ไม่ว่าใครก็ตามถ้าลองมีคดีค้างอยู่ในศาลรับรองว่าร้อยทั้งร้อยก็ต้องร้อนใจ นั่งลุกไม่เป็นสุขอย่างแน่นอน ไม่มีข้อยกเว้นทั้งชาวบ้านธรรมดา หรือผู้มีอำนาจวาสนา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นคนที่มีความเป็นมาไม่ธรรมดาอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แล้วเดิมพันก็ยิ่งสูงเพิ่มเป็นทวีคูณ
เมื่อทุกอย่างเดิมพันสูง มันก็ต้องหาทางดิ้นหนีทุกทางเท่าที่จะทำได้
และถ้าสังเกตปรากฏการณ์ผิดปกติ เริ่มส่งสัญญาณมาล่วงหน้าก่อนเดินทางกลับเข้าประเทศเพียงไม่กี่วันเท่านั้น
แม้ว่าในเบื้องต้นสังคมอาจเข้าใจว่า ต้องการมามอบตัวสู้คดีโกงที่เป็น “ชนัก” ปักหลังอยู่หลายดอก ไม่มีใครเถียง เพราะถึงอย่างไร ช้าหรือเร็วก็ต้องกลับมาอยู่แล้ว
แต่คำถามก็คือทำไมต้องร่นเวลาเร็วขึ้น ลุกลี้ลุกลนผิดปกติต่างหากที่ต้องตั้งข้อสังเกต เพราะถ้าจะว่าไปแล้วเวลานี้ทุกอย่างคุมสภาพ ยึดอำนาจรัฐได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์
ทำไมไม่รออีกระยะหนึ่ง
เพราะก่อนหน้านี้ทั้งคำพูดออกจากปากของตัวเอง และคนใกล้ชิดไม่ว่าจะเป็นทนายความ ลูกในไส้ หรือลูกนอกไส้ ล้วนออกมาในโทนใกล้เคียงกันคืออย่างเร็วไม่เกินเดือนเมษายน ส่วนอย่างช้าไม่เกินพฤษภาคม
แต่นี่ไม่ทันถึงเดือนมีนาคมก็ต้องรีบแจ้นกลับมาแล้ว
ทั้งที่เคลียร์รันเวย์ กรุยทางยังไม่เรียบร้อยหมดจดดีนัก ก็ยังรีบมา
อย่างไรก็ดีอีกมุมหนึ่งถ้าจับอาการภายในให้ดีก็จะเข้าใจทันที เพราะถ้ามองย้อนไปในช่วงเวลานั้นเริ่มเกิดแรงกระเพื่อม
เริ่มมีเสียงเจี๊ยวจ๊าวภายในพรรคพลังประชาชน ทำท่าเปิดศึกภายในกันเองระหว่าง “ลิ่วล้อดั้งเดิม” กับพวกที่เข้ามาอาศัยใบบุญ เข้ามาเกาะชายคาพรรคภายหลัง
เริ่มพูดกันไม่รู้เรื่อง
ส่วนศึกนอกก็เริ่มรุมเร้า หลายคดีทั้งใน คตส.และดีเอสไอกำลังเข้าด้ายเข้าเข็มทยอยสรุปส่งอัยการ ส่งถึงศาลกันเข้ามาเรื่อยๆ
เมื่อสถานการณ์น่าจะส่อเค้าบานปลาย
ก็ต้องรีบเข้ามาคุมเกมด้วยตัวเอง
แต่เพื่อความชัวร์ในเบื้องต้นก็ต้องสายตรงกันเฉพาะ “ประเภทลูกน้อง” ที่ไว้ใจได้ เคลียร์ทางเท่าที่ทำได้ เน้นเฉพาะ “วาระเร่งด่วน” ก่อนเป็นอันดับแรก
และบังเอิญประจวบเหมาะกับการสั่งเด้ง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษและลูกน้องที่เกี่ยวข้องกับคดีสำคัญอีกล็อตใหญ่เกือบยกกรม
ทั้งหมดล้วนกุมคดีปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นเอสซีแอทเซท สรุปคดีถึงอัยการจ่อถึงศาลอยู่รอมร่อ รวมทั้งคดีซุกหุ้นภาคสอง คดีฟอกเงินที่กำลังจะตามมาเป็นพรวน
แม้มีการอ้างเหตุผลกันสารพัดกับการโยกย้าย แต่รับรองว่าถ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดมันก็อดคิดในทางลบไม่ได้
หรือการกดดันให้ย้าย พล.ต.อ.เสรีพิสุทธ์ เตมียาเวช พ้นจากปฏิบัติหน้าที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นต้น
สิ่งเหล่านี้เป็นปรากฏการณ์ที่ผิดปกติมาตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่ากันเฉพาะตำแหน่งสำคัญที่เกี่ยวกับอนาคตของ “นายใหญ่” โดยตรงเท่านั้น
ไม่นับรายอื่นๆที่เป็นลักษณะประเภทการแสดงของ “ลิ่วล้อ” ที่ต้องการ “โชล์ลีลาเหี้ยม” ให้เข้าตานาย ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน เช่น รายย้ายอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ เลขาธิการอย
ถ้าให้สรุปในเบื้องต้นให้เข้าใจตรงกัน สาเหตุหลักที่ต้องกลับมาก่อนกำหนด นอกเหนือจากเรื่อง “หุ่นเชิด” บางคนไม่ยอมให้เชิดได้เหมือนเดิมแล้วยังเป็นเรื่องคดีความต่างๆที่งวดเข้ามานี่แหละ
ดังนั้นถ้ามีทาง “ตัดตอน” ได้มันก็ต้องทำเสียแต่ต้นมือ
ไล่เรียงตอกย้ำให้เห็นภาพอีกครั้ง !!
อย่างไรก็ดีถ้าพิจารณาให้ละเอียด ปรากฏการณ์ดังกล่าวแม้จะสำคัญต่ออนาคตของ “นายใหญ่” แต่ยังถือว่าธรรมดา หากเทียบกับความเคลื่อนไหวที่กำลังจะเกิดขึ้นนับจากนี้ไป เพราะมีการส่งสัญญาณกันให้เห็นชัดเจนกันอีกรอบหนึ่งแล้ว
เริ่มจากการย้อนกลับไปพิจารณาการให้สัมภาษณ์ผ่านทางสื่อต่างประเทศยักษ์ใหญ่อย่าง “ไฟแนนเชี่ยล ไทม์” ออกโรงอัดคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ และรัฐบาล “ขิงแก่” อีกชุดใหญ่ กล่าวหาทำลายเสถียรภาพทางการเมือง และทำลายความเชื่อถือของนักลงทุนต่างชาติ
ดิสเครดิตสารพัด
นอกจากนี้ยังกระทบชิ่งไปถึง “คนบนยอด” กล่าวหาว่าได้รับผลประโยชน์จากรัฐบาลที่อ่อนแอเสียอีก ส่อนัยสื่อถึง “ใคร” บางคนเสียอีก
เท่านั้นยังไม่พอยังส่งสัญญาณเป่านกหวีดเปิดเกมแก้ไขรัฐธรรมนูญกันเป็นวาระเร่งด่วน ออกแรงกำชับให้ ส.ส.ในสภาดำเนินการทันที
คำรามลั่น "ถ้าสภาผู้แทนราษฎรไม่ทำอะไรเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ผมถือว่าสภาชุดนี้ไม่ซื่อสัตย์กับประชาชน” ว่ากันถึงขนาดนี้เลยทีเดียว
และก็ตามคาดไม่ทันสิ้นเสียงก็เริ่มมีการเคลื่อนไหวกันอย่างเอาจริงเอาจังทันทีที่รัฐสภา เนื่องจากมี ส.ส.กลุ่มหนึ่งของ “พลังประชาชน” รวบรวมรายชื่อเสนอตั้งกรรมาธิการวิสามัญขึ้นมาชุดหนึ่งเพื่อศึกษาปัญหารัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จภายใน 90 วัน
ถือว่าเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นวาระจำเป็นยิ่งยวด ต้องรีบตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อดำเนินการก่อนที่จะมีคณะกรรมาธิการสามัญด้วยซ้ำ
ทั้งที่รัฐธรรมนูญฉบับนี้แม้จะเป็นผลผลิตจากการรัฐประหาร และเพิ่งมีผลบังคับใช้มาเพียงไม่กี่เดือน ก็ตั้งแท่นรื้อกันแบบยกกระบิ
ขณะเดียวกันถ้าพิจารณาให้ละเอียดประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญน่าจะเป็นประเด็นหลัก ที่ต้องเร่งทำ เพราะถ้าสำเร็จเร็วเท่าไรแผนการ “กระชับอำนาจ” เพื่อฟื้นฟูระบอบทักษิณให้กลับมา ควบคุมอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดมากกว่าเดิมก็ยิ่งเป็นไปได้มากเท่านั้น
แต่อีกมุมหนึ่งใช่ว่าความเคลื่อนไหวในลักษณะดังกล่าวของ “แม้ว” และเครือข่ายจะปลอดโปร่งโล่งตลอด เพราะเริ่มมีคนรู้ทันมากขึ้นเรื่อยๆ
และเชื่อว่าเป้าหมายที่ซ่อนอยู่หลังฉากน่าจะเป็นเรื่อง การล้มล้างคำสั่งของ คมช.ขัดขวางองค์กรตรวจสอบคดีทุจริตอย่าง คตส.ให้เป็นองค์กรเถื่อน ลุ้นให้ซ้ำรอย คตส.ในยุค รสช.ที่ยึดทรัพย์นักการเมืองเป็นโมฆะ
แถมถ้าเกิดฟลุ้กยังมีโอกาสได้นิรโทษ 111 อดีตไทยรักไทยให้ฟื้นคืนชีพกลับมาเร็วกว่ากำหนด ได้กำไรสองต่อ
อีกเรื่องที่ต้องโฟกัสไม่ให้คลาดสายตา น่าจะเป็นเรื่องการโยกย้ายขุนทหารกลางปี เนื่องจากมันเกี่ยวเนื่องกันไปเป็นเพ็กเกจ พันกันนัวเนีย
แถมยังอยู่ในแผนการรุกคืบ “เอาคืน” ซึ่งกองทัพก็คือเป้าหมายหลัก และยังเป็นการสรุปบทเรียนในอดีตมันก็น่าจับตา
แต่ถ้าให้วัดกำลังกันในตอนนี้คง “หัก” เข้าตีไม่ลง คงทำได้แค่สร้างแรงกดดันจากภายนอกค่อยๆโอบเข้าไปมากกว่า
แต่อย่างน้อยแม้จะไม่อาจรุกคืบเข้าไปถึงตำแหน่งหลักยกแผง แต่เชื่อว่าระดับ “เพื่อนๆ” เตรียมทหารรุ่น 10 จะเรียงแถวเดินเข้าไลน์กันเป็นแถว อย่างน้อยเพื่อรอโอกาสขยับในช่วงโยกย้ายปลายปีอีกครั้ง
รอให้กระชับอำนาจให้เข้าที่เข้าทางอีกสองสามเดือนก็ยังไม่สาย
ดังนั้นถ้าให้ปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดต่อเนื่องกันตั้งแต่ต้นแล้ว น่าจะฟันธงตรงกันว่า งานนี้ “นายใหญ่” ใจร้อนเร่งเกมเสี่ยง ไล่บี้เข้าใส่ไม่ยั้งตั้งแต่ต้นมือไม่ยอมให้ฝ่ายตรงข้ามได้หายใจหายคอ
ส่วนหนึ่งถ้าให้เดาอาจเป็นเพราะสถานการณ์มันเริ่มเปลี่ยนไป หลายปัจจัยรุมเร้า
1 คนรู้ทันมากขึ้น
2 เชื่อใจ “หมัก” ไม่ได้เต็มร้อย
3 คดีเริ่มสู่ศาล
ทุกอย่างเดิมพันสูงทั้งสิ้น ดังนั้นถ้าปล่อยให้เวลาทอดยาวไปเรื่อยๆ โอกาสพังทั้งกระดานก็มีสูง และเมื่อพิจารณารอบด้านแล้วยังเชื่อว่าภายในระยะ 2-3 เดือนนี่แหละจะมีความเคลื่อนไหว
ที่สำคัญทยอยออกมาเป็นระลอก อย่ากระพริบตา
เพราะนี่คือเดิมพันอนาคต !!
เมื่อทุกอย่างเดิมพันสูง มันก็ต้องหาทางดิ้นหนีทุกทางเท่าที่จะทำได้
และถ้าสังเกตปรากฏการณ์ผิดปกติ เริ่มส่งสัญญาณมาล่วงหน้าก่อนเดินทางกลับเข้าประเทศเพียงไม่กี่วันเท่านั้น
แม้ว่าในเบื้องต้นสังคมอาจเข้าใจว่า ต้องการมามอบตัวสู้คดีโกงที่เป็น “ชนัก” ปักหลังอยู่หลายดอก ไม่มีใครเถียง เพราะถึงอย่างไร ช้าหรือเร็วก็ต้องกลับมาอยู่แล้ว
แต่คำถามก็คือทำไมต้องร่นเวลาเร็วขึ้น ลุกลี้ลุกลนผิดปกติต่างหากที่ต้องตั้งข้อสังเกต เพราะถ้าจะว่าไปแล้วเวลานี้ทุกอย่างคุมสภาพ ยึดอำนาจรัฐได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์
ทำไมไม่รออีกระยะหนึ่ง
เพราะก่อนหน้านี้ทั้งคำพูดออกจากปากของตัวเอง และคนใกล้ชิดไม่ว่าจะเป็นทนายความ ลูกในไส้ หรือลูกนอกไส้ ล้วนออกมาในโทนใกล้เคียงกันคืออย่างเร็วไม่เกินเดือนเมษายน ส่วนอย่างช้าไม่เกินพฤษภาคม
แต่นี่ไม่ทันถึงเดือนมีนาคมก็ต้องรีบแจ้นกลับมาแล้ว
ทั้งที่เคลียร์รันเวย์ กรุยทางยังไม่เรียบร้อยหมดจดดีนัก ก็ยังรีบมา
อย่างไรก็ดีอีกมุมหนึ่งถ้าจับอาการภายในให้ดีก็จะเข้าใจทันที เพราะถ้ามองย้อนไปในช่วงเวลานั้นเริ่มเกิดแรงกระเพื่อม
เริ่มมีเสียงเจี๊ยวจ๊าวภายในพรรคพลังประชาชน ทำท่าเปิดศึกภายในกันเองระหว่าง “ลิ่วล้อดั้งเดิม” กับพวกที่เข้ามาอาศัยใบบุญ เข้ามาเกาะชายคาพรรคภายหลัง
เริ่มพูดกันไม่รู้เรื่อง
ส่วนศึกนอกก็เริ่มรุมเร้า หลายคดีทั้งใน คตส.และดีเอสไอกำลังเข้าด้ายเข้าเข็มทยอยสรุปส่งอัยการ ส่งถึงศาลกันเข้ามาเรื่อยๆ
เมื่อสถานการณ์น่าจะส่อเค้าบานปลาย
ก็ต้องรีบเข้ามาคุมเกมด้วยตัวเอง
แต่เพื่อความชัวร์ในเบื้องต้นก็ต้องสายตรงกันเฉพาะ “ประเภทลูกน้อง” ที่ไว้ใจได้ เคลียร์ทางเท่าที่ทำได้ เน้นเฉพาะ “วาระเร่งด่วน” ก่อนเป็นอันดับแรก
และบังเอิญประจวบเหมาะกับการสั่งเด้ง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษและลูกน้องที่เกี่ยวข้องกับคดีสำคัญอีกล็อตใหญ่เกือบยกกรม
ทั้งหมดล้วนกุมคดีปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นเอสซีแอทเซท สรุปคดีถึงอัยการจ่อถึงศาลอยู่รอมร่อ รวมทั้งคดีซุกหุ้นภาคสอง คดีฟอกเงินที่กำลังจะตามมาเป็นพรวน
แม้มีการอ้างเหตุผลกันสารพัดกับการโยกย้าย แต่รับรองว่าถ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดมันก็อดคิดในทางลบไม่ได้
หรือการกดดันให้ย้าย พล.ต.อ.เสรีพิสุทธ์ เตมียาเวช พ้นจากปฏิบัติหน้าที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นต้น
สิ่งเหล่านี้เป็นปรากฏการณ์ที่ผิดปกติมาตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่ากันเฉพาะตำแหน่งสำคัญที่เกี่ยวกับอนาคตของ “นายใหญ่” โดยตรงเท่านั้น
ไม่นับรายอื่นๆที่เป็นลักษณะประเภทการแสดงของ “ลิ่วล้อ” ที่ต้องการ “โชล์ลีลาเหี้ยม” ให้เข้าตานาย ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน เช่น รายย้ายอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ เลขาธิการอย
ถ้าให้สรุปในเบื้องต้นให้เข้าใจตรงกัน สาเหตุหลักที่ต้องกลับมาก่อนกำหนด นอกเหนือจากเรื่อง “หุ่นเชิด” บางคนไม่ยอมให้เชิดได้เหมือนเดิมแล้วยังเป็นเรื่องคดีความต่างๆที่งวดเข้ามานี่แหละ
ดังนั้นถ้ามีทาง “ตัดตอน” ได้มันก็ต้องทำเสียแต่ต้นมือ
ไล่เรียงตอกย้ำให้เห็นภาพอีกครั้ง !!
อย่างไรก็ดีถ้าพิจารณาให้ละเอียด ปรากฏการณ์ดังกล่าวแม้จะสำคัญต่ออนาคตของ “นายใหญ่” แต่ยังถือว่าธรรมดา หากเทียบกับความเคลื่อนไหวที่กำลังจะเกิดขึ้นนับจากนี้ไป เพราะมีการส่งสัญญาณกันให้เห็นชัดเจนกันอีกรอบหนึ่งแล้ว
เริ่มจากการย้อนกลับไปพิจารณาการให้สัมภาษณ์ผ่านทางสื่อต่างประเทศยักษ์ใหญ่อย่าง “ไฟแนนเชี่ยล ไทม์” ออกโรงอัดคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ และรัฐบาล “ขิงแก่” อีกชุดใหญ่ กล่าวหาทำลายเสถียรภาพทางการเมือง และทำลายความเชื่อถือของนักลงทุนต่างชาติ
ดิสเครดิตสารพัด
นอกจากนี้ยังกระทบชิ่งไปถึง “คนบนยอด” กล่าวหาว่าได้รับผลประโยชน์จากรัฐบาลที่อ่อนแอเสียอีก ส่อนัยสื่อถึง “ใคร” บางคนเสียอีก
เท่านั้นยังไม่พอยังส่งสัญญาณเป่านกหวีดเปิดเกมแก้ไขรัฐธรรมนูญกันเป็นวาระเร่งด่วน ออกแรงกำชับให้ ส.ส.ในสภาดำเนินการทันที
คำรามลั่น "ถ้าสภาผู้แทนราษฎรไม่ทำอะไรเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ผมถือว่าสภาชุดนี้ไม่ซื่อสัตย์กับประชาชน” ว่ากันถึงขนาดนี้เลยทีเดียว
และก็ตามคาดไม่ทันสิ้นเสียงก็เริ่มมีการเคลื่อนไหวกันอย่างเอาจริงเอาจังทันทีที่รัฐสภา เนื่องจากมี ส.ส.กลุ่มหนึ่งของ “พลังประชาชน” รวบรวมรายชื่อเสนอตั้งกรรมาธิการวิสามัญขึ้นมาชุดหนึ่งเพื่อศึกษาปัญหารัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จภายใน 90 วัน
ถือว่าเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นวาระจำเป็นยิ่งยวด ต้องรีบตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อดำเนินการก่อนที่จะมีคณะกรรมาธิการสามัญด้วยซ้ำ
ทั้งที่รัฐธรรมนูญฉบับนี้แม้จะเป็นผลผลิตจากการรัฐประหาร และเพิ่งมีผลบังคับใช้มาเพียงไม่กี่เดือน ก็ตั้งแท่นรื้อกันแบบยกกระบิ
ขณะเดียวกันถ้าพิจารณาให้ละเอียดประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญน่าจะเป็นประเด็นหลัก ที่ต้องเร่งทำ เพราะถ้าสำเร็จเร็วเท่าไรแผนการ “กระชับอำนาจ” เพื่อฟื้นฟูระบอบทักษิณให้กลับมา ควบคุมอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดมากกว่าเดิมก็ยิ่งเป็นไปได้มากเท่านั้น
แต่อีกมุมหนึ่งใช่ว่าความเคลื่อนไหวในลักษณะดังกล่าวของ “แม้ว” และเครือข่ายจะปลอดโปร่งโล่งตลอด เพราะเริ่มมีคนรู้ทันมากขึ้นเรื่อยๆ
และเชื่อว่าเป้าหมายที่ซ่อนอยู่หลังฉากน่าจะเป็นเรื่อง การล้มล้างคำสั่งของ คมช.ขัดขวางองค์กรตรวจสอบคดีทุจริตอย่าง คตส.ให้เป็นองค์กรเถื่อน ลุ้นให้ซ้ำรอย คตส.ในยุค รสช.ที่ยึดทรัพย์นักการเมืองเป็นโมฆะ
แถมถ้าเกิดฟลุ้กยังมีโอกาสได้นิรโทษ 111 อดีตไทยรักไทยให้ฟื้นคืนชีพกลับมาเร็วกว่ากำหนด ได้กำไรสองต่อ
อีกเรื่องที่ต้องโฟกัสไม่ให้คลาดสายตา น่าจะเป็นเรื่องการโยกย้ายขุนทหารกลางปี เนื่องจากมันเกี่ยวเนื่องกันไปเป็นเพ็กเกจ พันกันนัวเนีย
แถมยังอยู่ในแผนการรุกคืบ “เอาคืน” ซึ่งกองทัพก็คือเป้าหมายหลัก และยังเป็นการสรุปบทเรียนในอดีตมันก็น่าจับตา
แต่ถ้าให้วัดกำลังกันในตอนนี้คง “หัก” เข้าตีไม่ลง คงทำได้แค่สร้างแรงกดดันจากภายนอกค่อยๆโอบเข้าไปมากกว่า
แต่อย่างน้อยแม้จะไม่อาจรุกคืบเข้าไปถึงตำแหน่งหลักยกแผง แต่เชื่อว่าระดับ “เพื่อนๆ” เตรียมทหารรุ่น 10 จะเรียงแถวเดินเข้าไลน์กันเป็นแถว อย่างน้อยเพื่อรอโอกาสขยับในช่วงโยกย้ายปลายปีอีกครั้ง
รอให้กระชับอำนาจให้เข้าที่เข้าทางอีกสองสามเดือนก็ยังไม่สาย
ดังนั้นถ้าให้ปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดต่อเนื่องกันตั้งแต่ต้นแล้ว น่าจะฟันธงตรงกันว่า งานนี้ “นายใหญ่” ใจร้อนเร่งเกมเสี่ยง ไล่บี้เข้าใส่ไม่ยั้งตั้งแต่ต้นมือไม่ยอมให้ฝ่ายตรงข้ามได้หายใจหายคอ
ส่วนหนึ่งถ้าให้เดาอาจเป็นเพราะสถานการณ์มันเริ่มเปลี่ยนไป หลายปัจจัยรุมเร้า
1 คนรู้ทันมากขึ้น
2 เชื่อใจ “หมัก” ไม่ได้เต็มร้อย
3 คดีเริ่มสู่ศาล
ทุกอย่างเดิมพันสูงทั้งสิ้น ดังนั้นถ้าปล่อยให้เวลาทอดยาวไปเรื่อยๆ โอกาสพังทั้งกระดานก็มีสูง และเมื่อพิจารณารอบด้านแล้วยังเชื่อว่าภายในระยะ 2-3 เดือนนี่แหละจะมีความเคลื่อนไหว
ที่สำคัญทยอยออกมาเป็นระลอก อย่ากระพริบตา
เพราะนี่คือเดิมพันอนาคต !!