองกุล...ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ และเอเอสทีวี ซึ่งเขียนเอาไว้ในคำนำหนังสือ “ASTV ขบถสื่อโทรทัศน์ไทย”**...
“ASTV เกิดขึ้นมาบนพื้นฐานของความต้องการเป็นสถานีข่าวที่ให้พื้นที่การทำงานของคนข่าว สามารถจะแสดงศักยภาพของตัวเองได้โดยไม่มีการแทรกแซงจากอำนาจการเมือง และอำนาจของนายทุน...เพราะการทำงานเพื่อชาติของ ASTV นั้น เหมือนเข้าไปสู่สงครามทุกรูปแบบ และ ASTV ก็ทำงานแบบยาจก ยิ่งกว่าการหาเช้ากินค่ำเสียอีก และถ้าเป็นสงคราม ASTV สู้แบบขี่ม้าก้านกล้วย มือซ้ายถือโล่สังกะสี มือขวาถือดาบไม้! ในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามมีทั้งรถถัง ปืนใหญ่ เครื่องบิน!!!
แต่ ASTV โชคดีที่มีประชาชนยังต้องการจริยธรรม และคุณธรรมในสังคมไทยอยู่เคียงข้าง
ASTV ก็เลยกลายเป็นTV ทางเลือกที่แท้จริงของสังคมไทยซึ่งต้องการความจริง ต้องการความกล้าหาญ ต้องการความตรงไปตรงมา จากสื่อมวลชนที่ไม่ถูกอำนาจเงินซื้อ และอำนาจทางการเมืองมาข่มขู่
ถึงจะลำบากยากเย็นอย่างไร?(และขอให้เชื่อเถอะว่า 4 ปีที่ผ่านมา ลำบากยากเย็นมากจริงๆ) ASTV ก็ยังพยายามคงอยู่เพื่อให้สังคมไทยได้รู้จัก “ผิดชอบ ชั่วดี” ASTV ยืนอยู่ข้างประชาชน และจะไม่มีวันยืนข้างอำนาจและอิทธิพลทางการเมือง และ ทุน! ”
วันนี้เวลาได้พิสูจน์ชัดเจนแล้วว่า ใครเดินอยู่บนอุดมการณ์ของสื่อโดยแท้ และเทียม!!
กรุณาตอบดังๆ ได้หรือไม่ นายจักรภพ เพ็ญแข.
**ท่านผู้อ่านสามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพิ่มเติมได้ที่ เอ็มบล็อกhttp://mblog.manager.co.th/suwitcha67 หรือ E-mail suwitcha@manager.co.th
**“ASTV ขบถสื่อโทรทัศน์ไทย” เป็นหนังสือที่รวบรวมเรื่องราว ที่ไป ที่มา ตลอดจนปรัชญาแนวคิดของคนทำงานด้านสื่อในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาของ ASTV
พบกับกิจกรรม 4 ปีของ ASTV และเปิดตัวหนังสือเล่มนี้ได้ ณ ห้อง Meeting Room 2 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ วันจันทร์ที่ 7 เมษายน 2551 เวลา 11.00 น. สำหรับนักศึกษาที่สนใจศึกษางานโทรทัศน์ และ เวลา 12.00-18.00 น. สำหรับประชาชนทั่วไป.
ระหว่างเอเอสทีวี และพีทีวีของบริษัทเพื่อนพ้องน้องพี่ ซึ่งมีผู้ก่อตั้ง นายวีระ มุสิกพงศ์, นายจักรภพ เพ็ญแข, นายจตุพร พรหมพันธุ์, นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, นายอุสมาน ลูกหยี และนายก่อแก้ว พิกุลทอง ก็เช่นกัน
แม้จะเป็นสื่อที่มีระบบคล้ายๆ กันเป็นฟรีทีวีผ่านดาวเทียม ใช้เทคโนโลยีไม่ต่างกัน จนถูกนำไปเปรียบเทียบกันของคนบางกลุ่ม นักวิชาการด้านสื่อรุ่นใหญ่บางคน แต่ด้วยปรัชญาแนวทางการทำงานที่แตกต่างวันเวลาผ่านไป ทำให้หนึ่งนั้นยังอยู่ ส่วนอีกหนึ่งนั้นม้วนเสื่อปิดฉากลงไปเรียบร้อย
เอเอสทีวี ผ่านมาถึงวันนี้ได้ 4 ปีกำลังก้าวเข้าสู่ปีที่ 5
ขณะที่ พีทีวี เปิดตัวในเดือนมีนาคมปี 2550 มีอายุได้เพียงปีเดียวก็ประกาศปิดตัวเองเรียบร้อยไปแล้ว เมื่อวันก่อน
ไม่ว่าเหตุผลการปิดพีทีวีที่บรรดาผู้บริหารซึ่งได้ดิบได้ดีเชิดหน้าชูคอในรัฐบาลชุดนี้ อย่างนายจักรภพ ที่ปากเก่งถูกปูนบำเหน็จเป็นรัฐมนตรีดูแลสื่อ เช่นเดียวกับ นายณัฐวุฒิ เป็นทีมโฆษกรัฐบาล บอกว่า เพราะ ธุรกิจขาดทุน แบกภาระไม่ไหว หรือ เพราะหมดภารกิจแล้วทิ้งให้เพื่อนร่วมงานที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่เคว้งคว้างนับร้อย! ก็ตาม ความจริงก็คือความจริง
นายจักรภพ และพวกพ้องอ้างเสมอว่า พีทีวี คือ สถานีโทรทัศน์เพื่อประชาชน ขันอาสาเป็นสื่อแท้แล้วปรามาสโจมตี สนธิ ลิ้มทองกุล และเอเอสทีวี ว่าเป็นเพียงแค่สื่อโฆษณาชวนเชื่อ
“ความจริงคนใน ASTV มีคนเก่งๆ อยู่มาก แต่ทำไมมาจำกัดตัวเองอยู่แค่ภารกิจโฆษณาชวนเชื่อก็ไม่รู้...ผมกำลังมองว่า คนที่คอยสั่งการให้คนใน ASTV ใช้คำหยาบคาย ใช้การโจมตีที่ก้าวร้าวนั้น เขาจะได้ใจพนักงานของเขาเองไปได้นานแค่ไหน” (นายจักรภพ ให้สัมภาษณ์ 31มีนาคม 2551)
ทว่า 1 ปี ของพีทีวี ที่มีสโลแกนว่า เป็นทีวีเพื่อประชาชน นายจักรภพไม่รู้เลยหรือว่า พีทีวีของตนนั้น กลับไม่ได้ให้คุณค่าอะไรแก่สังคมในฐานะสื่อ นอกจากไล่บี้ปฏิปักษ์ทางการเมืองอย่างหยาบคายก้าวร้าวยิ่ง ทั้งต่อต้าน คมช.ประท้วงต่อต้านรัฐประหาร และการปราศรัยกล่าวโจมตี จาบจ้วง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ก่อนที่จะนำม็อบ นปก.บุกทำลายข้าวของทางราชการ
รวมไปถึงปกป้องเป็นองครักษ์พิทักษ์นายให้ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งถูกฟ้องร้องและดำเนินคดี ในข้อหาทุจริตคอร์รัปชัน เอื้อประโยชน์ให้ตนเอง ครอบครัว และพวกพ้อง!!
นี่คือแนวทางการทำงานของสื่อแท้ที่นายจักรภพ ภูมิอกภูมิใจ?
นี่เป็นแนวทางปรัชญาการทำงานของสื่อของรัฐมนตรีที่กำลังทำหน้าที่กำกับดูแลสื่อ?
ส่วนเอเอสทีวี 4 ปีที่ผ่านมา พิสูจน์ตัวเองได้ว่า นำเสนอข้อมูล ข้อเท็จจริงที่สังคมไม่เคยรับรู้มาก่อน ในระบอบทักษิณ ทั้งการทุจริตคอร์รัปชัน ที่เป็นที่มาของคดีต่างๆ ที่ คตส.ส่งฟ้องศาล เป็นสื่อทางเลือกแก่สาธารณะ และยังจะเป็นต่อไปเรื่อยๆ
เอเอสทีวี ไม่ได้ร่ำรวย ไม่ใช่ไม่ขาดทุน เหมือนพีทีวี ตรงกันข้ามในทางธุรกิจชักหน้าไม่ถึงหลังแทบทุกเดือน แต่ทำไมยังอยู่ได้?
นี่เป็นคำตอบบางส่วนของ สนธิ ลิ้มทองกุล...ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ และเอเอสทีวี ซึ่งเขียนเอาไว้ในคำนำหนังสือ “ASTV ขบถสื่อโทรทัศน์ไทย”**...
“ASTV เกิดขึ้นมาบนพื้นฐานของความต้องการเป็นสถานีข่าวที่ให้พื้นที่การทำงานของคนข่าว สามารถจะแสดงศักยภาพของตัวเองได้โดยไม่มีการแทรกแซงจากอำนาจการเมือง และอำนาจของนายทุน...เพราะการทำงานเพื่อชาติของ ASTV นั้น เหมือนเข้าไปสู่สงครามทุกรูปแบบ และ ASTV ก็ทำงานแบบยาจก ยิ่งกว่าการหาเช้ากินค่ำเสียอีก และถ้าเป็นสงคราม ASTV สู้แบบขี่ม้าก้านกล้วย มือซ้ายถือโล่สังกะสี มือขวาถือดาบไม้! ในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามมีทั้งรถถัง ปืนใหญ่ เครื่องบิน!!!
แต่ ASTV โชคดีที่มีประชาชนยังต้องการจริยธรรม และคุณธรรมในสังคมไทยอยู่เคียงข้าง
ASTV ก็เลยกลายเป็นTV ทางเลือกที่แท้จริงของสังคมไทยซึ่งต้องการความจริง ต้องการความกล้าหาญ ต้องการความตรงไปตรงมา จากสื่อมวลชนที่ไม่ถูกอำนาจเงินซื้อ และอำนาจทางการเมืองมาข่มขู่
ถึงจะลำบากยากเย็นอย่างไร?(และขอให้เชื่อเถอะว่า 4 ปีที่ผ่านมา ลำบากยากเย็นมากจริงๆ) ASTV ก็ยังพยายามคงอยู่เพื่อให้สังคมไทยได้รู้จัก “ผิดชอบ ชั่วดี” ASTV ยืนอยู่ข้างประชาชน และจะไม่มีวันยืนข้างอำนาจและอิทธิพลทางการเมือง และ ทุน! ”
วันนี้เวลาได้พิสูจน์ชัดเจนแล้วว่า ใครเดินอยู่บนอุดมการณ์ของสื่อโดยแท้ และเทียม!!
กรุณาตอบดังๆ ได้หรือไม่ นายจักรภพ เพ็ญแข.
**ท่านผู้อ่านสามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพิ่มเติมได้ที่ เอ็มบล็อกhttp://mblog.manager.co.th/suwitcha67 หรือ E-mail suwitcha@manager.co.th
**“ASTV ขบถสื่อโทรทัศน์ไทย” เป็นหนังสือที่รวบรวมเรื่องราว ที่ไป ที่มา ตลอดจนปรัชญาแนวคิดของคนทำงานด้านสื่อในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาของ ASTV
พบกับกิจกรรม 4 ปีของ ASTV และเปิดตัวหนังสือเล่มนี้ได้ ณ ห้อง Meeting Room 2 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ วันจันทร์ที่ 7 เมษายน 2551 เวลา 11.00 น. สำหรับนักศึกษาที่สนใจศึกษางานโทรทัศน์ และ เวลา 12.00-18.00 น. สำหรับประชาชนทั่วไป.