xs
xsm
sm
md
lg

TUF คาดรายได้ดอลล์พุ่ง12% บาทแข็งฉุดการโต

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผู้จัดการรายวัน - ทียูเอฟตั้งเป้ายอดขายในรูปดอลลาร์โต 12%อยู่ที่ 1.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ยอดขายในรูปเงินบาทโตแค่ 6% ประเมินราคาปลาทูน่ายังสูงอยู่ที่1พันดอลลาร์/ตัน หวั่นบาทแข็งค่าแตะ 32บาท โอกาสยอดขายรูปเงินบาทไม่โตแน่ เตรียมเพิ่มเรือในกองเรืออีก 2-3 ลำ และดูลู่ทางการลงทุนเพิ่มเติมในต่างประเทศทั้งสหรัฐฯและอินเดีย

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) (ทียูเอฟ) เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทฯตั้งเป้าหมายยอดขายในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐอยู่ที่ 1,802 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 12%จากปีที่แล้วมียอดขายรวม 1,612 ล้านเหรียญสหรัฐ และยอดขายในรูปเงินบาทอยู่ที่ 58,860 ล้านบาท(อัตราแลกเปลี่ยน 32.5บาท/ดอลลาร์) โตขึ้น 6%จากปีที่แล้วมียอดขายอยู่ที่ 55,507 ล้านบาท เนื่องจากแนวโน้มสถานการณ์ต่างๆในปีนี้เริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น โดยราคาปลาทูน่าเริ่มมีแนวโน้มอ่อนตัวลงมาอยู่ที่ 1,400 เหรียญสหรัฐ/ตัน จากปีที่แล้วราคาดีดขึ้นไปทำสถิติสูงสุด 1,650 เหรียญสหรัฐ/ตัน ค่าเงินบาทไม่แข็งค่ามากกว่านี้ และราคาน้ำมันก็น่าจะอยู่ที่ระดับ 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล

ส่วนกำไรสุทธิปี 2551 คาดว่าจะสูงกว่าปีที่แล้วที่มีกำไรสุทธิ 1,823 ล้านบาท โดยตั้งเป้าอัตรากำไรขั้นต้นปีนี้อยู่ที่ระดับ 14-16% สูงกว่า 13.7%ในปี 2550 อย่างไรก็ตาม หากค่าเงินบาทแข็งค่าที่ระดับ 32 บาท/ดอลลาร์ ย่อมส่งผลให้ยอดขายในรูปเงินบาทและกำไรสุทธิไม่เติบโตเช่นเดียวกับ 2 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากรายได้ของบริษัทฯอยู่ในรูปสกุลเงินดอลลาร์ถึง 90 ซึ่งแนวโน้มค่าเงินบาทมีโอกาสสูงมากที่จะแข็งค่าแตะ 32บาท/ดอลลาร์สหรัฐ

นายธีรพงศ์ กล่าวว่า กลยุทธ์การทำธุรกิจในปีนี้ยังเน้นการขยายตลาด การสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ ลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต โดยปีที่แล้วบริษัทได้มีการขยายธุรกิจอาหารทะเลบรรจุกระป๋อง 100 ตัน/วันในเวียดนาม ซึ่งขณะนี้ผลิตอยู่ 50 ตัน/วัน คาดว่าในเร็วๆนี้จะเดินเครื่องจักรเต็มกำลังการผลิต การตั้งโรงงานปลาทูน่าในเวียดนามทำให้มีความยืดหยุ่นดีขึ้น รวมทั้งการเข้าไปลงทุนกองเรือเพื่อจับปลาที่มหาสมุทรอินเดีย ทำให้ได้ประโยชน์จากเจเทปาและสหภาพยุโรป รวมทั้งได้ข้อมูลด้านวัตถุดิบดีขึ้น ในอีก 2-3ปีข้างหน้าบริษัทมีแผนจะเพิ่มจำนวนเรือให้ได้ตามมาตรฐานกองเรือทั่วไปที่จะมีเรืออยู่ 6-7 ลำจากปัจจุบันที่อยู่ 4 ลำ ใช้เงินลงทุนเรือลำละ 12-15 ล้านเหรียญสหรัฐ

สำหรับประเทศที่เหมาะเป็นฐานการผลิต ได้แก่ อินโดนีเซีย เวียดนามและอินเดีย ซึ่งบริษัทคงดูลู่ทางโอกาสในการลงทุนเพิ่มเติมในลักษณะเข้าไปซื้อกิจการที่มีอยู่แล้วแทนการตั้งโรงงานใหม่เหมือนที่ลงทุนในเวียดนามและอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นช่วงที่เหมาะสมเพราะค่าเงินบาทที่แข็งค่านี้ทำให้บริษัทฯลงทุนในต่างประเทศใช้เงินน้อยลง

กรณีที่เศรษฐกิจสหรัฐถดถอยนั้น คาดว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อสินค้าของบริษัท เนื่องจากทูน่าเป็นสินค้าที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน และมีราคาถูก ซึ่งปัญหาซับไพร์มทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมาอย่างต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ จึงน่าจะส่งผลดีต่อธุรกิจบริษัทฯในสหรัฐฯ ทำให้ต้นทุนทางการเงินต่ำลง โดยปีนี้บริษัทฯตั้งเป้ายอดขายในสหรัฐฯอยู่ที่ 800 ล้านเหรียญ จากปีที่แล้ว 750 ล้านเหรียญ คาดว่าจะเพิ่มเป็น 1,000 ล้านเหรียญในอีก 3-5ปีข้างหน้า

ส่วนแผนการลงทุนในปีนี้ บริษัทฯจะใช้เงินประมาณ 1,000-1,200 ล้านบาท ไม่รวมโครงการใหม่ๆที่อาจจะเกิดขึ้น โดยบริษัทฯมีฐานะการเงินแข็งแกร่งโดยมีเงินลงทุนได้ 100 ล้านเหรียญสหรัฐ ไม่ต้องเพิ่มทุนหรือก่อหนี้เพิ่ม
กำลังโหลดความคิดเห็น