"หมอเลี้ยบ" บอกผู้ประกอบการอสังหาฯรออีก 2 สัปดาห์ มาตรการภาษีกระตุ้นเศรษฐกิจจะมีผลบังคับ หยอดคำหวานรัฐให้ความสำคัญธุรกิจอสังหาฯ ในการขับเคลื่อนธุรกิจเป็นอันดับต้นๆ ฟุ้งหลังเปิดประมูลรถไฟฟ้าเฟสแรก 2 แสนล้านบาท จะกระตุ้นธุรกิจอสังหาฯกลับมาคึกคักเช่นเดิม ด้านแบงก์ขานรับมาตรการรัฐฉุดอสังหาฯฟื้น บสก.ชี้ปีนี้คึกคักกว่าปี 49 เหตุได้น้ำยาดีช่วย พร้อมปรับเป้าหมายรายได้ใหม่ตามเป้าหมายกองทุนฟื้นฟูฯ ด้านแบงก์แลนด์ฯชูผ่อนนาน 40 ปีสู้ตลาด ขณะที่ยูโอบีเน้นกลยุทธ์ขายทรัพย์ลดราคา เสริมด้วยบริษัทจัดสรรอัดแคมเปญดูดลูกค้า
นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เปิดเผยภายหลังเป็นประธานในพิธีเปิดงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 18 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งจัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 13-16 มี.ค. ว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่กระทรวงการคลังนำเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในเดือนที่ผ่านมานั้น ในขณะนี้อยู่ระหว่างการแก้ไขกฎหมายของคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อเตรียมส่งขึ้นทูลเกล้าให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวลงพระปรมาภิไท คาดว่าจะใช้ระยะเวลาดำเนินการไม่เกิน 2 สัปดาห์
ทั้งนี้ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าว จะช่วยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เครื่องยนต์สามารถเดินหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะมาตรการด้านอสังหาริมทรัพย์จะเป็นการให้กำลังใจกับทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภค ซึ่งหากภาคธุรกิจอสังหาฯมีการฟื้นตัวจะทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศเดินหน้าได้
"หลังจากที่เศรษฐกิจชะลอตัวในช่วง 17-18 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลใหม่ที่เข้ามาบริหารประเทศ ต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชน ถึงเวลาแล้วที่เครื่องยนต์ต้องเดินหน้าต่อ ซึ่งรัฐบาลมองมาที่ภาคอสังหาฯ หากมีการเติบโตจะเป็นตัวบ่งชี้อัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจในอันดับต้นๆ ดังนั้น ภาคอสังหาฯจึงเป็นกลุ่มแรกที่รัฐบาลให้ความสำคัญ" นพ.สุรพงษ์กล่าว
ทั้งนี้ ในการประชุมคณะทำงานโครงการขนาดใหญ่ (เมกะโปรเจกต์) เมื่อวันที่ 12 มี.ค.ที่ผ่านมา ในเบื้องต้นได้ข้อสรุป หากมีการก่อสร้างโครงการขนส่งระบบรางในเฟสแรกมูลค่า 2 แสนล้านบาท โดยการกู้เงินจากธนาคารเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ(เจบิค) เพื่อก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วงและการระดมเงินในประเทศเพื่อก่อสร้างรถไฟฟ้าได้ครบทั้งระบบภายใน 3-5 ปีข้างหน้า กรุงเทพฯและปริมณฑลจะมีระบบขนส่งที่มีประสิทธิภาพและครอบคลุมมากขึ้น
"สิ่งที่รัฐบาลเร่งดำเนินการคือ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะระบบขนส่งมวลชนในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลให้เกิดประสิทธิภาพ หากรัฐบาลดำเนินการได้แล้ว จะเป็นตัวกระตุ้นให้ผู้ประกอบการภาคเอกชนมีความเชื่อมั่นในการลงทุนพัฒนาที่อยู่อาศัยตามแนวรถไฟฟ้า โดยท้ายที่สุดแล้วผู้ที่ได้รับประโยชน์ก็คือประชาชนที่จะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่สะดวกสบายและช่วยชาติประหยัดพลังงาน" นพ.สุรพงษ์กล่าวคาดหวังภาคเอกชนจะลงทุนเพิ่ม
***แบงก์ขานรับมาตรการรัฐ
****ชูหนุนภาคอสังหาฯปีนี้ฟื้น
นายบรรยง วิเศษมงคลชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (บสก.) กล่าวเห็นด้วยกับทางการที่ได้ออกมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาฯ มีส่วนช่วยแบ่งเบาภาระด้านค่าใช้จ่ายกับประชาชน ถึงแม้มาตรการดังกล่าวจะทำให้ภาครัฐต้องสูญเสียรายได้จากภาษีทางตรง แต่จะมีรายได้จากภาษีทางอ้อมกลับเข้ามาแทน ซึ่งจะมีจำนวนที่สูงกว่าภาษีทางตรงที่สูญเสียไป
" ในส่วนของบสก.มาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ไม่ได้มีผลช่วยในส่วนของยอดขายนัก เนื่องจากที่ผ่านมา บสก.มีการยกเว้นภาษีและค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ให้แก่ลูกค้าอยู่แล้ว แต่อาจจะมีผลต่อเรื่องของกำไรที่อาจจะมีมากขึ้นจากค่าใช้จ่ายที่น้อยลง" นายบรรยง กล่าว
นอกจากนี้ บสก.ได้ปรับเป้าหมายรายได้จากการขายสินทรัพย์รอการขาย (เอ็นพีเอ) ในปีนี้เป็น 11,700 ล้านบาท จากเดิมอยู่ที่ 10,665 ล้านบาท ส่วนเป้าหมายกำไรยังเท่าเดิมที่ 1,800 ล้านบาท โดยเป้าหมายที่ปรับเพิ่มขึ้นดังกล่าวไม่ได้เป็นผลจากมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาฯ แต่เป็นเป้าหมายที่ทางกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นผู้กำหนด โดยช่วง 2 เดือนกว่าที่ผ่านมา บสก.มีรายได้จากการขายเอ็นพีเอแล้วกว่า 2,000 ล้านบาท
นายบรรยง กล่าวว่า ในงานมหกรรมฯ บสก.ได้ตั้งเป้าหมายการขายเอ็นพีเอไว้ที่ 300 ล้านบาท โดยจะเป็นส่วนที่ลูกค้าตัดสินใจซื้อและวางเงินภายในงานจำนวน 100 ล้านบาท และอีก 200 ล้านบาทจะเป็นส่วนลูกค้าสนใจจองซื้อเอ็นพีเอและทำการวางเงินหลังจากวันงาน อีกทั้ง คาดว่าในงานนี้จะสามารถขายเอ็นพีเอได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ เนื่องจากในช่วงก่อนเปิดงานอย่างเป็นทางการนั้น สามารถขายเอ็นพีเอไปได้แล้วกว่า 30 ล้านบาท
ด้านนางจินตนา ใกล้สุวรรณ ผู้อำนวยการฝ่ายสินเชื่อรายย่อย ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ เพื่อรายย่อย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า มาตรการทางภาษีของกระทรวงการคลัง จะส่งผลดีต่อธนาคารที่อาจทำให้ยอดการปล่อยสินเชื่อของธนาคารได้มากกว่าเดิม โดยเป้าหมายในการปล่อยสินเชื่อปีนี้อยู่ที่ 13,000 ล้านบาท ซึ่งธนาคารจะทำการปรับเป้าใหม่อีกครั้งในกลางปี เพราะต้องรอดูผลการปล่อยสินเชื่อในไตรมาสแรก เพราะปกติม.ค.-ก.พ.ยังไม่เห็นสัญญาณที่ชัดเจน ซึ่งนโยบายของธนาคารในปีนี้ยังคงเน้นเรื่องระยะเวลาการผ่อนชำระที่นานถึง 40 ปี แต่เมื่อรวมอายุของผู้ผ่อนแล้วต้องไม่เกิน 70 ปี ซึ่งยังเป็นกลยุทธ์หลักในการแข่งขันและสามารถสู้กับแบงก์อื่นได้ และปีแรกปลอดเงินต้น ส่วนปีต่อไปจ่ายค่างวดปกติ
สำหรับในงานมหกรรมฯ ได้ตั้งเป้า 200 ล้านบาท และคาดว่าหลังจากจบงานจะได้เพิ่มอีก 100 ล้านบาท รวมแล้วจะได้ 300 ล้านบาท
นางกุลวดี กุลเนตุ ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานบริหารทรัพย์สินรอการขาย ธนาคาร ยูโอบี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าในปีนี้ตั้งเป้าขาย เอ็นพีเอ 2,500 ล้านบาท เท่ากับปีที่ผ่านมา ส่งผลให้สิ้นปียอดเอ็นพีเอ เหลือ 10,000 ล้านบาท เพราะในระหว่างปีอาจมีเอ็นพีเอใหม่ไหลเข้ามาบ้าง เพราะปกติจะมีเอ็นพีเอเข้ามาใหม่เดือนละ 50-60 ล้านบาท ซึ่งกลยุทธ์ขายเอ็นพีเอของธนาคารคือลดราคาทรัพย์เป็นหลัก
***คาดบ้านจัดสรรเติบโตขึ้น 10%
นายประสงค์ เอาฬาร นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ออกมา ได้ส่งผลให้ตลาดบ้านจัดสรรกลับมาคึกคักขึ้นอีกครั้ง มีส่วนช่วยกระตุ้นให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อบ้านเร็วขึ้น ขณะเดียวกันมาตรการดังกล่าว จะทำให้ผู้ประกอบการเร่งสร้างบ้านพร้อมทั้งเปิดโครงการใหม่ เพื่อให้ทันระยะเวลาที่มาตรการจะมีผลบังคับใช้ภายใน 1 ปี โดยคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ภายในสิ้นเดือนมี.ค.นี้ ซึ่งจะทำให้สัดส่วนบ้านสั่งสร้างในปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 50% จากที่ปี 2550 ซึ่งมีสัดส่วนบ้านสั่งสร้าง 30% และช่วยกระตุ้นให้ตลาดบ้านจัดสรรโดยรวมในปีนี้เติบโตขึ้นประมาณ 10% หรือคิดเป็นมูลค่าตลาดรวม 250,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ จากการสอบถามผู้ประกอบการยังพบว่า ทันทีที่รัฐบาลประกาศว่าจะใช้มาตรการก็มีประชาชนเข้าไปเยี่ยมชมโครงการบ้านจัดสรรเพิ่มขึ้นถึง 20-30% ซึ่งมองว่าผู้บริโภคกลุ่มที่จะได้รับประโยชน์จากมาตรการดังกล่าว คือ กลุ่มระดับกลางถึงล่าง ที่มีรายได้ต่อเดือน 20,000-40,000 บาท ขณะที่บ้านระดับราคา 1-3 ล้านบาท น่าจะได้อานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมากที่สุด เพราะเป็นระดับราคาที่ประชาชนมีความต้องการมากที่สุดและหาซื้อได้
นายวิศิษฐ์ คุณาทรกุล ประธานและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เรียลตี้ เวิลด์ อัลไลแอนซ์ จำกัด บริษัทนายหน้าค้าอสังหาฯ กล่าวถึงตลาดบ้านมือสองในปีนี้ ยังคงมีภาวะเช่นเดียวกับปี 2550 แต่การลดภาษีภาคอสังหาฯ ช่วยในเชิงจิตวิทยา แต่ปัจจุบันตัวเลขการซื้อขายจริงยังไม่เกิดขึ้น เชื่อว่าภายในงานมหกรรมบ้านและคอนโดในครั้งนี้ จะเป็นเครื่องชี้วัดได้ว่า กำลังซื้อกลับเข้าสู่ตลาดแล้ว
**จัดสรรอัดแคมเปญดูดลูกค้า**
สำหรับกิจกรรมทางการตลาดภายในงานมหกรรมฯ บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเมนท์ฯนำคอนโดฯ 4 โครงการเข้าร่วม โดยแจกบัตรกำนัลซื้อเพชร จากร้าน Blue River Diamond มูลค่า 1 แสนบาท สำหรับคอนโดฯ ราคา 2.9-5.99 ล้านบาท มูลค่า 2.5 แสนบาท สำหรับคอนโดฯ ราคา 6-9.99 ล้านบาท มูลค่า 4 แสนบาท สำหรับคอนโดฯราคา 10-29.99 ล้านบาท และมูลค่า 1 ล้านบาท สำหรับคอนโดฯ 30 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งลูกค้าจะได้รับหลังจากเซ็นสัญญาแล้ว 30 วัน
นอกจากนี้ยังมีผู้ประกอบการให้ ส่วนลดจำนวนมาก เช่น บริษัท ปริญสิริ จำกัด (มหาชน) นำ 14 โครงการ และคอนโดฯ 4 โครงการออกงาน บริษัท เมโทรสตาร์ พร็อพเพอร์ตี้ฯ นำบ้านสร้างเสร็จในโครงการทาวน์โฮม รวิภา สุขุมวิท 103 ที่เหลือขายกว่า 50 ยูนิต มอบส่วนลด 9 แสนบาท จากราคาปกติ 4.5 ล้านบาท
บริษัท ธนาพัฒน์ พร็อพเพอร์ตี้ฯ แคมเปญ 3 ชั้น ส่วนลด 1-4.5 แสนบาท ต่อที่ 2 จับฉลากส่วนลด 1 แสนบาท และต่อที่ 3 ชิงโชคทองคำแท่ง 5 แสนบาท ส่วนบริษัท ซื่อตรงกรุ๊ป นำบ้าน 4 โครงการ ฟรีดอกเบี้ย 1 ปี โดยลูกค้าสามารถนำดอกเบี้ยมาหักเป็นส่วนลดได้ทันที ซึ่งจะคิดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารอาคารสงเคราะห์ปัจจุบันอยู่ที่ 5.5%
นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เปิดเผยภายหลังเป็นประธานในพิธีเปิดงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 18 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งจัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 13-16 มี.ค. ว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่กระทรวงการคลังนำเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในเดือนที่ผ่านมานั้น ในขณะนี้อยู่ระหว่างการแก้ไขกฎหมายของคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อเตรียมส่งขึ้นทูลเกล้าให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวลงพระปรมาภิไท คาดว่าจะใช้ระยะเวลาดำเนินการไม่เกิน 2 สัปดาห์
ทั้งนี้ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าว จะช่วยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เครื่องยนต์สามารถเดินหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะมาตรการด้านอสังหาริมทรัพย์จะเป็นการให้กำลังใจกับทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภค ซึ่งหากภาคธุรกิจอสังหาฯมีการฟื้นตัวจะทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศเดินหน้าได้
"หลังจากที่เศรษฐกิจชะลอตัวในช่วง 17-18 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลใหม่ที่เข้ามาบริหารประเทศ ต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชน ถึงเวลาแล้วที่เครื่องยนต์ต้องเดินหน้าต่อ ซึ่งรัฐบาลมองมาที่ภาคอสังหาฯ หากมีการเติบโตจะเป็นตัวบ่งชี้อัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจในอันดับต้นๆ ดังนั้น ภาคอสังหาฯจึงเป็นกลุ่มแรกที่รัฐบาลให้ความสำคัญ" นพ.สุรพงษ์กล่าว
ทั้งนี้ ในการประชุมคณะทำงานโครงการขนาดใหญ่ (เมกะโปรเจกต์) เมื่อวันที่ 12 มี.ค.ที่ผ่านมา ในเบื้องต้นได้ข้อสรุป หากมีการก่อสร้างโครงการขนส่งระบบรางในเฟสแรกมูลค่า 2 แสนล้านบาท โดยการกู้เงินจากธนาคารเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ(เจบิค) เพื่อก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วงและการระดมเงินในประเทศเพื่อก่อสร้างรถไฟฟ้าได้ครบทั้งระบบภายใน 3-5 ปีข้างหน้า กรุงเทพฯและปริมณฑลจะมีระบบขนส่งที่มีประสิทธิภาพและครอบคลุมมากขึ้น
"สิ่งที่รัฐบาลเร่งดำเนินการคือ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะระบบขนส่งมวลชนในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลให้เกิดประสิทธิภาพ หากรัฐบาลดำเนินการได้แล้ว จะเป็นตัวกระตุ้นให้ผู้ประกอบการภาคเอกชนมีความเชื่อมั่นในการลงทุนพัฒนาที่อยู่อาศัยตามแนวรถไฟฟ้า โดยท้ายที่สุดแล้วผู้ที่ได้รับประโยชน์ก็คือประชาชนที่จะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่สะดวกสบายและช่วยชาติประหยัดพลังงาน" นพ.สุรพงษ์กล่าวคาดหวังภาคเอกชนจะลงทุนเพิ่ม
***แบงก์ขานรับมาตรการรัฐ
****ชูหนุนภาคอสังหาฯปีนี้ฟื้น
นายบรรยง วิเศษมงคลชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (บสก.) กล่าวเห็นด้วยกับทางการที่ได้ออกมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาฯ มีส่วนช่วยแบ่งเบาภาระด้านค่าใช้จ่ายกับประชาชน ถึงแม้มาตรการดังกล่าวจะทำให้ภาครัฐต้องสูญเสียรายได้จากภาษีทางตรง แต่จะมีรายได้จากภาษีทางอ้อมกลับเข้ามาแทน ซึ่งจะมีจำนวนที่สูงกว่าภาษีทางตรงที่สูญเสียไป
" ในส่วนของบสก.มาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ไม่ได้มีผลช่วยในส่วนของยอดขายนัก เนื่องจากที่ผ่านมา บสก.มีการยกเว้นภาษีและค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ให้แก่ลูกค้าอยู่แล้ว แต่อาจจะมีผลต่อเรื่องของกำไรที่อาจจะมีมากขึ้นจากค่าใช้จ่ายที่น้อยลง" นายบรรยง กล่าว
นอกจากนี้ บสก.ได้ปรับเป้าหมายรายได้จากการขายสินทรัพย์รอการขาย (เอ็นพีเอ) ในปีนี้เป็น 11,700 ล้านบาท จากเดิมอยู่ที่ 10,665 ล้านบาท ส่วนเป้าหมายกำไรยังเท่าเดิมที่ 1,800 ล้านบาท โดยเป้าหมายที่ปรับเพิ่มขึ้นดังกล่าวไม่ได้เป็นผลจากมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาฯ แต่เป็นเป้าหมายที่ทางกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นผู้กำหนด โดยช่วง 2 เดือนกว่าที่ผ่านมา บสก.มีรายได้จากการขายเอ็นพีเอแล้วกว่า 2,000 ล้านบาท
นายบรรยง กล่าวว่า ในงานมหกรรมฯ บสก.ได้ตั้งเป้าหมายการขายเอ็นพีเอไว้ที่ 300 ล้านบาท โดยจะเป็นส่วนที่ลูกค้าตัดสินใจซื้อและวางเงินภายในงานจำนวน 100 ล้านบาท และอีก 200 ล้านบาทจะเป็นส่วนลูกค้าสนใจจองซื้อเอ็นพีเอและทำการวางเงินหลังจากวันงาน อีกทั้ง คาดว่าในงานนี้จะสามารถขายเอ็นพีเอได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ เนื่องจากในช่วงก่อนเปิดงานอย่างเป็นทางการนั้น สามารถขายเอ็นพีเอไปได้แล้วกว่า 30 ล้านบาท
ด้านนางจินตนา ใกล้สุวรรณ ผู้อำนวยการฝ่ายสินเชื่อรายย่อย ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ เพื่อรายย่อย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า มาตรการทางภาษีของกระทรวงการคลัง จะส่งผลดีต่อธนาคารที่อาจทำให้ยอดการปล่อยสินเชื่อของธนาคารได้มากกว่าเดิม โดยเป้าหมายในการปล่อยสินเชื่อปีนี้อยู่ที่ 13,000 ล้านบาท ซึ่งธนาคารจะทำการปรับเป้าใหม่อีกครั้งในกลางปี เพราะต้องรอดูผลการปล่อยสินเชื่อในไตรมาสแรก เพราะปกติม.ค.-ก.พ.ยังไม่เห็นสัญญาณที่ชัดเจน ซึ่งนโยบายของธนาคารในปีนี้ยังคงเน้นเรื่องระยะเวลาการผ่อนชำระที่นานถึง 40 ปี แต่เมื่อรวมอายุของผู้ผ่อนแล้วต้องไม่เกิน 70 ปี ซึ่งยังเป็นกลยุทธ์หลักในการแข่งขันและสามารถสู้กับแบงก์อื่นได้ และปีแรกปลอดเงินต้น ส่วนปีต่อไปจ่ายค่างวดปกติ
สำหรับในงานมหกรรมฯ ได้ตั้งเป้า 200 ล้านบาท และคาดว่าหลังจากจบงานจะได้เพิ่มอีก 100 ล้านบาท รวมแล้วจะได้ 300 ล้านบาท
นางกุลวดี กุลเนตุ ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานบริหารทรัพย์สินรอการขาย ธนาคาร ยูโอบี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าในปีนี้ตั้งเป้าขาย เอ็นพีเอ 2,500 ล้านบาท เท่ากับปีที่ผ่านมา ส่งผลให้สิ้นปียอดเอ็นพีเอ เหลือ 10,000 ล้านบาท เพราะในระหว่างปีอาจมีเอ็นพีเอใหม่ไหลเข้ามาบ้าง เพราะปกติจะมีเอ็นพีเอเข้ามาใหม่เดือนละ 50-60 ล้านบาท ซึ่งกลยุทธ์ขายเอ็นพีเอของธนาคารคือลดราคาทรัพย์เป็นหลัก
***คาดบ้านจัดสรรเติบโตขึ้น 10%
นายประสงค์ เอาฬาร นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ออกมา ได้ส่งผลให้ตลาดบ้านจัดสรรกลับมาคึกคักขึ้นอีกครั้ง มีส่วนช่วยกระตุ้นให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อบ้านเร็วขึ้น ขณะเดียวกันมาตรการดังกล่าว จะทำให้ผู้ประกอบการเร่งสร้างบ้านพร้อมทั้งเปิดโครงการใหม่ เพื่อให้ทันระยะเวลาที่มาตรการจะมีผลบังคับใช้ภายใน 1 ปี โดยคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ภายในสิ้นเดือนมี.ค.นี้ ซึ่งจะทำให้สัดส่วนบ้านสั่งสร้างในปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 50% จากที่ปี 2550 ซึ่งมีสัดส่วนบ้านสั่งสร้าง 30% และช่วยกระตุ้นให้ตลาดบ้านจัดสรรโดยรวมในปีนี้เติบโตขึ้นประมาณ 10% หรือคิดเป็นมูลค่าตลาดรวม 250,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ จากการสอบถามผู้ประกอบการยังพบว่า ทันทีที่รัฐบาลประกาศว่าจะใช้มาตรการก็มีประชาชนเข้าไปเยี่ยมชมโครงการบ้านจัดสรรเพิ่มขึ้นถึง 20-30% ซึ่งมองว่าผู้บริโภคกลุ่มที่จะได้รับประโยชน์จากมาตรการดังกล่าว คือ กลุ่มระดับกลางถึงล่าง ที่มีรายได้ต่อเดือน 20,000-40,000 บาท ขณะที่บ้านระดับราคา 1-3 ล้านบาท น่าจะได้อานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมากที่สุด เพราะเป็นระดับราคาที่ประชาชนมีความต้องการมากที่สุดและหาซื้อได้
นายวิศิษฐ์ คุณาทรกุล ประธานและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เรียลตี้ เวิลด์ อัลไลแอนซ์ จำกัด บริษัทนายหน้าค้าอสังหาฯ กล่าวถึงตลาดบ้านมือสองในปีนี้ ยังคงมีภาวะเช่นเดียวกับปี 2550 แต่การลดภาษีภาคอสังหาฯ ช่วยในเชิงจิตวิทยา แต่ปัจจุบันตัวเลขการซื้อขายจริงยังไม่เกิดขึ้น เชื่อว่าภายในงานมหกรรมบ้านและคอนโดในครั้งนี้ จะเป็นเครื่องชี้วัดได้ว่า กำลังซื้อกลับเข้าสู่ตลาดแล้ว
**จัดสรรอัดแคมเปญดูดลูกค้า**
สำหรับกิจกรรมทางการตลาดภายในงานมหกรรมฯ บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเมนท์ฯนำคอนโดฯ 4 โครงการเข้าร่วม โดยแจกบัตรกำนัลซื้อเพชร จากร้าน Blue River Diamond มูลค่า 1 แสนบาท สำหรับคอนโดฯ ราคา 2.9-5.99 ล้านบาท มูลค่า 2.5 แสนบาท สำหรับคอนโดฯ ราคา 6-9.99 ล้านบาท มูลค่า 4 แสนบาท สำหรับคอนโดฯราคา 10-29.99 ล้านบาท และมูลค่า 1 ล้านบาท สำหรับคอนโดฯ 30 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งลูกค้าจะได้รับหลังจากเซ็นสัญญาแล้ว 30 วัน
นอกจากนี้ยังมีผู้ประกอบการให้ ส่วนลดจำนวนมาก เช่น บริษัท ปริญสิริ จำกัด (มหาชน) นำ 14 โครงการ และคอนโดฯ 4 โครงการออกงาน บริษัท เมโทรสตาร์ พร็อพเพอร์ตี้ฯ นำบ้านสร้างเสร็จในโครงการทาวน์โฮม รวิภา สุขุมวิท 103 ที่เหลือขายกว่า 50 ยูนิต มอบส่วนลด 9 แสนบาท จากราคาปกติ 4.5 ล้านบาท
บริษัท ธนาพัฒน์ พร็อพเพอร์ตี้ฯ แคมเปญ 3 ชั้น ส่วนลด 1-4.5 แสนบาท ต่อที่ 2 จับฉลากส่วนลด 1 แสนบาท และต่อที่ 3 ชิงโชคทองคำแท่ง 5 แสนบาท ส่วนบริษัท ซื่อตรงกรุ๊ป นำบ้าน 4 โครงการ ฟรีดอกเบี้ย 1 ปี โดยลูกค้าสามารถนำดอกเบี้ยมาหักเป็นส่วนลดได้ทันที ซึ่งจะคิดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารอาคารสงเคราะห์ปัจจุบันอยู่ที่ 5.5%