ราคาทองคำโลกร่วงฮวบ 60 ดอลลาร์ หรือมาอยู่ที่ระดับ 944 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เหตุขาใหญ่เทขายทำกำไรอย่างหนักหลังราคาพุ่งสูงขึ้น 50% ในระยะไม่ถึงปี ชิงจังหวะท่ามกลางบรรยากาศลงทุนซึมพิษซับไพรม์ ด้านราคาน้ำมันในตลาดโลกก็ดิ่งลงกว่า 4 ดอลลาร์ มาอยู่ต่ำกว่าระดับ 100 ดอลลาร์ จับตากองทุนขนาดยักษ์โยกย้ายเงินไปลงทุนในด้านอื่นๆ อื้อ เตือนอย่าตื่นตระหนกเกิน ราคาทองคำคงไม่ทรุดลงง่ายๆ ด้านทองคำแท่งเมืองไทยวานนี้รับซื้อคืนที่บาทละ 14,400 ลดลงจากวันก่อน 800 บาท ลุ้น 1-2 วันข้างหน้าดีดตัว
สัญญาซื้อขายทองคำส่งมอบทันที มีราคาลดลงลดลงราว 61 ดอลลาร์ จากราคาปิดที่ตลาดในนิวยอร์ก เมื่อวันอังคาร (18) ซึ่งปิดที่ 1,002.30 - 1,003.10 ดอลลาร์ต่อออนซ์ มาซื้อขายกันที่ 940.40 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เมื่อวันพุธ (19) ทั้งนี้ ราคาทองคำก่อนปิดตลาดนิวยอร์กในวันพุธ อยู่ที่ 944.20 - 945 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่สัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้า สำหรับส่งมอบเดือนเมษายน ที่ตลาดไนเม็กซ์ในนิวยอร์ก เมื่อวันพุธเช่นกัน มีราคาลดลง 5.9% หรือ 59 ดอลลาร์ มาปิดตลาดที่ 945.30 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ถือเป็นการลดฮวบภายในวันเดียวครั้งใหญ่ที่สุดในช่วงเกือบ 2 ปี
ราคาโลหะมีค่าชนิดอื่นก็ดิ่งลงกันถ้วนหน้า โดยสัญญาซื้อขายแพลทินัมส่งมอบทันทีมีราคาลดลงจากราคาปิดที่นิวยอร์กเมื่อวันอังคาร ซึ่งปิดที่ 1,960 – 1,970 ดอลลาร์ต่อออนซ์ มาซื้อขายกันที่ 1,890 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในวันพุธ และมีราคาก่อนปิดตลาดที่ 1,900 – 1,910 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทั้งนี้ แพลทินัมมีราคาพุ่งทำสถิติที่ 2,290 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เมื่อวันที่ 4 มีนาคม ที่ผ่านมา
เงินมีราคาลดลงมาปิดที่ 18.35 – 18.40 ดอลลาร์ต่อออนซ์ จากราคาปิดเมื่อวันอังคารซึ่งปิดที่ 19.76 – 19.81 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่พัลลาเดียมมีราคาลดลงมาปิดที่ 455 – 460 ดอลลาร์ต่อออนซ์ จากราคาปิดเมื่อวันอังคารซึ่งปิดที่ 477 – 482 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ต่อมา ในการซื้อขายที่ตลาดลอนดอน เมื่อวานนี้(20) สัญญาซื้อขายทองคำส่งมอบทันที มีราคาลดลงจากราคาปิดเมื่อวันพุธ มาซื้อขายกันที่ 904.65 ดอลลาร์ต่อออนซ์
รอสส์ นอร์แมน กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัทเดอะบุลเลียนเดสก์ด็อทคอม กล่าวว่านับตั้งแต่เดือนสิงหาคม ปี2007 ราคาทองคำพุ่งสูงขึ้นร่วม 50% ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ราคาทองคำจะลดต่ำลงมากกว่า 50%
“ใครที่ซื้อทองคำได้รับผลกำไรตอบแทนอย่างงาม จึงมีสิ่งล่อใจให้นักลงทุนเทขายทำกำไร ผู้คนก็ทำเช่นนั้นและก็ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ” นอร์แมนกล่าว
ทั้งนี้ การที่นักลงทุนเทขายทองคำและสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆอย่างมากเพื่อกำไร ส่งผลให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นจากระดับต่ำสุดทำสถิติเมื่อเทียบกับเงินยูโรและเงินสกุลสำคัญๆ อื่น ในสัปดาห์นี้
โธมัส วินมิลล์ ผู้จัดการพอร์ตการลงทุนซึ่งดูแลสินทรัพย์มูลค่า 280 ล้านดอลลาร์ ของมิดาสฟันด์ ในนิวยอร์ก กล่าวว่าบรรดากองทุนและนักลงทุนเคลื่อนย้ายเงินออกจากตลาดโภคภัณฑ์เพราะคิดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯน่าจะฟื้นตัวในเร็วๆ นี้ โดยกองทุนและนักลงทุนเทขายสินค้าโภคภัณฑ์แล้วนำเงินสดไปลงทุนในตลาดอื่นๆ ที่มีแนวโน้มว่ากำลังฟื้นตัว
สำหรับราคาน้ำมันในตลาดโลกเมื่อวันพุธก็ลดฮวบ 4.5% โดยสัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบไลท์สวีตครูด สำหรับส่งมอบเดือนพฤษภาคม ที่ตลาดนิวยอร์ก มีราคาลดลง 4.94 ดอลลาร์ มาปิดตลาดที่ 104.48 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่สัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบเบรนต์ สำหรับส่งมอบเดือนพฤษภาคม ที่ตลาดลอนดอน มีราคาลดลง 4.84 ดอลลาร์ มาปิดตลาดที่ 100.72 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ต่อมา ในการซื้อขายที่ตลาดสิงคโปร์ เมื่อวานนี้ สัญญาน้ำมันดิบไลท์สวีตครูด สำหรับส่งมอบเดือนพฤษภาคม มีราคาลดลง 2.73 ดอลลาร์ จากราคาปิดของสัญญางวดเดือนพฤษภาคม ที่นิวยอร์ก ซึ่งปิดที่ 102.54 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล มาซื้อขายกันที่ 99.81 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบไลท์สวีตครูด สำหรับส่งมอบเดือนเมษายน หมดอายุไปเมื่อวันพุธ ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนต์ ในตลาดสิงคโปร์ มีราคาลดลง 1.51 ดอลลาร์ มาซื้อขายกันที่ 99.21 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
เดวิด มัวร์ นักยุทธศาสตร์สินค้าโภคภัณฑ์แห่งคอมมอนเวลธ์แบงก์ออฟออสเตรเลีย กล่าวว่าตอนนี้ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์อยู่ในสถานการณ์ที่ความรู้สึกของนักลงทุนกำลังเปลี่ยนไป โดยพวกเขาประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯกันใหม่
จริงๆ แล้ว เมื่อวันพุธก็มีข่าวที่น่าจะทำให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น โดยกระทรวงพลังงานสหรัฐฯแถลงตัวเลขปริมาณน้ำมันในคลังทั่วประเทศประจำสัปดาห์ ปรากฏว่าปริมาณน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นเพียง 200,000 บาร์เรล ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ ขณะที่ปริมาณน้ำมันเบนซินและน้ำมันกลั่นก็ลดลงอย่างมาก
ทว่า แรงเทขายทำกำไรของนักลงทุนก็ทำให้ราคาน้ำมันดิ่งฮวบลงมาอยู่ในระดับต่ำกว่า 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
**รับซื้อทองแท่งไทยวูบ 800 บาท
สำหรับ ราคาทองคำประเทศไทย วานนี้ (20มี.ค.) ราคาทองคำ 96.5% ทองคำแท่ง รับซื้อที่ 13,900 บาท ขายออก 14,000 บาท ,ทองรูปพรรณ ซื้อ 13,704.64 บาท ขายออก 14,400 บาท ลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับวันที่ 19 มี.ค.ที่ผ่านมา โดยทองคำแท่งรับซื้อที่ 14,700 บาท ขายออก 14,800 บาท ขณะที่ทองรูปพรรณ ซื้อที่ 14,492.96 บาท ขายออก 15,200 บาท โดยวันที่ 17 มีนาคมที่เป็นวันที่ราคาซื้อขายทองคำในประเทศปรับตัวสูงสุด ซึ่งทองคำแท่ง รับซื้อที่ 15,050 บาท ขายออก 15,150 บาท ,ทองคำรูปพรรณ รับซื้อ 14,826.48 บาท ขายออก 15,550 บาท
นายพิชญา พิสุทธิกุล เลขาธิการสมาคมค้าทองคำและผู้บริหารห้างทอง เลี่ยงเส็งเฮง กล่าวถึงกรณีที่ราคาทองคำในตลาดโลกได้ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องว่า เป็นผลมาจากการที่บรรดากลุ่มกองทุนต่างประเทศ โดยเฉพาะเฮดฟันด์ ที่ซื้อทองคำเพื่อเก็งกำไรอยู่นั้น ทำการเทขายทองคำทิ้งเพื่อพักตลาดในช่างเทศกาลอีสเตอร์ (23 มี.ค.) นี้ เป็นผลให้ราคาทองคำ และราคานํ้ามันรวมถึงดัชนีหุ้นปรับตัวลดลงตามไปด้วย ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าวจึงส่งให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯหรือเฟด เมื่อวันอังคาร (18มี.ค.) ที่ผ่านมานั้น เรื่องดังกล่าวไม่มีผลกระทบต่อการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลก แต่กลับตรงกันข้าม เพราะราคานํ้ามันกับราคาทองคำได้ปรับตัวลดลงด้วยกันทั้งคู่
นายพิชญากล่าวอีกว่า เป็นการย้ายเงินของบรรดาเฮดฟันด์ไปลงทุนในด้านอื่น คาดว่าหลังเทศกาลอีสเตอร์ ราคาทองคำน่าจะปรับตัวขึ้นเล็กน้อย เพราะขณะนี้ยังไม่มีปัจจัยลบอื่นๆเข้ามาสร้างความผันผวนให้เกิดขึ้น อีกทั้งยังคาดการณ์ได้ยากว่า บรรดาดากองทุนเฮดฟันด์เหล่านี้ว่าจะมีทิศทาง หรือแผนการลงทุนไปในทิศทางใดต่อไป
นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) นครหลวงไทย จำกัด กล่าวว่า การปรับตัวลดลงของราคาทองคำที่เกิดขึ้นนั้น เป็นผลมาจากแรงเทขายเพื่อเก็งกำไรของนักลงทุน ซึ่งเป็นผลมาจากการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์เป็นผลทำให้นักลงทุนหันไปลงทุนในหลักทรัพย์อื่นที่ให้ผลตอบแทนดีกว่า และคาดการณ์ว่าในสัปดาห์หน้าที่จะถึงนี้บรรยากาศการลงทุนโดยรวมจะยังไม่แตกต่างจากสัปดาห์นี้ รวมทั้งนักลงทุนในต่างประเทศเองยังมีความกังวลเกี่ยวกับการประกาศผลประกอบการของธนาคารหลายแห่งด้วย
***อย่าตื่นตระหนกทองราคาไม่ทรุด
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวถึงสถานการณ์ดังกล่าวว่า การที่ราคาทองคำที่ปรับตัวลดลงนี้ ถือเป็นเรื่องปกติซึ่งเป็นไปตามเทคนิคของการเก็งกำไรเพราะก่อนหน้านี้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นมากจึงมีการเทขายเพื่อเก็งกำไรในช่วงนี้ เพื่อนำเงินส่วนหนึ่งจากการเทขายทองคำไปเก็งกำไรต่อ ด้วยการลงทุนในเงินดอลลาร์สหรัฐฯ รวมทั้งตลาดอื่นต่อไป
ทั้งนี้ เนื่องจาก นักลงทุนมองว่าเศรษฐกิจของสหรัฐน่าจะดีขึ้นหลังเฟดได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา และยังมีผลดำเนินงานของกองทุนที่เก็งกำไรในทองคำ จะปรับตัวเพิ่มขึ้นในไตรมาสที่ 1/2551 นี้
“ราคาทองคำในสัปดาห์หน้ายังขึ้นๆ ลงๆ เพราะมีปัจจัยหลายอย่างเข้ามากดดัน แต่ทั้งนี้ยังไม่มีเหตุผลอะไรที่จะทำให้ราคาทองคำตํ่ากว่า 900 ดอลลาร์/ทรอยออนซ์ ”นายธนวรรธน์ กล่าว
ด้าน นายธิติ ธาราสุข ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท เน็กซ์วิว (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า จากที่ได้ไปร่วมงานสัมมนานักลงทุนที่สิงคโปร์ Asia Trader and Investor Convention : ATIC นักลงทุนต่างประเมินว่าราคาทองคำที่ปรับตัวลดลงมาขณะนี้มาถึงจุดที่ใกล้กับแนวรับที่ตั้งไว้ ดังนั้น จึงคาดการณ์ว่า ในช่วง 1-2 วันข้างหน้าราคาทองคำจะดีดตัวขึ้นไปเล็กน้อย
ส่วนแนวโน้มทางเทคนิคของตลาดทองคำโลก ขณะนี้มีแนวรับอยู่ที่ 911.8 ดอลลาร์/ทรอยออนซ์ ขณะที่แนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 942.6 ดอลลาร์/ทรอยออนซ์ ซึ่งถ้าหากราคาทองคำทะลุแนวต้านที่ตั้งไว้ แนวต้านต่อไปที่สำคัญจะอยู่ที่ 968 ดอลลาร์/ทรอยออนซ์ โดยถ้าหากราคาทองคำไม่สามารถดีดตัวขึ้นไปจุดนี้ได้ ราคาทองคำในช่วงนี้ จะปรับตัวลดลงมาอยู่ใกล้เคียงกับในช่วงที่ผ่านมา
ขณะที่ความคืบหน้าในเรื่องกฎหมายคุ้มครองการค้าทองคำนั้น นายพิชญา กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวยังอยู่ในช่วงอนุมัติจากสภา และยังอยากเตือนนักลงทุนว่า ให้ระวังในเรื่องการซื้อขายทองคำล่วงหน้าที่ผิดกฎหมายเพราะมีความเสี่ยงสูงมาก รวมทั้งยังไม่มีกฎหมายคุ้มครองผู้ซื้ออย่างดีพอ เนื่องจากขณะนี้มีการซื้อขายล่วงหน้าอย่างไม่เป็นทางการเกิดขึ้นในเมืองไทยแล้ว โดยที่ผ่านมามีร้านทองหลายร้านแถวเยาวราชปิดตัวลงไปเพราะเหตุนี้
***กองทุนต่างชาติแห่ถือเงินสด
แหล่งข่าวผู้จัดการกองทุน กล่าวว่าจากผลสำรวจกลุ่มผู้จัดการกองทุนซึ่งจัดทำโดยเมอร์ริล ลินช์ พบว่า ความวิตกกังวลที่ว่าเศรษฐกิจทั่วโลกอาจเผชิญกับภาวะ Stagflation (ภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัวลงแต่มีแรงกดดันด้านเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น) นั้น ทำให้ผู้จัดการกองทุนทั่วโลกไม่กล้าเสี่ยงเข้าลงทุน ซึ่งทำให้เม็ดเงินสดในกองทุนพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดระดับใหม่ แม้ผู้จัดการกองทุนเหล่านี้มองว่า มูลค่าในตลาดหุ้นยังอยู่ในระดับที่น่าลงทุนก็ตาม
ทั้งนี้ ในเดือนมีนาคม สถานะเงินสดของกลุ่มผู้จัดการกองทุนต่างประเทศปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นถึง 42% หมายความว่า กองทุนเหล่านี้มีเงินสดในกองทุนมากเกินไป โดยกว่า 70% ของผู้จัดการกองทุนเชื่อว่า เศรษฐกิจทั่วโลกกำลังชะลอตัวลงแต่อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มพุ่งสูงขึ้น นอกจากนี้ ผู้จัดการกองทุนจำนวนมากเชื่อว่าเศรษฐกิจเริ่มเข้าสู่ระยะถดถอยแล้ว หรืออาจจะถดถอยในเร็วๆนี้ จึงทำให้เกิดการเทขายน้ำมันและทองคำในตลาดล่วงหน้าออกมาเป็นจำนวนมาก จนส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทั้ง 2 ชนิดปรับตัวลดลงตาม
นอกจากนี้ ผู้จัดการกองทุนในต่างประเทศกังวลว่า ภาวะ Stagflation จะส่งผลให้เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มชะลอตัวลงมากกว่า 2 เท่าในปีนี้ ขณะที่ในตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย และตลาดหุ้นในประเทศเกิดใหม่นั้นยังอยู่ในระดับที่น่าลงทุน เพราะยังมีมูลค่าสูงกว่าตลาดตราสารหนี้.
สัญญาซื้อขายทองคำส่งมอบทันที มีราคาลดลงลดลงราว 61 ดอลลาร์ จากราคาปิดที่ตลาดในนิวยอร์ก เมื่อวันอังคาร (18) ซึ่งปิดที่ 1,002.30 - 1,003.10 ดอลลาร์ต่อออนซ์ มาซื้อขายกันที่ 940.40 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เมื่อวันพุธ (19) ทั้งนี้ ราคาทองคำก่อนปิดตลาดนิวยอร์กในวันพุธ อยู่ที่ 944.20 - 945 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่สัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้า สำหรับส่งมอบเดือนเมษายน ที่ตลาดไนเม็กซ์ในนิวยอร์ก เมื่อวันพุธเช่นกัน มีราคาลดลง 5.9% หรือ 59 ดอลลาร์ มาปิดตลาดที่ 945.30 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ถือเป็นการลดฮวบภายในวันเดียวครั้งใหญ่ที่สุดในช่วงเกือบ 2 ปี
ราคาโลหะมีค่าชนิดอื่นก็ดิ่งลงกันถ้วนหน้า โดยสัญญาซื้อขายแพลทินัมส่งมอบทันทีมีราคาลดลงจากราคาปิดที่นิวยอร์กเมื่อวันอังคาร ซึ่งปิดที่ 1,960 – 1,970 ดอลลาร์ต่อออนซ์ มาซื้อขายกันที่ 1,890 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในวันพุธ และมีราคาก่อนปิดตลาดที่ 1,900 – 1,910 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทั้งนี้ แพลทินัมมีราคาพุ่งทำสถิติที่ 2,290 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เมื่อวันที่ 4 มีนาคม ที่ผ่านมา
เงินมีราคาลดลงมาปิดที่ 18.35 – 18.40 ดอลลาร์ต่อออนซ์ จากราคาปิดเมื่อวันอังคารซึ่งปิดที่ 19.76 – 19.81 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่พัลลาเดียมมีราคาลดลงมาปิดที่ 455 – 460 ดอลลาร์ต่อออนซ์ จากราคาปิดเมื่อวันอังคารซึ่งปิดที่ 477 – 482 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ต่อมา ในการซื้อขายที่ตลาดลอนดอน เมื่อวานนี้(20) สัญญาซื้อขายทองคำส่งมอบทันที มีราคาลดลงจากราคาปิดเมื่อวันพุธ มาซื้อขายกันที่ 904.65 ดอลลาร์ต่อออนซ์
รอสส์ นอร์แมน กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัทเดอะบุลเลียนเดสก์ด็อทคอม กล่าวว่านับตั้งแต่เดือนสิงหาคม ปี2007 ราคาทองคำพุ่งสูงขึ้นร่วม 50% ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ราคาทองคำจะลดต่ำลงมากกว่า 50%
“ใครที่ซื้อทองคำได้รับผลกำไรตอบแทนอย่างงาม จึงมีสิ่งล่อใจให้นักลงทุนเทขายทำกำไร ผู้คนก็ทำเช่นนั้นและก็ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ” นอร์แมนกล่าว
ทั้งนี้ การที่นักลงทุนเทขายทองคำและสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆอย่างมากเพื่อกำไร ส่งผลให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นจากระดับต่ำสุดทำสถิติเมื่อเทียบกับเงินยูโรและเงินสกุลสำคัญๆ อื่น ในสัปดาห์นี้
โธมัส วินมิลล์ ผู้จัดการพอร์ตการลงทุนซึ่งดูแลสินทรัพย์มูลค่า 280 ล้านดอลลาร์ ของมิดาสฟันด์ ในนิวยอร์ก กล่าวว่าบรรดากองทุนและนักลงทุนเคลื่อนย้ายเงินออกจากตลาดโภคภัณฑ์เพราะคิดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯน่าจะฟื้นตัวในเร็วๆ นี้ โดยกองทุนและนักลงทุนเทขายสินค้าโภคภัณฑ์แล้วนำเงินสดไปลงทุนในตลาดอื่นๆ ที่มีแนวโน้มว่ากำลังฟื้นตัว
สำหรับราคาน้ำมันในตลาดโลกเมื่อวันพุธก็ลดฮวบ 4.5% โดยสัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบไลท์สวีตครูด สำหรับส่งมอบเดือนพฤษภาคม ที่ตลาดนิวยอร์ก มีราคาลดลง 4.94 ดอลลาร์ มาปิดตลาดที่ 104.48 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่สัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบเบรนต์ สำหรับส่งมอบเดือนพฤษภาคม ที่ตลาดลอนดอน มีราคาลดลง 4.84 ดอลลาร์ มาปิดตลาดที่ 100.72 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ต่อมา ในการซื้อขายที่ตลาดสิงคโปร์ เมื่อวานนี้ สัญญาน้ำมันดิบไลท์สวีตครูด สำหรับส่งมอบเดือนพฤษภาคม มีราคาลดลง 2.73 ดอลลาร์ จากราคาปิดของสัญญางวดเดือนพฤษภาคม ที่นิวยอร์ก ซึ่งปิดที่ 102.54 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล มาซื้อขายกันที่ 99.81 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบไลท์สวีตครูด สำหรับส่งมอบเดือนเมษายน หมดอายุไปเมื่อวันพุธ ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนต์ ในตลาดสิงคโปร์ มีราคาลดลง 1.51 ดอลลาร์ มาซื้อขายกันที่ 99.21 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
เดวิด มัวร์ นักยุทธศาสตร์สินค้าโภคภัณฑ์แห่งคอมมอนเวลธ์แบงก์ออฟออสเตรเลีย กล่าวว่าตอนนี้ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์อยู่ในสถานการณ์ที่ความรู้สึกของนักลงทุนกำลังเปลี่ยนไป โดยพวกเขาประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯกันใหม่
จริงๆ แล้ว เมื่อวันพุธก็มีข่าวที่น่าจะทำให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น โดยกระทรวงพลังงานสหรัฐฯแถลงตัวเลขปริมาณน้ำมันในคลังทั่วประเทศประจำสัปดาห์ ปรากฏว่าปริมาณน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นเพียง 200,000 บาร์เรล ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ ขณะที่ปริมาณน้ำมันเบนซินและน้ำมันกลั่นก็ลดลงอย่างมาก
ทว่า แรงเทขายทำกำไรของนักลงทุนก็ทำให้ราคาน้ำมันดิ่งฮวบลงมาอยู่ในระดับต่ำกว่า 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
**รับซื้อทองแท่งไทยวูบ 800 บาท
สำหรับ ราคาทองคำประเทศไทย วานนี้ (20มี.ค.) ราคาทองคำ 96.5% ทองคำแท่ง รับซื้อที่ 13,900 บาท ขายออก 14,000 บาท ,ทองรูปพรรณ ซื้อ 13,704.64 บาท ขายออก 14,400 บาท ลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับวันที่ 19 มี.ค.ที่ผ่านมา โดยทองคำแท่งรับซื้อที่ 14,700 บาท ขายออก 14,800 บาท ขณะที่ทองรูปพรรณ ซื้อที่ 14,492.96 บาท ขายออก 15,200 บาท โดยวันที่ 17 มีนาคมที่เป็นวันที่ราคาซื้อขายทองคำในประเทศปรับตัวสูงสุด ซึ่งทองคำแท่ง รับซื้อที่ 15,050 บาท ขายออก 15,150 บาท ,ทองคำรูปพรรณ รับซื้อ 14,826.48 บาท ขายออก 15,550 บาท
นายพิชญา พิสุทธิกุล เลขาธิการสมาคมค้าทองคำและผู้บริหารห้างทอง เลี่ยงเส็งเฮง กล่าวถึงกรณีที่ราคาทองคำในตลาดโลกได้ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องว่า เป็นผลมาจากการที่บรรดากลุ่มกองทุนต่างประเทศ โดยเฉพาะเฮดฟันด์ ที่ซื้อทองคำเพื่อเก็งกำไรอยู่นั้น ทำการเทขายทองคำทิ้งเพื่อพักตลาดในช่างเทศกาลอีสเตอร์ (23 มี.ค.) นี้ เป็นผลให้ราคาทองคำ และราคานํ้ามันรวมถึงดัชนีหุ้นปรับตัวลดลงตามไปด้วย ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าวจึงส่งให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯหรือเฟด เมื่อวันอังคาร (18มี.ค.) ที่ผ่านมานั้น เรื่องดังกล่าวไม่มีผลกระทบต่อการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลก แต่กลับตรงกันข้าม เพราะราคานํ้ามันกับราคาทองคำได้ปรับตัวลดลงด้วยกันทั้งคู่
นายพิชญากล่าวอีกว่า เป็นการย้ายเงินของบรรดาเฮดฟันด์ไปลงทุนในด้านอื่น คาดว่าหลังเทศกาลอีสเตอร์ ราคาทองคำน่าจะปรับตัวขึ้นเล็กน้อย เพราะขณะนี้ยังไม่มีปัจจัยลบอื่นๆเข้ามาสร้างความผันผวนให้เกิดขึ้น อีกทั้งยังคาดการณ์ได้ยากว่า บรรดาดากองทุนเฮดฟันด์เหล่านี้ว่าจะมีทิศทาง หรือแผนการลงทุนไปในทิศทางใดต่อไป
นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) นครหลวงไทย จำกัด กล่าวว่า การปรับตัวลดลงของราคาทองคำที่เกิดขึ้นนั้น เป็นผลมาจากแรงเทขายเพื่อเก็งกำไรของนักลงทุน ซึ่งเป็นผลมาจากการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์เป็นผลทำให้นักลงทุนหันไปลงทุนในหลักทรัพย์อื่นที่ให้ผลตอบแทนดีกว่า และคาดการณ์ว่าในสัปดาห์หน้าที่จะถึงนี้บรรยากาศการลงทุนโดยรวมจะยังไม่แตกต่างจากสัปดาห์นี้ รวมทั้งนักลงทุนในต่างประเทศเองยังมีความกังวลเกี่ยวกับการประกาศผลประกอบการของธนาคารหลายแห่งด้วย
***อย่าตื่นตระหนกทองราคาไม่ทรุด
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวถึงสถานการณ์ดังกล่าวว่า การที่ราคาทองคำที่ปรับตัวลดลงนี้ ถือเป็นเรื่องปกติซึ่งเป็นไปตามเทคนิคของการเก็งกำไรเพราะก่อนหน้านี้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นมากจึงมีการเทขายเพื่อเก็งกำไรในช่วงนี้ เพื่อนำเงินส่วนหนึ่งจากการเทขายทองคำไปเก็งกำไรต่อ ด้วยการลงทุนในเงินดอลลาร์สหรัฐฯ รวมทั้งตลาดอื่นต่อไป
ทั้งนี้ เนื่องจาก นักลงทุนมองว่าเศรษฐกิจของสหรัฐน่าจะดีขึ้นหลังเฟดได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา และยังมีผลดำเนินงานของกองทุนที่เก็งกำไรในทองคำ จะปรับตัวเพิ่มขึ้นในไตรมาสที่ 1/2551 นี้
“ราคาทองคำในสัปดาห์หน้ายังขึ้นๆ ลงๆ เพราะมีปัจจัยหลายอย่างเข้ามากดดัน แต่ทั้งนี้ยังไม่มีเหตุผลอะไรที่จะทำให้ราคาทองคำตํ่ากว่า 900 ดอลลาร์/ทรอยออนซ์ ”นายธนวรรธน์ กล่าว
ด้าน นายธิติ ธาราสุข ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท เน็กซ์วิว (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า จากที่ได้ไปร่วมงานสัมมนานักลงทุนที่สิงคโปร์ Asia Trader and Investor Convention : ATIC นักลงทุนต่างประเมินว่าราคาทองคำที่ปรับตัวลดลงมาขณะนี้มาถึงจุดที่ใกล้กับแนวรับที่ตั้งไว้ ดังนั้น จึงคาดการณ์ว่า ในช่วง 1-2 วันข้างหน้าราคาทองคำจะดีดตัวขึ้นไปเล็กน้อย
ส่วนแนวโน้มทางเทคนิคของตลาดทองคำโลก ขณะนี้มีแนวรับอยู่ที่ 911.8 ดอลลาร์/ทรอยออนซ์ ขณะที่แนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 942.6 ดอลลาร์/ทรอยออนซ์ ซึ่งถ้าหากราคาทองคำทะลุแนวต้านที่ตั้งไว้ แนวต้านต่อไปที่สำคัญจะอยู่ที่ 968 ดอลลาร์/ทรอยออนซ์ โดยถ้าหากราคาทองคำไม่สามารถดีดตัวขึ้นไปจุดนี้ได้ ราคาทองคำในช่วงนี้ จะปรับตัวลดลงมาอยู่ใกล้เคียงกับในช่วงที่ผ่านมา
ขณะที่ความคืบหน้าในเรื่องกฎหมายคุ้มครองการค้าทองคำนั้น นายพิชญา กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวยังอยู่ในช่วงอนุมัติจากสภา และยังอยากเตือนนักลงทุนว่า ให้ระวังในเรื่องการซื้อขายทองคำล่วงหน้าที่ผิดกฎหมายเพราะมีความเสี่ยงสูงมาก รวมทั้งยังไม่มีกฎหมายคุ้มครองผู้ซื้ออย่างดีพอ เนื่องจากขณะนี้มีการซื้อขายล่วงหน้าอย่างไม่เป็นทางการเกิดขึ้นในเมืองไทยแล้ว โดยที่ผ่านมามีร้านทองหลายร้านแถวเยาวราชปิดตัวลงไปเพราะเหตุนี้
***กองทุนต่างชาติแห่ถือเงินสด
แหล่งข่าวผู้จัดการกองทุน กล่าวว่าจากผลสำรวจกลุ่มผู้จัดการกองทุนซึ่งจัดทำโดยเมอร์ริล ลินช์ พบว่า ความวิตกกังวลที่ว่าเศรษฐกิจทั่วโลกอาจเผชิญกับภาวะ Stagflation (ภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัวลงแต่มีแรงกดดันด้านเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น) นั้น ทำให้ผู้จัดการกองทุนทั่วโลกไม่กล้าเสี่ยงเข้าลงทุน ซึ่งทำให้เม็ดเงินสดในกองทุนพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดระดับใหม่ แม้ผู้จัดการกองทุนเหล่านี้มองว่า มูลค่าในตลาดหุ้นยังอยู่ในระดับที่น่าลงทุนก็ตาม
ทั้งนี้ ในเดือนมีนาคม สถานะเงินสดของกลุ่มผู้จัดการกองทุนต่างประเทศปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นถึง 42% หมายความว่า กองทุนเหล่านี้มีเงินสดในกองทุนมากเกินไป โดยกว่า 70% ของผู้จัดการกองทุนเชื่อว่า เศรษฐกิจทั่วโลกกำลังชะลอตัวลงแต่อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มพุ่งสูงขึ้น นอกจากนี้ ผู้จัดการกองทุนจำนวนมากเชื่อว่าเศรษฐกิจเริ่มเข้าสู่ระยะถดถอยแล้ว หรืออาจจะถดถอยในเร็วๆนี้ จึงทำให้เกิดการเทขายน้ำมันและทองคำในตลาดล่วงหน้าออกมาเป็นจำนวนมาก จนส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทั้ง 2 ชนิดปรับตัวลดลงตาม
นอกจากนี้ ผู้จัดการกองทุนในต่างประเทศกังวลว่า ภาวะ Stagflation จะส่งผลให้เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มชะลอตัวลงมากกว่า 2 เท่าในปีนี้ ขณะที่ในตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย และตลาดหุ้นในประเทศเกิดใหม่นั้นยังอยู่ในระดับที่น่าลงทุน เพราะยังมีมูลค่าสูงกว่าตลาดตราสารหนี้.