ทียูเอฟ ประกาศปรับเป้ายอดขายปีนี้เพิ่มเป็น 20% จากเดิมตั้งไว้แค่ 12% แม้ต้องเจอสารพัดปัจจัยลบทั้งค่าเงินบาท ราคาน้ำมัน และวัตถุดิบที่พุ่งสูงขึ้น ด้านผู้บริหาร "ธีรพงศ์" มั่นใจปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องและบริหารความเสี่ยงได้ดี ขณะที่ไตรมาสแรกฟันกำไรแล้ว 578 ล้านบาท ขยับเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 10%
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TUF กล่าวว่า บริษัทพอใจผลการดำเนินงานไตรมาสแรกที่ผ่านมาที่สามารถสร้างอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นทั้งกำไรสุทธิ และรายได้จากการขายในรูปของเงินเหรียญสหรัฐและเงินบาท โดยมีกำไรสุทธิเท่ากับ 578 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 10% กำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้นจาก 0.60 บาท มาอยู่ที่ 0.66 บาท
ทั้งนี้ บริษัทมีรายได้จากการขายในรูปเงินเหรียญสหรัฐ 478.3 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเพิ่มขึ้น 32% ขณะที่รายได้จากการขายในรูปเงินบาทเพิ่มขึ้นอีก 20% จาก 12,801.5 ล้านบาท เป็น 15,415.6 ล้านบาท ส่งผลให้รายได้รวมเพิ่มขึ้นจาก 13,027.6 ล้านบาท มาอยู่ที่ 15,987.6 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 23%
นายธีรพงศ์ กล่าวว่า แม้ไตรมาสแรกปีนี้ต้องประสบกับปัญหาเรื่องของค่าเงินบาท ราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้น และราคาวัตถุดิบทุกอย่างที่ปรับตัวขึ้นยังคงเป็นปัญหาต่อเนื่อง แต่ทียูเอฟได้พยายามปรับกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง ทั้งเรื่องของการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนอย่างเหมาะสม การควบคุมโครงสร้างต้นทุนค่าใช้จ่ายต่างๆ การขยายฐานการตลาดให้กว้าง เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาด การควบคุมคุณภาพสินค้าอย่างเข้มงวด รวมถึงการออกผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง ทำให้ผลงานที่ออกมาอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ซึ่งจะเห็นได้จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นทั้งในรูปเงินเหรียญสหรัฐและเงินบาท
"จากผลการดำเนินงานไตรมาสแรกที่ผ่านมา ทำให้เห็นว่าบริษัทยังมีศักยภาพและมีความเข้มแข็งในการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง และมั่นใจว่าปีนี้จะสามารถเติบโตได้ไม่ต่ำกว่า 20% ในรูปของเงินเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นการปรับประมาณการตัวเลขใหม่จากเดิมที่ตั้งไว้ 12%"
สำหรับสัดส่วนยอดขายผลิตภัณฑ์ในไตรมาสแรก ประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์ปลาทูน่า 50% กุ้งแช่แข็ง 19% อาหารแมวบรรจุกระป๋องและอาหารทะเลบรรจุกระป๋อง 8% อาหารกุ้ง 5% ปลาซาร์ดีนบรรจุกระป๋อง 4% ขายในประเทศ 4% และปลาหมึกแช่แข็ง 2% โดยตลาดส่งออกอยู่ที่ สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น เอเชีย อัฟริกา ออสเตรเลีย ตะวันออกกลาง แคนาดา และลาตินอเมริกา แต่ตลาดที่มีการขยายตัวสูงสำหรับไตรมาสนี้ได้แก่ สหภาพยุโรป ตะวันออกกลาง อัฟริกา และลาตินอเมริกา
ส่วนกรณีที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ประกาศอัตราเบื้องต้นของภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดกุ้งของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 5.95% เป็น 15.30% นายธีรพงศ์ กล่าวว่า บริษัทได้มีการติดตามในเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน ร่วมกับที่ปรึกษาทางด้านกฎหมาย และสถานทูตไทยในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี เพื่อให้มีการทบทวนอัตราภาษีใหม่ รวมทั้งได้มีการติดต่อหารือโดยตรงกับกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ล่าสุดทางบริษัทได้รับจดหมายยืนยันจากกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ จะดำเนินการในเรื่องนี้เป็นพิเศษ และพร้อมที่จะพิจารณาอีกครั้งอย่างละเอียด ซึ่งคาดว่าจะทราบผลในเดือนกันยายนนี้
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TUF กล่าวว่า บริษัทพอใจผลการดำเนินงานไตรมาสแรกที่ผ่านมาที่สามารถสร้างอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นทั้งกำไรสุทธิ และรายได้จากการขายในรูปของเงินเหรียญสหรัฐและเงินบาท โดยมีกำไรสุทธิเท่ากับ 578 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 10% กำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้นจาก 0.60 บาท มาอยู่ที่ 0.66 บาท
ทั้งนี้ บริษัทมีรายได้จากการขายในรูปเงินเหรียญสหรัฐ 478.3 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเพิ่มขึ้น 32% ขณะที่รายได้จากการขายในรูปเงินบาทเพิ่มขึ้นอีก 20% จาก 12,801.5 ล้านบาท เป็น 15,415.6 ล้านบาท ส่งผลให้รายได้รวมเพิ่มขึ้นจาก 13,027.6 ล้านบาท มาอยู่ที่ 15,987.6 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 23%
นายธีรพงศ์ กล่าวว่า แม้ไตรมาสแรกปีนี้ต้องประสบกับปัญหาเรื่องของค่าเงินบาท ราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้น และราคาวัตถุดิบทุกอย่างที่ปรับตัวขึ้นยังคงเป็นปัญหาต่อเนื่อง แต่ทียูเอฟได้พยายามปรับกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง ทั้งเรื่องของการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนอย่างเหมาะสม การควบคุมโครงสร้างต้นทุนค่าใช้จ่ายต่างๆ การขยายฐานการตลาดให้กว้าง เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาด การควบคุมคุณภาพสินค้าอย่างเข้มงวด รวมถึงการออกผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง ทำให้ผลงานที่ออกมาอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ซึ่งจะเห็นได้จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นทั้งในรูปเงินเหรียญสหรัฐและเงินบาท
"จากผลการดำเนินงานไตรมาสแรกที่ผ่านมา ทำให้เห็นว่าบริษัทยังมีศักยภาพและมีความเข้มแข็งในการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง และมั่นใจว่าปีนี้จะสามารถเติบโตได้ไม่ต่ำกว่า 20% ในรูปของเงินเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นการปรับประมาณการตัวเลขใหม่จากเดิมที่ตั้งไว้ 12%"
สำหรับสัดส่วนยอดขายผลิตภัณฑ์ในไตรมาสแรก ประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์ปลาทูน่า 50% กุ้งแช่แข็ง 19% อาหารแมวบรรจุกระป๋องและอาหารทะเลบรรจุกระป๋อง 8% อาหารกุ้ง 5% ปลาซาร์ดีนบรรจุกระป๋อง 4% ขายในประเทศ 4% และปลาหมึกแช่แข็ง 2% โดยตลาดส่งออกอยู่ที่ สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น เอเชีย อัฟริกา ออสเตรเลีย ตะวันออกกลาง แคนาดา และลาตินอเมริกา แต่ตลาดที่มีการขยายตัวสูงสำหรับไตรมาสนี้ได้แก่ สหภาพยุโรป ตะวันออกกลาง อัฟริกา และลาตินอเมริกา
ส่วนกรณีที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ประกาศอัตราเบื้องต้นของภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดกุ้งของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 5.95% เป็น 15.30% นายธีรพงศ์ กล่าวว่า บริษัทได้มีการติดตามในเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน ร่วมกับที่ปรึกษาทางด้านกฎหมาย และสถานทูตไทยในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี เพื่อให้มีการทบทวนอัตราภาษีใหม่ รวมทั้งได้มีการติดต่อหารือโดยตรงกับกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ล่าสุดทางบริษัทได้รับจดหมายยืนยันจากกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ จะดำเนินการในเรื่องนี้เป็นพิเศษ และพร้อมที่จะพิจารณาอีกครั้งอย่างละเอียด ซึ่งคาดว่าจะทราบผลในเดือนกันยายนนี้