ม.หอการค้า ชี้รัฐต้องมีมาตรการกระตุ้น ศก. เพิ่มเติม เพื่ออัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบ ชี้การลดภาษีเงินได้ อาจช้าเกินไป และถูกมองว่าเป็นการหวังผลทางการเมือง ส่วนการแทรกแซงราคาสินค้า ควรทำในระยะสั้น
วันนี้(13 มี.ค.) นายธนวรรธน์ พลวิชัยผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวถึงนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลในขณะนี้ ที่ยังไม่เกิดผลเท่าที่ควร เพราะขาดข้อมูลรายละเอียดในเชิงลึก โดยแนะนำว่า รัฐบาลต้องมีการศึกษาข้อมูลที่รอบด้านกว่านี้ และออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม เพื่อให้มีเม็ดเงินเข้ามาหมุนเวียนในระบบมากขึ้น และส่งผลถึงการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
นาธนวรรธน์ เสนอแนะว่า รัฐบาลควรเร่งผลักดันโครงการกองทุนหมู่บ้าน การเพิ่มงบประมาณกลางปีการส่งเสริมนโยบายกึ่งการคลังให้สถาบันการเงินของรัฐปล่อยกู้กับเอกชนมากขึ้น พร้อมระบุว่า รัฐบาลควรเร่งอัดฉีดเม็ดเงินทางตรงมากกว่า มาตรการลดหย่อนภาษี เพื่อเอาใจคนชั้นกลาง
เมื่อต้นเดือนนี้ คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยรัฐบาลต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งระยะสั้น กลาง และยาวจึงได้เสนอมาตรการภาษีเพื่อ หวังฟื้นฟูเศรษฐกิจและเพื่อเพิ่มแรงจูงใจในการบริโภคและลดรายจ่ายให้กับประชาชนรวมทั้งจูงใจให้เกิดการลงทุนภาคเอกชน
กระทรวงการคลังยังหวังว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าวจะทำให้อัตราการขยายตัวเศรษฐกิจ(จีดีพี) เติบโตได้กว่า 6% ในปีนี้
ผู้อำนวยการ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจฯ คาดว่า ทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และโครงการลงทุนขนาดใหญ่ภาครัฐ (เมกะโปรเจกต์) จะช่วยให้มีเม็ดเงินเข้ามาในระบบ ราว 8 หมื่นล้านบาทซึ่งจะช่วยให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นจากที่คาดไว้อีก 0.5%
นายธนวรรธน์ ยังกล่าวถึง มาตรการอุดหนุนราคาน้ำมันว่า เป็นสิ่งที่เหมาะสม หากนำมาใช้ในระยะสั้น 3-5 เดือน ในขณะที่ราคาน้ำมันยังทรงตัวในระดับสูง เนื่องจากจะช่วยลดต้นทุนการผลิต และค่าครองชีพทำให้ราคาสินค้าไม่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคยังคงดีอยู่ในขณะที่ผู้ประกอบการยังสามารถขายสินค้าและมีกำไรมาขยายเศรษฐกิจต่อไปได้
อย่างไรก็ตาม หากจะนำมาตรการดังกล่าว มาใช้ในระยะยาว ก็ต้องมีการพิจารณาความเหมาะสมอีกครั้งเพราะอาจจะเป็นการบิดเบือนกลไกตลาด
