แท้จริงแล้วแม้ผมจะใช้เวลาไปเรียนหนังสือน้อยกว่าน้อยนัก แต่ด้วยหลักการเรียนกฎหมายที่ประพฤติปฏิบัติต่อเนื่องมาจนเป็นความเคยชินอย่างหนึ่ง ด้วยความเข้าใจทางภาษาไทยค่อนข้างดีอย่างหนึ่ง และด้วยการปฏิบัติที่เป็นจริงในการทำงาน โดยมีปรมาจารย์ใหญ่ทางกฎหมายคือท่านบุศย์ ขันธวิทย์ คอยอบรมบ่มสอนอย่างทะนุถนอมและใกล้ชิดอีกอย่างหนึ่ง ก็ต้องถือว่าเหล่านี้คือกระบวนการเรียนกฎหมายที่อุกฤตยิ่งกว่าการเรียนในมหาวิทยาลัยเสียอีก
เมื่อการสอบปลายปีมาถึง ผมก็สามารถสอบผ่านชั้นปีที่ 4 ได้อย่างสบายๆ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการเรียนกฎหมายนั้นเวลาที่เรียนมากแลน้อยยังไม่สำคัญ ความสำคัญอยู่ที่เรียนให้รู้ เรียนให้เข้าใจ และใช้กฎหมายให้เป็น ซึ่งหากมีครูบาอาจารย์ดีทำนุบำรุงแล้วก็จะมีผลมาก
ผมออกจะใจร้อนสักหน่อยหนึ่ง พอได้รับผลการเรียนว่าสอบผ่านและรับพระราชทานปริญญาบัตรแล้ว ผมก็รีบไปขึ้นทะเบียนเป็นทนายความ
เป็นธรรมเนียมของการรับพระราชทานปริญญาบัตรมาแต่ก่อนแล้วว่าเป็นเวลาและโอกาสอันสำคัญของชีวิต ดังนั้นจึงมีธรรมเนียมที่ต้องเชิญพ่อแม่ญาติพี่น้องมาร่วมงานรับปริญญาด้วย
แต่ผมนั้นคิดเห็นเอาเองว่าความสำเร็จทางการศึกษาชั้นปริญญาตรีเป็นเพียงแค่ขั้นต้นเท่านั้น การได้รับพระราชทานปริญญาบัตรเป็นเรื่องใหญ่ของชีวิตก็จริง เป็นเรื่องอันควรยินดีก็จริง แต่การจะรบกวนพ่อแม่ญาติพี่น้องมากมายให้เข้ามาร่วมแสดงความยินดีนั้นเป็นเรื่องที่ได้ประโยชน์น้อย
ดังนั้นผมบอกก็แต่แม่ให้ขึ้นมาร่วมงานรับปริญญา และไม่ได้มีการเฉลิมฉลองอะไรกันเลย เพราะกะเก็งไว้ว่ารอไว้อีกสักหน่อยหนึ่ง เมื่อถึงเวลาสอบภาคสองของสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภาอีกไม่นานเท่าใดผมก็คงสอบได้ และคงได้ฉลองกันตอนนั้นจะเป็นการสมควรกว่า
การเรียนที่สำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภานั้นหนักไปในเรื่องการเรียนเพื่อจะใช้ความรู้มากกว่าการเรียนเพื่อจะรู้ ซึ่งย่อมเป็นไปดังนั้นเพราะระบบการศึกษาแบบนี้ถอดแบบมาจากของอังกฤษ โดยของอังกฤษนั้นนับถือกันว่าใครได้บาร์หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Barrister At Law ก็ถือว่าเป็นยอดคน และเป็นผู้ประสบความสำเร็จในชีวิตการเล่าเรียน ซึ่งจะต้องก้าวไปพิสูจน์ความสำเร็จในชีวิตการทำงานต่อไป
การศึกษากฎหมายในมหาวิทยาลัยเป็นการศึกษาเพื่อให้รู้คือรู้จักกฎหมาย และรู้วิธีที่จะค้นคว้ากฎหมายว่ามีอยู่อย่างไร โดยได้รับการอบรมศึกษาเล่าเรียนหลักการสำคัญ ๆ ของกฎหมายอันพอเป็นแนวทางที่จะเรียนรู้ต่อไปได้เท่านั้น ยังไม่ใช่การเรียนเพื่อที่จะใช้ความรู้ทางกฎหมาย
แต่ในสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภานั้นเป็นการเรียนเพื่อที่จะเอาความรู้ไปใช้ ซึ่งมีความต่างกัน และโดยนัยนี้แม้ว่าผมอาจจะมีเวลาเข้าเรียนน้อยกว่าคนอื่น แต่แท้จริงแล้วมากกว่าคนอื่น
นั่นเป็นเพราะอานิสงส์จากการที่ผมได้ฝากตนเป็นศิษย์ท่านบุศย์ ขันธวิทย์ วิทยาการที่ท่านพร่ำสอนอย่างใกล้ชิด เนื้อแท้ก็คือวิชาการใช้ความรู้หรือวิชาการใช้กฎหมายนั่นเอง
ดังนั้นจึงทำให้ผมสามารถเรียนรู้และเข้าใจวิชาต่าง ๆ ที่อบรมสั่งสอนในสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภาได้อย่างดี โดยเฉพาะการร่างสัญญา การทำนิติกรรม การร่างคำฟ้องหรือคำคู่ความอื่น ๆ ผมแทบไม่ต้องเรียนจากสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภาเลย เพราะสามารถทำได้เป็นอย่างดี
เมื่อถึงคราวสอบเทอมที่สอง ผมจึงสามารถสอบผ่านได้ครบหมดทุกวิชา ทำให้เด็กบ้านนอกที่ออกมาจากบางอย่างโดดเดี่ยวเดียวดายไร้ญาติมิตรเมื่อ 7 ปีก่อน กลายเป็นเนติบัณฑิตหนุ่มที่สอบได้คะแนนค่อนข้างดีเป็นลำดับที่ 23 ของทั้งรุ่น
ผมรีบขึ้นทะเบียนเป็นสมาชิกเนติบัณฑิตยสภาที่มีศักดิ์และสิทธิ์ในการสวมครุยเนติบัณฑิตในการปฏิบัติหน้าที่นักกฎหมายและทนายความได้อย่างเต็มภาคภูมิ ทั้งได้รีบขึ้นทะเบียนเป็นทนายความชั้น 1 ที่มีสิทธิ์ที่จะว่าความได้ทั่วราชอาณาจักรด้วย
อันศักดิ์และสิทธิ์ของความเป็นเนติบัณฑิตนั้นจะว่าเทียบชั้นปริญญาโททางกฎหมายก็ว่าได้ จะว่าเหนือกว่าชั้นปริญญาโททางกฎหมายก็ว่าได้ ทั้งนี้เนื่องจากหากจะสอบเป็นผู้พิพากษาหรืออัยการก็ต้องเป็นเนติบัณฑิตเสียก่อน
หากไม่เป็นเนติบัณฑิต ถึงแม้จะจบปริญญาโทหรือปริญญาเอกทางกฎหมายอย่างใด ๆ ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะสอบเข้ารับราชการเป็นพนักงานอัยการหรือผู้พิพากษาได้
ผู้ที่สอบได้เป็นเนติบัณฑิตจะได้เข้ารับพระราชทานประกาศนียบัตรจากพระหัตถ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโดยตรง และจะได้รับพระราชทานพระบรมราโชวาทต่อหน้าพระพักตร์โดยตรงอีกด้วย
จึงต้องถือว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่ยิ่งใหญ่ที่ทรงพระราชทานแก่ผู้ที่เป็นเนติบัณฑิตทุกคน ที่เป็นดังนี้ก็เพราะว่าในแต่ละปีนั้นผู้ที่สอบไล่ได้เป็นเนติบัณฑิตมีจำนวนน้อยมาก บางปีก็มีจำนวนไม่ถึง 60 คน
แต่รุ่นของผมมีผู้จบนิติศาสตร์เป็นจำนวนมาก และที่สอบเป็นเนติบัณฑิตไม่ได้โดยตกค้างมาจากปีก่อนๆ ก็เป็นจำนวนมาก ดังนั้นผู้เข้ารับพระราชทานประกาศนียบัตรในปีนั้นจึงมีเกือบ 200 คน ทำให้เนติบัณฑิตรุ่นผมมีเพื่อนร่วมรุ่นเป็นจำนวนมาก ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดีเพราะคนเรานั้นการมีเพื่อนมากต้องถือว่าเหมือนกับมีทรัพย์สมบัติมาก และมีผลมากด้วย
โปรดติดตามตอนที่ 72 “ในสังสารวัฏ ตอน 2 (จบบริบูรณ์)” ในวันศุกร์ที่ 28 มีนาคม 2551
เมื่อการสอบปลายปีมาถึง ผมก็สามารถสอบผ่านชั้นปีที่ 4 ได้อย่างสบายๆ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการเรียนกฎหมายนั้นเวลาที่เรียนมากแลน้อยยังไม่สำคัญ ความสำคัญอยู่ที่เรียนให้รู้ เรียนให้เข้าใจ และใช้กฎหมายให้เป็น ซึ่งหากมีครูบาอาจารย์ดีทำนุบำรุงแล้วก็จะมีผลมาก
ผมออกจะใจร้อนสักหน่อยหนึ่ง พอได้รับผลการเรียนว่าสอบผ่านและรับพระราชทานปริญญาบัตรแล้ว ผมก็รีบไปขึ้นทะเบียนเป็นทนายความ
เป็นธรรมเนียมของการรับพระราชทานปริญญาบัตรมาแต่ก่อนแล้วว่าเป็นเวลาและโอกาสอันสำคัญของชีวิต ดังนั้นจึงมีธรรมเนียมที่ต้องเชิญพ่อแม่ญาติพี่น้องมาร่วมงานรับปริญญาด้วย
แต่ผมนั้นคิดเห็นเอาเองว่าความสำเร็จทางการศึกษาชั้นปริญญาตรีเป็นเพียงแค่ขั้นต้นเท่านั้น การได้รับพระราชทานปริญญาบัตรเป็นเรื่องใหญ่ของชีวิตก็จริง เป็นเรื่องอันควรยินดีก็จริง แต่การจะรบกวนพ่อแม่ญาติพี่น้องมากมายให้เข้ามาร่วมแสดงความยินดีนั้นเป็นเรื่องที่ได้ประโยชน์น้อย
ดังนั้นผมบอกก็แต่แม่ให้ขึ้นมาร่วมงานรับปริญญา และไม่ได้มีการเฉลิมฉลองอะไรกันเลย เพราะกะเก็งไว้ว่ารอไว้อีกสักหน่อยหนึ่ง เมื่อถึงเวลาสอบภาคสองของสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภาอีกไม่นานเท่าใดผมก็คงสอบได้ และคงได้ฉลองกันตอนนั้นจะเป็นการสมควรกว่า
การเรียนที่สำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภานั้นหนักไปในเรื่องการเรียนเพื่อจะใช้ความรู้มากกว่าการเรียนเพื่อจะรู้ ซึ่งย่อมเป็นไปดังนั้นเพราะระบบการศึกษาแบบนี้ถอดแบบมาจากของอังกฤษ โดยของอังกฤษนั้นนับถือกันว่าใครได้บาร์หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Barrister At Law ก็ถือว่าเป็นยอดคน และเป็นผู้ประสบความสำเร็จในชีวิตการเล่าเรียน ซึ่งจะต้องก้าวไปพิสูจน์ความสำเร็จในชีวิตการทำงานต่อไป
การศึกษากฎหมายในมหาวิทยาลัยเป็นการศึกษาเพื่อให้รู้คือรู้จักกฎหมาย และรู้วิธีที่จะค้นคว้ากฎหมายว่ามีอยู่อย่างไร โดยได้รับการอบรมศึกษาเล่าเรียนหลักการสำคัญ ๆ ของกฎหมายอันพอเป็นแนวทางที่จะเรียนรู้ต่อไปได้เท่านั้น ยังไม่ใช่การเรียนเพื่อที่จะใช้ความรู้ทางกฎหมาย
แต่ในสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภานั้นเป็นการเรียนเพื่อที่จะเอาความรู้ไปใช้ ซึ่งมีความต่างกัน และโดยนัยนี้แม้ว่าผมอาจจะมีเวลาเข้าเรียนน้อยกว่าคนอื่น แต่แท้จริงแล้วมากกว่าคนอื่น
นั่นเป็นเพราะอานิสงส์จากการที่ผมได้ฝากตนเป็นศิษย์ท่านบุศย์ ขันธวิทย์ วิทยาการที่ท่านพร่ำสอนอย่างใกล้ชิด เนื้อแท้ก็คือวิชาการใช้ความรู้หรือวิชาการใช้กฎหมายนั่นเอง
ดังนั้นจึงทำให้ผมสามารถเรียนรู้และเข้าใจวิชาต่าง ๆ ที่อบรมสั่งสอนในสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภาได้อย่างดี โดยเฉพาะการร่างสัญญา การทำนิติกรรม การร่างคำฟ้องหรือคำคู่ความอื่น ๆ ผมแทบไม่ต้องเรียนจากสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภาเลย เพราะสามารถทำได้เป็นอย่างดี
เมื่อถึงคราวสอบเทอมที่สอง ผมจึงสามารถสอบผ่านได้ครบหมดทุกวิชา ทำให้เด็กบ้านนอกที่ออกมาจากบางอย่างโดดเดี่ยวเดียวดายไร้ญาติมิตรเมื่อ 7 ปีก่อน กลายเป็นเนติบัณฑิตหนุ่มที่สอบได้คะแนนค่อนข้างดีเป็นลำดับที่ 23 ของทั้งรุ่น
ผมรีบขึ้นทะเบียนเป็นสมาชิกเนติบัณฑิตยสภาที่มีศักดิ์และสิทธิ์ในการสวมครุยเนติบัณฑิตในการปฏิบัติหน้าที่นักกฎหมายและทนายความได้อย่างเต็มภาคภูมิ ทั้งได้รีบขึ้นทะเบียนเป็นทนายความชั้น 1 ที่มีสิทธิ์ที่จะว่าความได้ทั่วราชอาณาจักรด้วย
อันศักดิ์และสิทธิ์ของความเป็นเนติบัณฑิตนั้นจะว่าเทียบชั้นปริญญาโททางกฎหมายก็ว่าได้ จะว่าเหนือกว่าชั้นปริญญาโททางกฎหมายก็ว่าได้ ทั้งนี้เนื่องจากหากจะสอบเป็นผู้พิพากษาหรืออัยการก็ต้องเป็นเนติบัณฑิตเสียก่อน
หากไม่เป็นเนติบัณฑิต ถึงแม้จะจบปริญญาโทหรือปริญญาเอกทางกฎหมายอย่างใด ๆ ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะสอบเข้ารับราชการเป็นพนักงานอัยการหรือผู้พิพากษาได้
ผู้ที่สอบได้เป็นเนติบัณฑิตจะได้เข้ารับพระราชทานประกาศนียบัตรจากพระหัตถ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโดยตรง และจะได้รับพระราชทานพระบรมราโชวาทต่อหน้าพระพักตร์โดยตรงอีกด้วย
จึงต้องถือว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่ยิ่งใหญ่ที่ทรงพระราชทานแก่ผู้ที่เป็นเนติบัณฑิตทุกคน ที่เป็นดังนี้ก็เพราะว่าในแต่ละปีนั้นผู้ที่สอบไล่ได้เป็นเนติบัณฑิตมีจำนวนน้อยมาก บางปีก็มีจำนวนไม่ถึง 60 คน
แต่รุ่นของผมมีผู้จบนิติศาสตร์เป็นจำนวนมาก และที่สอบเป็นเนติบัณฑิตไม่ได้โดยตกค้างมาจากปีก่อนๆ ก็เป็นจำนวนมาก ดังนั้นผู้เข้ารับพระราชทานประกาศนียบัตรในปีนั้นจึงมีเกือบ 200 คน ทำให้เนติบัณฑิตรุ่นผมมีเพื่อนร่วมรุ่นเป็นจำนวนมาก ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดีเพราะคนเรานั้นการมีเพื่อนมากต้องถือว่าเหมือนกับมีทรัพย์สมบัติมาก และมีผลมากด้วย
โปรดติดตามตอนที่ 72 “ในสังสารวัฏ ตอน 2 (จบบริบูรณ์)” ในวันศุกร์ที่ 28 มีนาคม 2551