นักวิเคราะห์ เตือนนักลงทุนอย่าชะล่าใจ แม้ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสเด้งรับข่าวศาลฎีกายกคำร้องยุบพรรคพลังประชาชน-การเมืองเริ่มคลี่คลาย เหตุอาจนำไปสู่การฟ้องร้องในศาลอื่นต่อไป ขณะเดียวกันยังมีปัจจัยลบจากต่างประเทศที่ต้องจับตาการประกาศผลการดำเนินงานของสถาบันการเงินฝั่งยุโรปที่จะเริ่มทยอยออกมาในสัปดาห์หน้า รวมถึงการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จากพิษซับไพรม์
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (18 ม.ค.) นักลงทุนต่างตั้งตารอคอยฟังคำพิพากษาของศาลฎีกาอย่างใจจดใจจ่อ ในกรณีที่ศาลฎีกานัดฟังคำพิพากษาคดีที่นายสราวุท ทองเพ็ญ เลขาธิการพรรคความหวังใหม่ยื่นคำร้องขอให้สั่งให้การเลือกตั้งล่วงหน้า เมื่อวันที่ 15-16 ธ.ค.2550 ที่ผ่านมาเป็นโมฆะ และคดีที่นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ ผู้สมัคร ส.ส.บุรีรัมย์ พรรคประชาธิปัตย์ ยื่นฟ้องให้ยุบพรรคพลังประชาชน (พปช.) ฐานความผิดที่เป็นนอมินีของพรรคไทยรักไทย (ทรท.)
โดยช่วงเปิดตลาดหุ้นในช่วงเช้า ดัชนีได้ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง หรือลดลงไปทำจุดต่ำสุดที่ระดับ 778.51 จุด หรือลดลงจากวันก่อนกว่า 12 จุด แต่ได้เริ่มปรับตัวดีขึ้นบ้างในช่วงบ่าย หลังจากที่ศาลยกคำร้องของนายสราวุท และสามารถทำให้ดัชนีตลาดหุ้นสามารถยืนอยู่ในแดนบวกได้ในช่วงระยะเวลาสั้น ซึ่งขึ้นไปทำระดับสูงสุดที่ 795.20 จุด
จากนั้นดัชนีตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวลดลงเล็กน้อย ปิดที่ 789.67 จุด ลดลงจากวันก่อน 1.58 จุด คิดเป็น 0.20% มูลค่าการซื้อขายรวม 20,626.75 ล้านบาท มีนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,406.10 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 2,147.25 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 741.15 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลังจากปิดตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้ว ศาลฎีกาได้อ่านคำสั่งคำพิพากษาตามคำร้องของนายไชยวัฒน์ โดยยกคำร้องในทุกประเด็น โดยให้เหตุผลว่าไม่อยู่ในเขตอำนาจของศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง
นายโกสินทร์ ศรีไพบูลย์ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ UOBKH กล่าวถึง กรณีที่ศาลฎีกายกคำร้องดังกล่าว ว่า จะส่งผลต่อตลาดหุ้นไทยให้สามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ในระยะสั้นจากปัญหาดังกล่าวคลี่คลายไป และทำให้การเมืองมีความชัดเจนมากขึ้น โดยพรรคพลังประชาชนจะแถลงข่าวการจัดตั้งรัฐบาลอย่างเป็นทางการในวันนี้ (19 ม.ค.) รวมทั้งจะได้รับปัจจัยบวกจากการลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) ซึ่งคาดว่าจะลดดอกเบี้ย 0.5%ในปลายเดือนนี้
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนจะต้องติดตามปัจจัยจากต่างประเทศ โดยเฉพาะการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และผลการดำเนินงานของสถาบันการเงินที่ย่ำแย่จากผลกระทบจากการลงทุนในสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) รวมทั้งในสัปดาห์ธนาคารในยุโรปจะมีการประกาศผลการดำเนินงาน ซึ่งจะได้รับผลกระทบจากซับไพรม์เช่นกัน ซึ่งล้วนแต่เป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นไทย
นอกจากนี้ จะต้องติดตามว่าผู้ที่ต้องการฟ้องเรื่องยุบพรรคพลังประชาชนนั้น จะมีการไปยื่นฟ้องเรื่องดังกล่าวกับศาลอื่นที่มีอำนาจในการพิจารณาดังกล่าวหรือไม่ ซึ่งหากมีการฟ้องอีกปัจจัยดังกล่าวก็จะยังคงเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นต่อไป
สำหรับแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นสัปดาห์หน้า โดยคาดว่าจะแกว่งตัวในกรอบ 770-775 จุด แนวต้านที่ระดับ 820-825 จุด โดยแนะนำให้นักลงทุนซื้อเก็งกำไรเมื่อราคาหุ้นปรับตัวลดลง แต่จะต้องเก็งกำไรในระยะเวลาเร็วมากขึ้น และคาดว่านักลงทุนต่างประเทศจะยังคงขายสุทธิต่อเนื่อง จากเฟดที่จะมีการปรับลดดอกเบี้ยอย่างน้อย 0.5% และค่าเงินดอลลาร์ที่จะมีแนวโน้มมีการอ่อนค่าลง ทำให้มีการโยกเม็ดเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น ตราสารหนี้ พันธบัตร เพื่อรอให้มีความชัดเจนในการปรับอัตราดอกเบี้ย
นายอนุพนธ์ ศรีอาจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.บีฟิท กล่าวว่า ภาวะตลาดหุ้นไทยวานนี้แกว่งตัวโดยติดลบตอนเปิดการซื้อขายก่อนจะมีแรงซื้อเข้ามาดันดัชนีเคลื่อนไหวในแดนบวก แต่ช่วงก่อนปิดตลาดได้มีแรงขายออกมาทำให้ดัชนีปิดในแดนลบเล็กน้อย ขณะที่ในสัปดาห์หลังการเมืองเริ่มชัดเจนมากขึ้นจะส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นยืนเหนือระดับ 800 จุดได้ โดยมีแนวรับที่ 780 จุด
นายกวี ชูกิจเกษม ผู้บริหารฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ผันผวน โดยในระหว่างเทรดดัชนีปรับตัวลงตามตลาดหุ้นทั่วโลกที่อยู่ในทิศทางลบ และสามารถดีดขึ้นเป็นบวกได้เนื่องจากรับแรงหนุนจากปัจจัยการเมืองในประเทศ จนทำให้ตลาดหุ้นไทยวิ่งสวนทางกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคในระหว่างเทรดวานนี้
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์หน้าคาดว่า ตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวขึ้นต่อได้ เนื่องจากคาดว่าจะมีแรงเก็งกำไรเข้ามา อันเนื่องมาจะมีการเปิดประชุมสภา รวมทั้งกรณีท่อก๊าซของปตท.คาดว่าจะได้ข้อสรุปสัปดาห์หน้า และปัจจัยจากภายนอกประเทศก็ยังมีเรื่องที่คาดการณ์กันว่าเฟดจะลดอัตราดอกเบี้ย ให้แนวรับที่ 785 จุด แนวต้าน 805 จุด
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (18 ม.ค.) นักลงทุนต่างตั้งตารอคอยฟังคำพิพากษาของศาลฎีกาอย่างใจจดใจจ่อ ในกรณีที่ศาลฎีกานัดฟังคำพิพากษาคดีที่นายสราวุท ทองเพ็ญ เลขาธิการพรรคความหวังใหม่ยื่นคำร้องขอให้สั่งให้การเลือกตั้งล่วงหน้า เมื่อวันที่ 15-16 ธ.ค.2550 ที่ผ่านมาเป็นโมฆะ และคดีที่นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ ผู้สมัคร ส.ส.บุรีรัมย์ พรรคประชาธิปัตย์ ยื่นฟ้องให้ยุบพรรคพลังประชาชน (พปช.) ฐานความผิดที่เป็นนอมินีของพรรคไทยรักไทย (ทรท.)
โดยช่วงเปิดตลาดหุ้นในช่วงเช้า ดัชนีได้ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง หรือลดลงไปทำจุดต่ำสุดที่ระดับ 778.51 จุด หรือลดลงจากวันก่อนกว่า 12 จุด แต่ได้เริ่มปรับตัวดีขึ้นบ้างในช่วงบ่าย หลังจากที่ศาลยกคำร้องของนายสราวุท และสามารถทำให้ดัชนีตลาดหุ้นสามารถยืนอยู่ในแดนบวกได้ในช่วงระยะเวลาสั้น ซึ่งขึ้นไปทำระดับสูงสุดที่ 795.20 จุด
จากนั้นดัชนีตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวลดลงเล็กน้อย ปิดที่ 789.67 จุด ลดลงจากวันก่อน 1.58 จุด คิดเป็น 0.20% มูลค่าการซื้อขายรวม 20,626.75 ล้านบาท มีนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,406.10 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 2,147.25 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 741.15 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลังจากปิดตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้ว ศาลฎีกาได้อ่านคำสั่งคำพิพากษาตามคำร้องของนายไชยวัฒน์ โดยยกคำร้องในทุกประเด็น โดยให้เหตุผลว่าไม่อยู่ในเขตอำนาจของศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง
นายโกสินทร์ ศรีไพบูลย์ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ UOBKH กล่าวถึง กรณีที่ศาลฎีกายกคำร้องดังกล่าว ว่า จะส่งผลต่อตลาดหุ้นไทยให้สามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ในระยะสั้นจากปัญหาดังกล่าวคลี่คลายไป และทำให้การเมืองมีความชัดเจนมากขึ้น โดยพรรคพลังประชาชนจะแถลงข่าวการจัดตั้งรัฐบาลอย่างเป็นทางการในวันนี้ (19 ม.ค.) รวมทั้งจะได้รับปัจจัยบวกจากการลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) ซึ่งคาดว่าจะลดดอกเบี้ย 0.5%ในปลายเดือนนี้
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนจะต้องติดตามปัจจัยจากต่างประเทศ โดยเฉพาะการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และผลการดำเนินงานของสถาบันการเงินที่ย่ำแย่จากผลกระทบจากการลงทุนในสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) รวมทั้งในสัปดาห์ธนาคารในยุโรปจะมีการประกาศผลการดำเนินงาน ซึ่งจะได้รับผลกระทบจากซับไพรม์เช่นกัน ซึ่งล้วนแต่เป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นไทย
นอกจากนี้ จะต้องติดตามว่าผู้ที่ต้องการฟ้องเรื่องยุบพรรคพลังประชาชนนั้น จะมีการไปยื่นฟ้องเรื่องดังกล่าวกับศาลอื่นที่มีอำนาจในการพิจารณาดังกล่าวหรือไม่ ซึ่งหากมีการฟ้องอีกปัจจัยดังกล่าวก็จะยังคงเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นต่อไป
สำหรับแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นสัปดาห์หน้า โดยคาดว่าจะแกว่งตัวในกรอบ 770-775 จุด แนวต้านที่ระดับ 820-825 จุด โดยแนะนำให้นักลงทุนซื้อเก็งกำไรเมื่อราคาหุ้นปรับตัวลดลง แต่จะต้องเก็งกำไรในระยะเวลาเร็วมากขึ้น และคาดว่านักลงทุนต่างประเทศจะยังคงขายสุทธิต่อเนื่อง จากเฟดที่จะมีการปรับลดดอกเบี้ยอย่างน้อย 0.5% และค่าเงินดอลลาร์ที่จะมีแนวโน้มมีการอ่อนค่าลง ทำให้มีการโยกเม็ดเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น ตราสารหนี้ พันธบัตร เพื่อรอให้มีความชัดเจนในการปรับอัตราดอกเบี้ย
นายอนุพนธ์ ศรีอาจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.บีฟิท กล่าวว่า ภาวะตลาดหุ้นไทยวานนี้แกว่งตัวโดยติดลบตอนเปิดการซื้อขายก่อนจะมีแรงซื้อเข้ามาดันดัชนีเคลื่อนไหวในแดนบวก แต่ช่วงก่อนปิดตลาดได้มีแรงขายออกมาทำให้ดัชนีปิดในแดนลบเล็กน้อย ขณะที่ในสัปดาห์หลังการเมืองเริ่มชัดเจนมากขึ้นจะส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นยืนเหนือระดับ 800 จุดได้ โดยมีแนวรับที่ 780 จุด
นายกวี ชูกิจเกษม ผู้บริหารฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ผันผวน โดยในระหว่างเทรดดัชนีปรับตัวลงตามตลาดหุ้นทั่วโลกที่อยู่ในทิศทางลบ และสามารถดีดขึ้นเป็นบวกได้เนื่องจากรับแรงหนุนจากปัจจัยการเมืองในประเทศ จนทำให้ตลาดหุ้นไทยวิ่งสวนทางกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคในระหว่างเทรดวานนี้
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์หน้าคาดว่า ตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวขึ้นต่อได้ เนื่องจากคาดว่าจะมีแรงเก็งกำไรเข้ามา อันเนื่องมาจะมีการเปิดประชุมสภา รวมทั้งกรณีท่อก๊าซของปตท.คาดว่าจะได้ข้อสรุปสัปดาห์หน้า และปัจจัยจากภายนอกประเทศก็ยังมีเรื่องที่คาดการณ์กันว่าเฟดจะลดอัตราดอกเบี้ย ให้แนวรับที่ 785 จุด แนวต้าน 805 จุด