xs
xsm
sm
md
lg

ให้ถือว่า “ชาติไทย – มัชฌิมาฯ”รอดยาก!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

๐๐ ส่อแววจะไม่รอด ทั้ง พรรคชาติไทย และ มัชฌิมาธิปไตย เมื่อ “สุเมธ อุปนิสากร” กกต.ด้านการมีส่วนร่วม ออกมาให้ความกระจ่างถึงสาเหตุที่ กกต.ยังไม่สามารถลงมติชี้ขาดการยุบพรรคการเมืองทั้ง 2 พรรค ในการประชุมเมื่อวันที่ 18 มี.ค.ว่า เนื่องจาก กกต.มีความเห็นสวนทางกับคณะอนุกรรมการสอบสวนชุด “บุญทัน ดอกไธสง” ในประเด็นการตีความ มาตรา 103 วรรค 2 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยเลือกตั้งฯ จึงต้องให้ที่ปรึกษากฎหมายไปศึกษาประเด็นนี้ให้ถี่ถ้วนก่อน

๐๐ มาตรา 103 วรรค 2 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยเลือกตั้งฯ บัญญัติไว้ว่า “...ถ้าการกระทำของบุคคลตามวรรคหนึ่ง ปรากฏหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าหัวหน้าพรรคการเมืองหรือกรรมการบริหารพรรคการเมืองผู้ใดมีส่วนรู้เห็น หรือปล่อยปละละเลยหรือทราบถึงการกระทำนั้นแล้วมิได้ยับยั้งหรือแก้ไขเพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ให้ถือว่าพรรคการเมืองนั้นกระทำการเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งดำเนินการตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง เพื่อเสนอคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้ยุบพรรคการเมืองนั้น”

๐๐ ตามความเห็นของ อนุกรรมการสอบสวนฯ นั้น เห็นว่า กรรมการบริหารของ พรรคชาติไทย และ มัชฌิมาธิปไตย ไม่มีส่วนรู้เห็นกับการทุจริตเลือกตั้งของผู้สมัครของพรรคที่ได้ใบแดง แม้ว่า “มณเทียร สงฆ์ประชา” จะเป็นกรรมการบริหารพรรคชาติไทย และ “สุนทร วิลาวัลย์” จะเป็นกรรมการบริหารพรรคมัชฌิมาธิปไตย แต่ก็ถือเป็นการกระทำที่ไม่เกี่ยวกับหัวหน้าพรรค หรือกรรมการบริหารพรรคคนอื่นๆ

๐๐ ขณะที่ความเห็นของ “กกต.สุเมธ”ชี้ว่า กรรมการบริหารพรรคน่าจะมีส่วนรู้เห็นกับการกระทำผิดด้วย เมื่อพิจารณาประกอบกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 237 วรรค 2 ที่ระบุไว้ว่า “...ถ้าการกระทำของบุคคลตามวรรคหนึ่ง ปรากฏหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าหัวหน้าพรรคการเมืองหรือกรรมการบริหารของพรรคการเมืองผู้ใด มีส่วนรู้เห็น หรือปล่อยปละละเลย หรือทราบถึงการกระทำนั้นแล้ว มิได้ยับยั้งหรือแก้ไขเพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ให้ถือว่าพรรคการเมืองนั้นกระทำการเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้.” จึงไม่มีทางเลือกอื่นที่จะต้องเสนอต่อ ศาลรัฐธรรมนูญให้พิจารณาว่ายุบพรรคชาติไทย และมัชฌิมาธิปไตย

๐๐ คำว่า “ให้ถือว่า” นี่เอง ที่ “กกต.สุเมธ”เห็นว่า แปลเป็นอย่างอื่นไม่ได้ เป็นคำที่ มัดคอ กกต.ไว้ไม่มีทางที่จะเห็นเป็นอย่างอื่นได้เลย และจะต้องเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรค ตามมาตรา 94 (1) ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง นั่นเพราะพรรคการเมืองนั้น “...กระทำการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ หรือกระทำการตามที่รัฐธรรมนูญให้ถือว่าเป็นการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจโดยวิธีการดังกล่าว.”

๐๐ ข้อหาและโทษที่วางไว้ หนักเอาการทีเดียว ทั้งพรรคชาติไทย และ มัชฌิมาธิปไตย มีประเด็นโต้แย้งได้เพียงประเด็นเดียว คือ กรรมการบริหารพรรค หรือ หัวหน้าพรรคมีส่วนรู้เห็นด้วยกับการกระทำผิดนั้น ซึ่งอนุฯ สอบ สรุปไปว่า ไม่มีส่วนรู้เห็น แต่ กกต.เห็นแย้ง เพราะโดยข้อเท็จจริง เมื่อคนทำผิดเป็นกรรมการบริหารพรรค ก็ถือว่ากรรมการบริหารพรรคมีส่วนรู้เห็นด้วย

๐๐ ยิ่ง เมื่อพิจารณาจากคำที่ว่า “กรรมการบริหารของพรรคการเมืองผู้ใด” ที่ปรากฏทั้งใน มาตรา 237 วรรค 2 ของรัฐธรรมนูญฯ และ มาตรา 103 วรรค 2 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยเลือกตั้งฯ จึงถือว่า แต่กรรมการบริหารเพียงคนเดียวรู้เห็น ซึ่งก็คือคนที่ทำผิดเอง ก็ถือว่า กรรมการบริหารพรรคมีส่วนรู้เห็นแล้ว ..คงต้องบอกได้คำเดียวว่า ทั้ง “ชาติไทย” และ “มัชฌิมาธิปไตย” รอดยาก!!
กำลังโหลดความคิดเห็น