xs
xsm
sm
md
lg

หนีตกชั้น? ความจริงที่เจ็บปวดของ “ทูน อาร์มี่”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


หลังจากผู้บริหารสโมสรนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ตัดสินใจขั้นเด็ดขาดด้วยการปลด แซม อัลลาไดซ์ ที่ทำผลงานได้น่าผิดหวังออกจากเก้าอี้กุนซือ พร้อมทั้งนำขวัญใจของบรรดาทูน อาร์มี่ อย่าง เควิน คีแกน เข้ามาทำทีมเป็นหนที่ 2 เมื่อวันที่ 16 มกราคมที่ผ่านมา ทำให้เหล่ากองเชียร์สาลิกาดงมีประกายความหวังว่าทีมรักจะกลับมาเล่นได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจและไต่อันดับขึ้นไปอยู่กลุ่มบนของตารางคะแนนพรีเมียร์ชิป ได้อีกครั้ง

แต่ความจริงกับความฝันมักเดินสวนทางกันเสมอ เมื่อสกอร์บอร์ดที่สนามเซนต์ เจมส์ ปาร์ค นัดล่าสุด เป็นผลงานที่ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด พ่าย แบล็กเบิร์น โรเวอร์ส 0-1 ส่งผลให้ “คิงเคฟ”ยังไม่สัมผัสกับชัยชนะแม้แต่นัดเดียวนับตั้งแต่คุมทีมมา 7 เกม โดยเกมในลีก 6 นัด เก็บได้เพียงแค่ 2 คะแนน สถาการณ์เวลานี้ของทีมดังแห่งภาคอีสานเมืองผู้ดีต้องแปรสภาพจากทีมลุ้นไปเล่นยูฟ่า คัพ กลายเป็นทีมหนีตกชั้นโดยมีคะแนนเหนือโซนอันตรายเพียง 3 แต้มเท่านั้น

หากพูดถึงสถิติอันย่ำแย่ของ เดอะ แม็กพายส์ เมื่อนับรวมในยุคของ “บิ๊กแซม” พบว่าไม่สามารถเก็บ 3 คะแนนได้มานานถึง 11 นัด โดยเกมสุดท้ายต้องย้อนไปถึงวันที่ 15 ธันวาคม ปีที่แล้วซึ่งบุกไปเฉือนทีมหนีตายอย่าง ฟูแล่ม 1-0 แถมยังเป็นการสังหารจุดโทษของ โจอี้ บาร์ตัน ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บอีกด้วย

แม้การขันอาสาพาสาลิกาดงกู้วิกฤตของ คีแกน จะซื้อใจบรรดาทูน อาร์มี่ ได้ในช่วงแรก แต่การเข้ามารับงานในช่วงจังหวะที่ปัจจัยต่างๆ ไม่เกื้อหนุน ทั้งการขาดผู้เล่นไปหลายรายจากอาการบาดเจ็บ รวมถึงบางส่วนที่ต้องไปเล่นให้ทีมชาติในศึกแอฟริกัน เนชันส์ คัพ นอกจากนั้นยังไม่สามารถนำผู้เล่นเข้ามาเสริมทัพอย่างจริงจังได้แม้แต่คนเดียวในช่วงก่อนปิดตลาดนักเตะรอบสอง ทำให้การบ้านของ คิงเคฟ ยากขึ้นเป็นเท่าตัว

ยิ่งเมื่อนำเอาไปเปรียบเทียบกับยุคที่ “เคเค” เข้ามาทำทีมครั้งแรกที่มาตรฐานของลีกสูงสุดเมืองผู้ดียังไม่สูงมากเหมือนทุกวันนี้ ทำให้การหว่านเม็ดเงินนำผู้เล่นอย่าง เลส เฟอร์ดินานด์, ดาวิด ชิโนล่า, ฟาอุสติโน่ อัสปริย่า และ อลัน เชียเรอร์ เข้ามาสร้างความแข็งแกร่งก็เพียงพอในการต่อกรกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จนถึงขั้นมีลุ้นแชมป์ได้อย่างไม่ยากเย็น

แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป ทำให้ความจริงเริ่มสะท้อนออกมาว่าแนวทางการทำทีมเล่นเกมรุกของ คีแกน ที่เน้นสูตรสำเร็จพาบอลออกปีกแล้วโยนเข้ากลางให้ศูนย์หน้าเข้าฮอสอาจใช้ไม่ได้กับยุคสมัยนี้ และเมื่อดูจากทีมชุดปัจจุบันซึ่งล้วนเป็นมรดกที่ตกค้างมาจากยุคของ อัลลาไดซ์ แทบทิ้งสิ้น นั่นหมายความว่า คิงเคฟ ต้องใช้ผู้เล่นเท่าที่มีอยู่แถมยังผลัดกันเจ็บแล้วเจ็บอีกตามยถากรรม บวกกับการต้องต่อสู้กับเพื่อนร่วมลีกที่ต่างก็ยกระดับของตัวเองขึ้นมา ทำให้กลายเป็นภารกิจที่ไม่ง่ายอย่างที่คิดไว้ในตอนแรก

จากผลงานที่ดำดิ่งชนิดน่าใจหายของ นิวคาสเซิล ส่งผลให้ความมั่นใจของนักเตะในทีมค่อยๆ ถดถอยลงเป็นผลให้ คีแกน ออกมายอมรับสภาพความเป็นจริงว่า “สถาณการณ์ในเวลานี้ไม่อาจวางใจอะไรได้ทั้งนั้น เรายังไม่อยู่ในอันดับที่ปลอดภัย ตามมาตรฐานของพรีเมียร์ลีกแล้วคุณจำเป็นต้องมี 40 คะแนนจึงจะสามารถเบาใจได้” และแม้กระทั่งผู้เล่นในทีมอย่าง อลัน สมิธ ศูนย์หน้าจอมบู๊ที่ไม่เคยหวั่นเกรงใครหน้าไหนยามอยู่ในสนามก็ยังกล่าวในทำนองเดียวกันว่า “มันถึงเวลาแล้วที่เราต้องยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น”

อย่างไรก็ตาม สมัดเจอร์ ไม่ได้ก้มหน้ารับชะตากรรมเสียทีเดียว แต่ยังได้ปลุกเร้าเพื่อนร่วมทีมให้ลุกขึ้นสู้พร้อมทั้งยังคงเชื่อมั่นในตัวกุนซือว่า “เราต้องแสดงทุกคนได้เห็นทุกคนในนิวคาสเซิลพร้อมที่จะยืนหยัดต่อสู้บนเส้นทางที่เหลืออยู่ ที่ผ่านมาทีมถูกวิพากษ์วิจารณ์มามาก แต่เราเป็นสโมสรใหญ่เกินกว่าที่จะยอมแพ้อะไรง่ายๆ และผู้จัดการทีมเองก็เริ่มมีอิทธิพลต่อฟอร์มการเล่นของทีมมากขึ้น เห็นได้จากเกมกับ แบล็กเบิร์น ที่ถึงแม้เราจะแพ้แต่ก็แสดงให้เห็นว่าเราเล่นได้ดีกว่า”

สำหรับด่านแรกในการพาตัวเองให้หลุดพ้นจากโซนอันตรายของ นิวคาสเซิล นับเป็นงานช้าง เนื่องจากพวกเขาต้องยกพลไปเยือนถิ่นแอนฟิลด์ของ ลิเวอร์พูล ในวันที่ 8 มีนาคมนี้ ซึ่งสถิติที่ผ่านมาระบุไว้อย่างชัดเจนว่าสาลิกาดงแทบจะผูกปีแพ้เลยก็ว่าได้ ยิ่งต้องมาเผชิญหน้ากับหงส์แดงในช่วงที่กุนซือ ราฟาเอล เบนิเตซ เน้นทำอันดับ 4 เพื่อไปเล่นยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เป็นพิเศษ เรื่องเก็บแต้มกลับออกมาจึงเป็นสิ่งที่คาดหวังได้ยาก

เมื่อมองข้ามชอตในโปรแกรมถัดไปที่จะออกนอกบ้านพบกับทีมหนีตกชั้นอย่าง เบอร์มิงแฮม ซิตี้ ตามด้วยการกลับมาเฝ้ารังรับมือ ฟูแล่ม ที่กำลังล่อแหลมต่อการร่วงสู่เดอะ แชมเปี้ยนชิป อย่างยิ่ง ซึ่งสองเกมหลังเป็นแมตช์ที่ คีแกน และขุนพลเดอะ แม็กพายส์ ห้ามทำแต้มหล่นหายด้วยประการทั้งปวงโดยเฉพาะเกมกับ “เจ้าสัวน้อย” ที่ไม่ควรพลาด 3 แต้มโดยเด็ดขาด

ไม่เช่นนั้นแล้วความกดดันจะเริ่มถาโถมเข้ามาเรื่อยๆ และหากปล่อยให้สถานการณ์คับขันจนถึง 2 นัดสุดท้ายที่จะเล่นในบ้านกับทีมหัวตารางอย่าง เชลซี ต่อด้วยไปเยือน เอฟเวอร์ตัน ในนัดปิดฤดูกาล บางทีหัวใจของแฟนๆ นิวคาสเซิลที่จงรักภักดีกับสโมสรอย่างเหนียวแน่นมาโดยตลอดอาจถึงคราวต้องแตกสลายลงก็เป็นได้ เมื่อต้องทนเห็นทีมรักหลุดพ้นจากสถานภาพทีมในลีกสูงสุดที่ยืนหยัดมาเป็นเวลานาน 15 ปี
กำลังโหลดความคิดเห็น