สนามบินสุวรรณภูมิ เช้าวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2551 ประวัติศาสตร์คงจะต้องบันทึกว่า มีการเตรียมการต้อนรับผู้ที่เดินทางกลับเข้ามาประเทศที่ยิ่งใหญ่เอิกเกริกที่สุดเท่าที่เคยมีมาก่อน เจ้าหน้าที่ตำรวจหลายพันนายมาคอยต้อนรับและอารักขา พร้อมกับมีการรักษาความปลอดภัยตามถนนทุกสายที่ผู้มาถึงจะเดินทางไปอย่างเข้มงวด
มีคนยืนยันว่า นายตำรวจที่จงรักภักดีต่ออดีตท่านผู้นำถึงกับบินไปวางแผนรับมือการกลับประเทศของอดีตท่านผู้นำถึงประเทศสิงคโปร์
ผู้บริหารสนามบินสุวรรณภูมิสั่งเตรียมห้อง วีไอพีที่อยู่ใต้คอนคอร์ซจี (Concourse G) ไว้รองรับ ขณะที่บริเวณลานจอดรถฝั่งตรงข้าม เจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งแถวเป็นแนวยาวหันหน้าให้กับประชาชนที่มาคอยต้อนรับและหันหลังให้กับสนามบิน ทุกมุมด้านบนของสนามบินสุวรรณภูมิที่สามารถทอดสายตามายังบริเวณที่ผู้มาถึงจะเดินออกมาถูกจับจ้องโดยเจ้าหน้าที่อย่างไม่ให้คลาดสายตา
ฝั่งตรงข้ามตัวอาคารคราคร่ำไปด้วยประชาชนซึ่งพากันส่งเสียงร้องเซ็งแซ่อลหม่าน บ้างก็ร้องเพลง บ้างก็ส่งเสียงตะโกนก้องว่า "เรารักทักษิณ" พร้อมชูแผ่นป้ายให้การต้อนรับต่างๆนานาสุดที่ที่แต่ละคนจะบรรยายกันออกมา เช่น "อีป่อ ปิ๊กบ้าน" ซึ่งทำให้รู้ว่า บัดนี้ทักษิณได้กลายเป็น "พ่อ"อีกคนหนึ่งของคนไทยบางคนไปแล้ว พร้อมกับธงสีขาวมีรูปอดีตผู้นำโบกสะบัดไปทั่วบริเวณ
ไม่แปลกหรอกครับที่มีคนจำนวนมากแห่มาต้อนรับท่านอดีตผู้นำ เพราะจริงๆแล้วผมเคยคิดว่าจะมีคนแห่มาต้อนรับอดีตท่านผู้นำมากกว่านี้ด้วยซ้ำไป เคยหลับตาคิดถึงคนเป็นหมื่นๆแสนๆ แต่ถึงเวลาก็มาจริงๆไม่กี่พันคน ก่อนหน้านี้ได้ยินคุณกรุง ศรีวิไล ส.ส.ปากน้ำ เจ้าของพื้นที่ บอกว่าจะขนคนมา 3 พันคน และคงรวมกับที่ ส.ส.ช่วยกันขนคนจากภาคเหนือลงมาอีกจำนวนหนึ่ง
ไม่แน่ว่า ถ้าปล่อยให้เป็นธรรมชาติ อาจมีคนมาต้อนรับอดีตผู้นำพลัดถิ่นอาจจะน้อยกว่าจำนวนผู้สื่อข่าวและช่างภาพด้วยซ้ำไป นั่นคงเป็นเรื่องเศร้าชะมัด
และทันทีที่โบอิ้ง 777-200 แตะพื้นรันเวย์สนามบินสุวรรณภูมิ ประชาชนที่มาต้อนรับและผู้สื่อข่าวที่ไปเฝ้าติดตามต่างใจจดใจจ่อที่จะให้ผู้นำออกมาปรากฎตัวเพื่อให้เห็นหน้าค่าตากันเร็วๆ แต่กว่าอดีตผู้นำจะออกมาปรากฎโฉมให้ผู้มารอต้อนรับชื่นใจก็หลังจากเครื่องบินลงไปแล้ว 30-40 นาที
เข้าใจว่าเขาคงกำลังทักทายกับรัฐมนตรีและญาติมิตรที่มารอคอยต้อนรับอยู่ภายในห้องวีไอพี และโอบกอดลูกเมียที่ต้องพลัดพรากจากกัน หรือไม่เขาก็คงจะเข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัวให้เสร็จสิ้นเสียก่อน
ดังนั้นผมจะเถียงขาดใจเลย ถ้าหากวันรุ่งขึ้นหนังสือพิมพ์จะพาดหัวทำนองว่า "ทักษิณก้มลงจูบพื้นแผ่นดินทันทีที่ถึงแผ่นดินไทย" เพราะจริงๆแล้วต้อง บอกว่า "ทักษิณก้มลงจูบแผ่นดินทันทีที่เห็นกล้องของผู้สื่อข่าว"ที่มารอต้อนรับเสียมากกว่า
ส่วนจะทำอะไรก่อนหลัง ระหว่างกอดเมียกับเข้าห้องน้ำ ก็คงต้องรอการรายงานของผู้สื่อข่าวที่ติดตามมาจากฮ่องกงบันทึกเอาไว้ เพราะผู้สื่อข่าวที่ไม่ได้ติดตามมาในเครื่องบินเที่ยวเดียวกันไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปรอทำข่าวในห้องรับรอง
แต่ว่าก็ว่าเถอะครับ ภาพและเหตุการณ์ที่ปรากฎ ณ สนามบินสุวรรณภูมิในวันนี้ หากเราไม่เห็นป้ายต้อนรับและเสียงตะเบ็งเซ็งแซ่ของผู้คนว่า "เรารักทักษิณ"แล้ว เราต้องคิดว่า นี่คือการต้อนรับอาคันตุกะระดับประมุขและผู้นำแห่งรัฐเป็นแน่
คงไม่มีใครเชื่อว่า นี่คือการกลับคืนสู่พระนครของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ต้องหาที่หนีหมายจับของแผ่นดินในคดีทุจริตคอร์รัปชัน ผู้พลัดพรากจากแผ่นดินแม่ไปกว่า 1 ปี
ความยิ่งใหญ่ในการกลับสู่ประเทศของทักษิณไม่เพียงแต่รัฐมนตรีและผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในพรรคพลังประชาชนไปรอคอยต้อนรับแล้ว ยังมีการตั้งคณะติดตาม 2 ชุด ที่จะติดตามตัวอดีตผู้นำไปทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นภูวนิดา คุนผลิน ผู้มีตำแหน่งแห่งหนเป็นถึง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ยุรนันท์ ภมรมนตรี ที่ปรึกษาแห่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เฉลิมชัย มหากิจศิริ ส.ส.สอบตก ซึ่งได้กินเงินภาษีของประชาชนในตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ศุภมาศ อิศรภักดี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ศันสนีย์ นาคพงศ์ นายดนุพร ปุณณกันต์ ส.ส.กรุงเทพมหานคร
ดังนั้นแทบจะไม่ต้องปฏิเสธกันอีกแล้วว่า ทักษิณ ชินวัตร สัมพันธ์อย่างไรกับพรรคพลังประชาชน และรู้กันว่า เขาคือมือที่มองไม่เห็นซึ่งขับเคลื่อนพรรคพลังประชาชนที่แท้จริง บางทีอาจมี กกต.เพียง 2-3 คนเท่านั้นที่ยังไม่รู้ ซึ่งอาจเป็นเพราะหูเบาเชื่อสนิทที่ทักษิณบอกว่าเขาไม่เกี่ยวกับการเมืองแล้ว แม้ว่าคำพูดของเขากับพฤติกรรมจะสวนทางกันตลอดเวลา
แม้กระทั่งสื่อมวลชนทั้งประเทศไทยและในต่างประเทศ ต่างก็รายงานกันอย่างเปิดเผยว่า คนที่อยู่เบื้องหลังรัฐบาลชุดนี้ก็คือ ทักษิณ รัฐมนตรีก็ได้รับการแต่งตั้งโดยทักษิณ มีการบินไปจัดตั้งรัฐบาลกันถึงฮ่องกง
และอาจพูดได้ด้วยซ้ำไปว่าเขาคือ นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชาชนที่แท้จริงไม่ใช่สมัคร สุนทรเวช ซึ่งคงไม่ต้องบอกว่า นับตั้งแต่นาทีนี้เป็นต้นไป อุณหภูมิทางการเมืองในสยามประเทศจะยิ่งพุ่งสูงขึ้นไปอีก และไม่ว่าทักษิณจะย่างก้าวไปทางไหนจะต้องมีเจ้าหน้าที่ตำรวจคอยอารักขานับร้อยคน
เพราะต้องไม่ลืมว่า คนที่มีคนรักเป็น 10 ล้านคน และมีคนเกลียดเป็น 10 ล้านคน ซึ่งมีไม่กี่คนบนโลกใบนี้ อาจจะมีอะไรเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาและทุกรูปแบบที่ไม่อาจคาดเดาได้
แม้ว่า สิ่งที่เราได้ยินคำพูดออกจากปากของทักษิณทันทีที่เปิดปากพูดกับสื่อมวลชนก็คือ เขาถูกใส่ร้ายป้ายสีต่างๆ นานา ทำให้เสียชื่อเสียง ต้องการกลับมาเพื่อปกป้องเกียรติภูมิของตัวเองและครอบครัว และนับจากนี้จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับกับการเมืองอีกแล้ว และจะขอตายบนแผ่นดินไทย
ซึ่งไม่รู้ว่าจะมีสักกี่คนที่ยังหลงเชื่อคำพูดของทักษิณ เพราะหลายครั้งข้อเท็จจริงที่เรารับรู้นั้น ตรงข้ามกับสิ่งที่ทักษิณพูด และสิ่งที่เราเห็นคือความพยายามแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม และการใช้อำนาจบาตรใหญ่ของรัฐมนตรีชุดนี้หลายคน
ผมก็เช่นเดียวกับทักษิณที่ยอมรับว่าเกิดความแตกแยกขึ้นในสังคมไทย แต่เราต้องย้อนกลับไปว่าอะไรคือต้นเหตุของปัญหา พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย คตส.คงไม่มีใครมีความขัดแย้งกับทักษิณเป็นการส่วนตัว แต่สิ่งที่พันธมิตรฯออกมาเรียกร้อง ต่อต้าน และ คตส.กำลังไต่สวนอยู่นั้นล้วนเกิดจากพฤติกรรมของทักษิณเอง
ผมเชื่อว่า ความสงบสุขในสังคมไทยจะกลับคืนมา และความแตกแยกร้าวฉานจะหายไป หากกระบวนการยุติธรรมได้ผ่านการพิสูจน์ ผิดก็ว่าไปตามผิด ถูกก็ว่าไปตามถูก นำสังคมไทยกลับมาสู่ความเป็นธรรมอย่างแท้จริง
และสิ่งที่ทักษิณน่าจะตอบคำถามได้ดีกว่าใครก็คือว่า หากไม่ใช้อำนาจอย่างฮึกเหิม แล้ว ประเทศชาติจะเกิดความแตกแยกเช่นนี้ และทหารจะมีข้ออ้างในการรัฐประหาร 19 กันยา หรือไม่
มีคนยืนยันว่า นายตำรวจที่จงรักภักดีต่ออดีตท่านผู้นำถึงกับบินไปวางแผนรับมือการกลับประเทศของอดีตท่านผู้นำถึงประเทศสิงคโปร์
ผู้บริหารสนามบินสุวรรณภูมิสั่งเตรียมห้อง วีไอพีที่อยู่ใต้คอนคอร์ซจี (Concourse G) ไว้รองรับ ขณะที่บริเวณลานจอดรถฝั่งตรงข้าม เจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งแถวเป็นแนวยาวหันหน้าให้กับประชาชนที่มาคอยต้อนรับและหันหลังให้กับสนามบิน ทุกมุมด้านบนของสนามบินสุวรรณภูมิที่สามารถทอดสายตามายังบริเวณที่ผู้มาถึงจะเดินออกมาถูกจับจ้องโดยเจ้าหน้าที่อย่างไม่ให้คลาดสายตา
ฝั่งตรงข้ามตัวอาคารคราคร่ำไปด้วยประชาชนซึ่งพากันส่งเสียงร้องเซ็งแซ่อลหม่าน บ้างก็ร้องเพลง บ้างก็ส่งเสียงตะโกนก้องว่า "เรารักทักษิณ" พร้อมชูแผ่นป้ายให้การต้อนรับต่างๆนานาสุดที่ที่แต่ละคนจะบรรยายกันออกมา เช่น "อีป่อ ปิ๊กบ้าน" ซึ่งทำให้รู้ว่า บัดนี้ทักษิณได้กลายเป็น "พ่อ"อีกคนหนึ่งของคนไทยบางคนไปแล้ว พร้อมกับธงสีขาวมีรูปอดีตผู้นำโบกสะบัดไปทั่วบริเวณ
ไม่แปลกหรอกครับที่มีคนจำนวนมากแห่มาต้อนรับท่านอดีตผู้นำ เพราะจริงๆแล้วผมเคยคิดว่าจะมีคนแห่มาต้อนรับอดีตท่านผู้นำมากกว่านี้ด้วยซ้ำไป เคยหลับตาคิดถึงคนเป็นหมื่นๆแสนๆ แต่ถึงเวลาก็มาจริงๆไม่กี่พันคน ก่อนหน้านี้ได้ยินคุณกรุง ศรีวิไล ส.ส.ปากน้ำ เจ้าของพื้นที่ บอกว่าจะขนคนมา 3 พันคน และคงรวมกับที่ ส.ส.ช่วยกันขนคนจากภาคเหนือลงมาอีกจำนวนหนึ่ง
ไม่แน่ว่า ถ้าปล่อยให้เป็นธรรมชาติ อาจมีคนมาต้อนรับอดีตผู้นำพลัดถิ่นอาจจะน้อยกว่าจำนวนผู้สื่อข่าวและช่างภาพด้วยซ้ำไป นั่นคงเป็นเรื่องเศร้าชะมัด
และทันทีที่โบอิ้ง 777-200 แตะพื้นรันเวย์สนามบินสุวรรณภูมิ ประชาชนที่มาต้อนรับและผู้สื่อข่าวที่ไปเฝ้าติดตามต่างใจจดใจจ่อที่จะให้ผู้นำออกมาปรากฎตัวเพื่อให้เห็นหน้าค่าตากันเร็วๆ แต่กว่าอดีตผู้นำจะออกมาปรากฎโฉมให้ผู้มารอต้อนรับชื่นใจก็หลังจากเครื่องบินลงไปแล้ว 30-40 นาที
เข้าใจว่าเขาคงกำลังทักทายกับรัฐมนตรีและญาติมิตรที่มารอคอยต้อนรับอยู่ภายในห้องวีไอพี และโอบกอดลูกเมียที่ต้องพลัดพรากจากกัน หรือไม่เขาก็คงจะเข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัวให้เสร็จสิ้นเสียก่อน
ดังนั้นผมจะเถียงขาดใจเลย ถ้าหากวันรุ่งขึ้นหนังสือพิมพ์จะพาดหัวทำนองว่า "ทักษิณก้มลงจูบพื้นแผ่นดินทันทีที่ถึงแผ่นดินไทย" เพราะจริงๆแล้วต้อง บอกว่า "ทักษิณก้มลงจูบแผ่นดินทันทีที่เห็นกล้องของผู้สื่อข่าว"ที่มารอต้อนรับเสียมากกว่า
ส่วนจะทำอะไรก่อนหลัง ระหว่างกอดเมียกับเข้าห้องน้ำ ก็คงต้องรอการรายงานของผู้สื่อข่าวที่ติดตามมาจากฮ่องกงบันทึกเอาไว้ เพราะผู้สื่อข่าวที่ไม่ได้ติดตามมาในเครื่องบินเที่ยวเดียวกันไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปรอทำข่าวในห้องรับรอง
แต่ว่าก็ว่าเถอะครับ ภาพและเหตุการณ์ที่ปรากฎ ณ สนามบินสุวรรณภูมิในวันนี้ หากเราไม่เห็นป้ายต้อนรับและเสียงตะเบ็งเซ็งแซ่ของผู้คนว่า "เรารักทักษิณ"แล้ว เราต้องคิดว่า นี่คือการต้อนรับอาคันตุกะระดับประมุขและผู้นำแห่งรัฐเป็นแน่
คงไม่มีใครเชื่อว่า นี่คือการกลับคืนสู่พระนครของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ต้องหาที่หนีหมายจับของแผ่นดินในคดีทุจริตคอร์รัปชัน ผู้พลัดพรากจากแผ่นดินแม่ไปกว่า 1 ปี
ความยิ่งใหญ่ในการกลับสู่ประเทศของทักษิณไม่เพียงแต่รัฐมนตรีและผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในพรรคพลังประชาชนไปรอคอยต้อนรับแล้ว ยังมีการตั้งคณะติดตาม 2 ชุด ที่จะติดตามตัวอดีตผู้นำไปทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นภูวนิดา คุนผลิน ผู้มีตำแหน่งแห่งหนเป็นถึง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ยุรนันท์ ภมรมนตรี ที่ปรึกษาแห่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เฉลิมชัย มหากิจศิริ ส.ส.สอบตก ซึ่งได้กินเงินภาษีของประชาชนในตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ศุภมาศ อิศรภักดี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ศันสนีย์ นาคพงศ์ นายดนุพร ปุณณกันต์ ส.ส.กรุงเทพมหานคร
ดังนั้นแทบจะไม่ต้องปฏิเสธกันอีกแล้วว่า ทักษิณ ชินวัตร สัมพันธ์อย่างไรกับพรรคพลังประชาชน และรู้กันว่า เขาคือมือที่มองไม่เห็นซึ่งขับเคลื่อนพรรคพลังประชาชนที่แท้จริง บางทีอาจมี กกต.เพียง 2-3 คนเท่านั้นที่ยังไม่รู้ ซึ่งอาจเป็นเพราะหูเบาเชื่อสนิทที่ทักษิณบอกว่าเขาไม่เกี่ยวกับการเมืองแล้ว แม้ว่าคำพูดของเขากับพฤติกรรมจะสวนทางกันตลอดเวลา
แม้กระทั่งสื่อมวลชนทั้งประเทศไทยและในต่างประเทศ ต่างก็รายงานกันอย่างเปิดเผยว่า คนที่อยู่เบื้องหลังรัฐบาลชุดนี้ก็คือ ทักษิณ รัฐมนตรีก็ได้รับการแต่งตั้งโดยทักษิณ มีการบินไปจัดตั้งรัฐบาลกันถึงฮ่องกง
และอาจพูดได้ด้วยซ้ำไปว่าเขาคือ นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชาชนที่แท้จริงไม่ใช่สมัคร สุนทรเวช ซึ่งคงไม่ต้องบอกว่า นับตั้งแต่นาทีนี้เป็นต้นไป อุณหภูมิทางการเมืองในสยามประเทศจะยิ่งพุ่งสูงขึ้นไปอีก และไม่ว่าทักษิณจะย่างก้าวไปทางไหนจะต้องมีเจ้าหน้าที่ตำรวจคอยอารักขานับร้อยคน
เพราะต้องไม่ลืมว่า คนที่มีคนรักเป็น 10 ล้านคน และมีคนเกลียดเป็น 10 ล้านคน ซึ่งมีไม่กี่คนบนโลกใบนี้ อาจจะมีอะไรเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาและทุกรูปแบบที่ไม่อาจคาดเดาได้
แม้ว่า สิ่งที่เราได้ยินคำพูดออกจากปากของทักษิณทันทีที่เปิดปากพูดกับสื่อมวลชนก็คือ เขาถูกใส่ร้ายป้ายสีต่างๆ นานา ทำให้เสียชื่อเสียง ต้องการกลับมาเพื่อปกป้องเกียรติภูมิของตัวเองและครอบครัว และนับจากนี้จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับกับการเมืองอีกแล้ว และจะขอตายบนแผ่นดินไทย
ซึ่งไม่รู้ว่าจะมีสักกี่คนที่ยังหลงเชื่อคำพูดของทักษิณ เพราะหลายครั้งข้อเท็จจริงที่เรารับรู้นั้น ตรงข้ามกับสิ่งที่ทักษิณพูด และสิ่งที่เราเห็นคือความพยายามแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม และการใช้อำนาจบาตรใหญ่ของรัฐมนตรีชุดนี้หลายคน
ผมก็เช่นเดียวกับทักษิณที่ยอมรับว่าเกิดความแตกแยกขึ้นในสังคมไทย แต่เราต้องย้อนกลับไปว่าอะไรคือต้นเหตุของปัญหา พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย คตส.คงไม่มีใครมีความขัดแย้งกับทักษิณเป็นการส่วนตัว แต่สิ่งที่พันธมิตรฯออกมาเรียกร้อง ต่อต้าน และ คตส.กำลังไต่สวนอยู่นั้นล้วนเกิดจากพฤติกรรมของทักษิณเอง
ผมเชื่อว่า ความสงบสุขในสังคมไทยจะกลับคืนมา และความแตกแยกร้าวฉานจะหายไป หากกระบวนการยุติธรรมได้ผ่านการพิสูจน์ ผิดก็ว่าไปตามผิด ถูกก็ว่าไปตามถูก นำสังคมไทยกลับมาสู่ความเป็นธรรมอย่างแท้จริง
และสิ่งที่ทักษิณน่าจะตอบคำถามได้ดีกว่าใครก็คือว่า หากไม่ใช้อำนาจอย่างฮึกเหิม แล้ว ประเทศชาติจะเกิดความแตกแยกเช่นนี้ และทหารจะมีข้ออ้างในการรัฐประหาร 19 กันยา หรือไม่