ผู้จัดการออนไลน์ – “ณัฐวุฒิ” อดีตนปก.ที่ได้ดีกลายเป็นรองโฆษกประจำสำนักนายกฯ ปากคาบคัมภีร์ประชาธิปไตยตีหน้าซื่อกลางจอทีวี ระบุหน้าตาครม.ดีที่สุดเท่าที่จะดีได้ ยันผลงานดีกว่ายุคขิงแก่แน่ ปฏิเสธเสียงแข็งโยกย้ายข้าราชการ แทรกแซงกระบวนการยุติธรรม โต้หมอไล่รมต.สาธารณสุขม็อบจัดตั้งแน่ โกหกกลางจอพีทีวีไม่เคยได้ออกอากาศในยุคคมช. ปากแข็งไม่เคยแทรกแซง ASTV บิดเบือน‘กาสิโน’ไม่ใช่‘บ่อน’
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง "ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ" ท่องคำว่าประชาธิปไตย อัดพันธมิตร-ASTV เชิดชู "ทักษิณ ชินวัตร" ผ่านทางรายการตอบโจทย์ ช่อง Thai-PBS
วานนี้ (6 มี.ค.) นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้รับเชิญมาออกรายการตอบโจทย์ ทางสถานีโทรทัศน์สาธารณะไทยพีบีเอส โดยทางรายการใช้หัวข้อในการสนทนาว่า “กลียุคมาแล้ว ... จริงหรือ?” โดยนายณัฐวุฒิได้ออกมาแสดงความเห็นหลายประการต่อนโยบายของรัฐบาล ความเคลื่อนไหวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอีกครั้ง และการเข้าแทรกแซงการออกอากาศของสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี
ในตอนต้นนายภัทร จึงการกุล พิธีกรรายการได้สอบถามถึง ความไม่พอใจของคนในสังคมที่มีต่อคนที่มารับหน้าที่ในคณะรัฐมนตรี รวมถึงเลขานุการและที่ปรึกษาด้วยนั้นว่ามีความเห็นว่าอย่างไร? นายณัฐวุฒิให้คำตอบว่า ปัจจุบันบุคลากรการเมืองเท่าที่มีอยู่ที่ได้รับแต่งตั้งเข้ามาดำรงตำแหน่งนั้นก็ถือว่าดีที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วเพราะบุคลากรที่มีคุณภาพอย่างอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยก็ถูกตัดสิทธิไปหมด ส่วนคณะรัฐมนตรีแม้เมื่อดูชื่อเสียงแล้วจะไม่ดีนักแต่ก็เป็นรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยที่มาจากการเลือกตั้ง อยากจะให้ดูผลงานมากกว่า ซึ่งอยากให้เปรียบเทียบกับรัฐบาลชุดที่แล้วที่หน้าตาดีแต่ไม่มีผลงาน
“เรามีบุคลากรอยู่เท่าที่เห็น บุคลากรทางด้านการเมืองที่มีความรู้ความสามารถจำนวนมาก 111 คนถูกกันออก ตกขอบเวที ตอนนี้ก็ดีสุดเท่าที่จะดีได้แล้ว ถ้าจะแสดงความเห็นตั้งข้อสังเกตกันว่าคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดนี้หน้าตามันไม่ดีและเป็นการหลู่เกียรติหมิ่นเกียรติภูมิของประเทศ ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ดูผลงานกันเลย ... ผมอยากจะให้ย้อนไปดูผลงานของรัฐบาลชุดที่แล้ว ที่เขาเรียกว่าเป็นรัฐบาลขิงแก่ รัฐบาลชุดที่แล้วขออนุญาตพูดว่าเป็นรัฐบาลที่หน้าตาดี แต่ละคนได้รับการยอมรับว่ามีความรู้ความสามารถโดยตรง หลายกระทรวงมีคนที่เป็นปลัดกระทรวงมาเป็นรัฐมนตรี (พิธีกรกล่าวเสริมว่า กำลังจะบอกว่ารัฐบาลชุดแล้วไม่ค่อยมีผลงานใช่หรือไม่?) ในสายตาประชาชนทั้งประเทศ รัฐบาลชุดที่แล้วเนี่ยชัด” รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าว
นอกจากนี้นายณัฐวุฒิยังอ้างว่าการโยกย้ายข้าราชการระดับสูงที่มีอย่างบ่อยครั้งในช่วงที่ผ่านมาเช่น กรมสอบสวนคดีพิเศษ, กรมประชาสัมพันธ์, สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาและสำนักงานตำรวจแห่งชาตินั้นเป็นสิทธิทางการบริหารของรัฐมนตรี อย่างไรก็ตามกรณีของ พล.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาตินั้นมีความแตกต่างออกไป
“กรณีของท่าน ผบ.เสรีพิศุทธ์ท่านถูกตั้งคณะกรรมการสอบ เพราะฉะนั้นก็คงจะเป็นเหตุผลที่แตกต่างออกไปจากสามท่านแรก” นายณัฐวุฒิกล่าว
อ้างตาใสไม่ได้แทรกแซงคดีทักษิณ
เมื่อพิธีกรกล่าวถึงการโยกย้ายข้าราชการจำนวนมากถึง 31 คนในกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ว่ามีความเกี่ยวข้องหรือไม่กับการแทรกแซงคดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นายณัฐวุฒิรีบตอบว่า กรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณที่อยู่ในดีเอสไอนั้นหลายคดีอยู่ในขั้นของอัยการแล้ว ไม่เกี่ยวกับดีเอสไออีกต่อไป
อย่างไรก็ตามเมื่อพิธีกรแย้งว่าอย่างไรก็ตามอธิบดีดีเอสไอก็ยังคงต้องไปให้การในชั้นศาลใช่หรือไม่และอาจจะเกิดกรณีเกียร์ว่างขึ้น นายณัฐวุฒิกล่าวตอบว่า อธิบดีดีเอสไอคนใหม่มิอาจทำเช่นนั้นได้และจำเป็นที่จะต้องให้การไปตามข้อเท็จจริงและไม่อาจบิดเบือนได้
“มันจะเป็นเกียร์ว่างไปได้อย่างไร ในเมื่อสายตาของคนทั้งประเทศ และคนทั้งโลกกำลังติดตามเรื่องนี้อยู่” นายณัฐวุฒิอ้างและกล่าวต่อว่าคงไม่มีข้าราชการคนใดที่จะเอาชีวิตราชการเข้าไปเสี่ยงกับการกระทำผิดอย่างที่ว่า
อัดหมอไล่‘ไชยา’ม็อบจัดตั้ง
เมื่อถามถึงกระแสความไม่พอใจของข้าราชการต่อการกระทำของรัฐมนตรีจนทำให้มีการล่ารายชื่อเพื่อถอดถอนรัฐมนตรีอย่างเช่น นายไชยา สะสมทรัพย์ รมว.สาธารณสุข ว่าทำให้รัฐบาลรู้สึกกดดันหรือไม่ นายณัฐวุฒิตอบว่าไม่รู้สึกกดดัน และเป็นสิทธิที่ทำได้ในกรอบของกฎหมาย
“ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้น การที่จะมีผู้คนออกมาล่ารายชื่อออกมาขับไล่รัฐมนตรีพร้อมๆ กันทีเดียวหลายกระทรวงมันจะต้องมีการจัดการพิเศษฮะ มันจะไม่ใช่เหตุการณ์ปกติธรรมชาติ ... ผมเชื่อว่าที่กระทรวงสาธารณสุขก็เช่นเดียวกันว่ามันต้องมีการจัดการพิเศษ” นายณัฐวุฒิกล่าว
“ผมเรียนอย่างนี้ว่า ข้าราชการไม่ใช่เฉพาะสามสี่ท่านที่โดนขยับปรับย้าย จำนวนทั้งหมดที่อยู่ในแวดวงข้าราชการขณะนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นข้าราชการที่เคยทำงานให้กับรัฐบาลชุดที่เพิ่งจะผ่านมา แล้วรัฐบาลชุดที่เพิ่งจะผ่านมา แล้วรัฐบาลชุดที่เพิ่งจะผ่านมาผลงานปรากฎเป็นเช่นไรไม่ต้องกล่าวอ้างกัน เดี๋ยวจะหาว่าโจมตี ... เพราะฉะนั้นข้าราชการในยุครัฐบาลที่แล้วก็ถูกค่อนแคะเช่นกันว่าเป็นข้าราชการในยุคที่กำลังเข้าเกียร์ว่าง แล้วขณะนี้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน รับผิดชอบความคาดหวังของประชาชนเต็มๆ เขาจะเปลี่ยนเกียร์บ้าง ก็ต้องให้โอกาสกัน”
ไม่รู้เรื่อง ASTV ถูกแทรกแซง
เมื่อพิธีกรรายการสอบถามถึงการแทรกแซงสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเอเอสทีวีที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยยกขึ้นมาเป็นเหตุผลในการเคลื่อนไหวว่าทางรัฐบาลมองประเด็นนี้ว่าอย่างไร นายณัฐวุฒิตอบว่า“ผมยังไม่ทราบข้อเท็จจริงเรื่องนี้ว่ามีการก่อกวนกันหรือไม่ อย่างไร ก็ต้องบอกว่าเอเอสทีวีก็เป็นช่องโทรทัศน์ดาวเทียมที่เขาออกอากาศมาอย่างยาวนาน แล้วเขาก็มีบทบาทที่ชัดเจนเหลือเกินในการต่อต้าน พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร”
พิธีกรถามต่อว่ารัฐบาลมองเอเอสทีวีด้วยสายตาที่ไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ใช่หรือไม่ นายณัฐวุฒิตอบว่า “ผมต้องบอกกันตรงๆ อย่างนี้ว่า จุดยืนหรือท่วงทำนองของเอเอสทีวี ก็มีความแปลกแปร่งในสายตาของสังคมเช่นเดียวกัน เพราะว่า วันที่เรามีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน เอเอสทีวีก็เป็นหัวขบวนในการขับไล่ แล้วก็เรียกร้องทหารให้ออกมาทำการรัฐประหารด้วยซ้ำไป อันนี้เป็นข้อเท็จจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ พอปรากฎว่ามีรัฐบาลที่มาจากการยึดอำนาจเอเอสทีวีก็เงียบไป แล้วหันหลังกลับไปไล่บี้รัฐบาลที่เพิ่งถูกยึดอำนาจไป”
ถามต่อว่าเอเอสทีวีในยุครัฐบาลพรรคพลังประชาชนนั้นจะต้องประสบชะตากรรมเหมือนกับที่ พีทีวีเคยประสบในยุครัฐบาลที่มาจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติหรือไม่ นายณัฐวุฒิตอบว่า “ไม่ใช่ฮะ เพราะว่าพีทีวีในยุคคมช. สิ่งที่เราเจอ ก็คือเราไม่ได้ออกอากาศเลย ... วันนี้เขาก็ยังได้ออกอากาศอยู่นี่ฮะ ... ผมยังไม่ทราบจริงๆ ว่ามีการแทรกแซงกันจริงหรือเปล่า และไม่ทราบจริงๆ ว่ามีการแทรกแซงกันยังไง”
ทั้งนี้เป็นที่น่าสังเกตว่า คำพูดของนายณัฐวุฒิที่ว่าในยุคของ คมช.นั้น พีทีวีไม่ได้ออกอากาศนั้นเป็นคำพูดที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง เพราะขณะที่นายณัฐวุฒิเข้าร่วมกับแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) เพื่อก่อม็อบที่สร้างความรุนแรงขับไล่ คมช.นั้น มีการถ่ายทอดสดและบันทึกภาพการปราศรัยที่ท้องสนามหลวง รวมถึงการเคลื่อนไหวของ นปก.โดยตลอดผ่านทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมช่องหนึ่ง
ปฏิเสธรบ.ลุแก่อำนาจ-เลียทักษิณ
ในช่วงต่อมาเมื่อมีการถามถึงนโยบายลุแก่อำนาจของรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช และการเคลื่อนไหวเป็นข่าวคราวอย่างต่อเนื่องของอดีตนายกรัฐมนตรีว่ากำลังทำให้บ้านเมืองวุ่นวาย อดีตนปก.กล่าวว่า
“วันนี้ การลุแก่อำนาจของรัฐบาลก็ดี การเคลื่อนไหวให้สัมภาษณ์ของอดีตนายกรัฐมนตรีเองก็ดี วันนี้ผมมองว่าไม่ได้ส่งผลกระทบใดๆ ต่อสถานการณ์บ้านเมืองเลย เหตุผลที่หนึ่งก็คือรัฐบาลนี้ไม่ได้กระทำการอะไรที่ลุแก่อำนาจ
“โลกนี้มันเป็นโลกประชาธิปไตย สังคมเป็นสังคมประชาธิปไตย อดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ท่านก็เป็นคนไทยก็รักบ้านรักเมือง ห่วงใยบ้านเมือง แล้วเมื่อมีคนไปถามท่านก็แสดงความเห็นออกมาบ้าง แล้วล่าสุดที่ท่านแสดงความเห็นมาเรื่องการยึดอำนาจแล้วส่งผลให้เศรษฐกิจ ให้สังคมไทยมันทรุดลง ผมก็เรียนว่าไม่มีข้อไหนไม่จริงนี่ครับ เพราะฉะนั้นคนไทยคนหนึ่งจะพูดความจริงต่อคนไทยด้วยกันหรือต่อสังคมโลกนี่ผมว่าเราก็ต้องรับฟังกันได้”
บิดเบือนตั้ง ‘กาสิโน’ไม่ใช่‘บ่อน’
นายณัฐวุฒิกล่าวต่อด้วยว่า กรณีที่พันธมิตรฯ ออกมาแสดงท่าทีคัดค้านนโยบายการตั้งบ่อนเสรีนั้น จริงๆ แล้วรัฐบาลไม่ได้มีนโยบายในการตั้งบ่อนเสรีแต่เป็นการตั้งกาสิโนและโครงการเหล่านี้ยังไม่ออกมาเพียงแต่เป็นการคิดดังๆ ของรัฐบาลเท่านั้น
“เป็นการคิดดังๆ ยังไม่เอาไปขายใคร ถ้าเอาไปขายแล้วก็หมายความว่า ก็ต้องไปถามประชาชนแล้วว่าเอาไหม รัฐบาลเอาแน่ อย่างนี้ถึงจะเรียกว่าขายแล้ว แต่นี่เป็นการคิดดังๆ ว่ารอบบ้านผ่านเมืองของเราหลายๆ เมืองของก็มีเรื่องนี้ ... เพราะฉะนั้นไอ้คำว่าบ่อนเสรีกับคำว่ากาสิโนมันแตกต่างกันมากครับ คำว่าบ่อนเสรีหมายความว่าใครก็เปิดบ่อนได้ ซึ่งไม่ใช่ ยังไงก็ยอมให้เป็นไม่ได้ ซึ่งรัฐบาลก็ไม่มีนโยบายนั้น แต่กาสิโนมันเป็นสิ่งน่าคิด เพราะรอบบ้านเขาก็ทำกันแล้วมันเกิดผลอย่างที่เห็น”
นอกจากนี้อดีตแกนนำนปก.ยังกล่าวอ้างในรายการด้วยว่ารัฐบาลชุดนี้ไม่มีการแทรกแซงสื่อแน่นอน เพราะเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง เป็นรัฐบาลของประชาชน เป็นรัฐบาลของประชาธิปไตย ทั้งนี้ก็เป็นที่น่าสังเกตเช่นกันว่า ในอดีตรัฐบาลภายใต้การนำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และพรรคไทยรักไทย ซึ่งถือว่าเป็นต้นแบบของรัฐบาลชุดปัจจุบันและบุคลากรหลายส่วนก็ได้รับการสืบทอดมากจากพรรคไทยรักไทยกลับได้รับคำครหาว่าเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งที่แทรกแซงสื่อมวลชนมากที่สุดในทุกรูปแบบ
ยันรัฐบาลไม่มีวันปฏิวัติตัวเอง
ในตอนท้ายของการสัมภาษณ์นายณัฐวุฒิถึงกรณีที่แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยออกมาพูดดักคอว่า เพื่อให้ พ.ต.ท.ทักษิณรอดพ้นจากการตรวจสอบและลงโทษของกระบวนการยุติธรรม รัฐบาลชุดนี้อาจมีการลงมือทำรัฐประหารตนเองว่า ไม่มีทางเป็นไปได้โดยเด็ดขาด
พันธมิตรฯ โต้คำโกหก
ทั้งนี้ในช่วงต่อมาทางรายการตอบโจทย์ได้มีการเชิญนายสมศักดิ์ โกศัยสุข หนึ่งในแกนนำพันธมิตรฯ มาอธิบายถึงเรื่องดังกล่าวนายสมศักดิ์ก็อธิบายถึงเหตุผลในการวิเคราะห์ถึงการทำรัฐประหารตนเองของแกนนำพันธมิตรฯ ว่ามีความเป็นไปได้อย่างที่กล่าวไปแล้ว
ขณะที่นายสมศักดิ์ยังกล่าวด้วยว่า การที่นายณัฐวุฒิกล่าวว่าพันธมิตรฯ นิ่งเงียบในช่วง คมช.ยึดอำนาจอยู่นั้นไม่เป็นความจริง เพราะ ในช่วงดังกล่าวพันธมิตรฯ ออกมาวิพากษ์วิจารณ์คมช.และ รัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์อย่างต่อเนื่องและอาจจะถือว่าเป็นผู้วิพากษ์วิจารณ์ พล.อ.สุรยุทธ์เป็นคนแรกๆ ด้วย แต่สาเหตุที่ในช่วงดังกล่าวพันธมิตรฯ ไม่ดำเนินการเคลื่อนไหวก็เนื่องจากขณะนั้น กลุ่ม นปก.ของนายณัฐวุฒิกำลังเคลื่อนไหวโดยใช้ความรุนแรงอยู่ อย่างเช่น กรณีบุกไปก่อความวุ่นวายที่บริเวณบ้านสี่เสาเทเวศร์ของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ดังนั้นกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ยึดหลักการเคลื่อนไหวโดยสงบจึงไม่เคลื่อนไหวโดยการรวมตัวเพื่อที่จะไม่ให้เกิดเหตุการณ์ม็อบชนม็อบจนทำให้เกิดความรุนแรง