ชาวจีนมีสุภาษิตโบราณอยู่ประโยคหนึ่งที่ว่า
一叶障目,不见泰山
อี๋เย่จั้งมู่ ปู๋เจี้ยนไท่ซาน
แปลเป็นไทยได้ว่า
ใบไม้หนึ่งใบบังตา มองไม่เห็นภูเขาไท่ซาน *
เรื่องราวความเป็นมาของสุภาษิตจีนชิ้นนี้มีอยู่ว่า สมัยโบราณในรัฐฉู่ มีนักศึกษาผู้หนึ่ง เนื่องจากครอบครัวยากจนมาก เขาจึงต้องการทำทุกวิถีทางที่จะทำให้ตัวเองร่ำรวยขึ้นมาได้
กระทั่งวันหนึ่ง นักศึกษาผู้นี้ไปอ่านพบเคล็ดลับในตำราเล่มหนึ่งระบุว่า “หากพบใบไม้ที่ตั๊กแตนนำมาห่อตัวเองไว้ แล้วนำใบไม้ใบนั้นมาบังตาตนเอง ผู้อื่นก็จะมองไม่เห็นตัวเอง” เมื่อได้อ่านเช่นนั้นนักศึกษาผู้นั้นกลับเชื่อว่าเคล็ดลับดังกล่าวเป็นความจริง ดังนั้นทุกวันนักศึกษาผู้นี้จึงเอาแต่เฝ้ามองหาใบไม้ที่มีตั๊กแตนห่อตัวอยู่ข้างใน
ในที่สุดวันหนึ่งเขาก็หาพบ โดยขณะที่กำลังเอื้อมมือใบปลิดใบไม้ใบนั้นออกจากกิ่ง ด้วยความรีบร้อนไม่ระวัง ทำให้ใบไม้ดังกล่าวหลุดร่วงไปปะปนกับใบไม้ใบบนพื้นจนแยกแยะไม่ออก สุดท้ายเขาจึงได้แต่หอบเอาใบไม้ที่พื้นทั้งหมดนำกลับบ้าน โดยเอามาปิดตาตนเองทีละใบทีละใบพร้อมกับถามภรรยาด้วยว่า มองเห็นตนเองหรือไม่? ตอนแรกๆ ภรรยาก็ตอบว่ามองเห็น มองเห็น มองเห็น สุดท้ายเมื่อภรรยาโดนสามีถามบ่อยเข้าจนเกิดความรำคาญ เมื่อเขานำใบไม้ใบต่อไปมาปิดตา เธอจึงแกล้งตอบว่า “มองไม่เห็น!”
เมื่อได้ยินดังนั้นนักศึกษาก็รู้สึกดีใจมาก รีบนำใบไม้ดังกล่าวปิดตาแล้วไปขโมยของผู้อื่น แต่ในท้ายที่สุดเขาก็ถูกจับเข้าคุกเพื่อชดใช้ความผิดที่ตนเองก่อ
ภาษิต “อี๋เย่จั้งมู่ ปู๋เจี้ยนไท่ซาน” หรือ ใบไม้หนึ่งใบบังตา ไม่ใช่ผู้อื่นมองไม่เห็นตน แต่ตนเองจะมองไม่เห็นผู้อื่น แม้มีภูเขาไท่ซานอยู่เบื้องหน้าก็มองไม่เห็น ใช้เปรียบเทียบกับการที่คนเรามองเรื่องใดกลับมองแค่บางส่วน จนทำให้ฟั่นเฟือนชั่วขณะ ไม่เห็นใจความสำคัญหรือความเป็นจริงในภาพรวม
............................
สาเหตุที่ผมยกสุภาษิตจีนโบราณขึ้นมากล่าวในวันนี้ ก็เพราะในสถานการณ์บ้านเมืองปัจจุบัน ผู้มีอำนาจกุมอำนาจในการบริหารประเทศอยู่ในปัจจุบันมักจะมีพฤติกรรม “ชอบนำใบไม้มาปิดตาตัวเอง” อยู่เสมอ โดยคิดว่าการกระทำ การบิดเบือน การเฉไฉ การโกหก การทำพาซื่อ ของตัวเองเพียงเล็กน้อยจะทำให้คนอื่นมองไม่เห็นการกระทำผิด ความเลว ความชั่วของตนเองที่เคยกระทำไว้หรือกำลังกระทำอยู่
เริ่มตั้งแต่ผู้นำรัฐบาลอย่าง นายสมัคร สุนทรเวช ......
เมื่อกล่าวถึงเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 นายสมัครมักจะพูดบิดเบือน เฉไฉ และโกหกเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าวอยู่เสมอ แม้กระทั่งเมื่อผู้กล่าวหานำหลักฐานมาแสดงให้เห็นอยู่ต่อหน้า นายสมัครก็จะใช้วิธีบอกว่าตัวเองจำเหตุการณ์ดังกล่าวไม่ได้โดยบอกว่าเป็นเรื่องที่ผ่านมานานกว่า 30 ปีแล้ว หรือกระทั่งพูดว่า “มันเป็นสิทธิ์ของผมแท้ๆ”
เป็นเรื่องน่าละอายยิ่งนัก ที่นายสมัครอ้าง ‘สิทธิ์’ ของตัวเองในการโกหกต่อสื่อต่างประเทศ โกหกต่อประชาชน โกหกต่อผู้สูญเสียและญาติของผู้สูญเสียจากเหตุการณ์ดังกล่าว และโกหกต่อหลักฐานข้อเท็จจริงที่วางอยู่ตรงหน้า
มากกว่านั้น เมื่อนายสมัครดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้วนายสมัครกลับเลือกที่จะปิดปากเงียบ เมื่อใครต่อใครถามถึงพฤติกรรมของสมัครแต่เก่าก่อนที่กล่าวจาบจ้วง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี อยู่เป็นนิจจนสร้างความพอใจให้กับคนจำนวนมาก รวมไปถึงกล่าวบิดเบือนเมื่อมีคนถามว่า นายสมัครเคยกล่าวใช่หรือไม่ว่าตนเองเป็น ‘นอมินี’ ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
บุคคลต่อมาที่ผมมิอาจหลีกเลี่ยงที่จะกล่าวถึงได้เลยก็คือ นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
การที่นายสมพงษ์ โยกย้ายนายสุนัย มโนมัยอุดม อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ไปเป็นรักษาราชการเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) แล้วนำเอา พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) มารักษาการแทนนั้น เป็นการกระทำที่ขัดกับความรู้สึกของคนจำนวนมาก เป็นการกระทำที่เห็นได้ชัดว่าเป็นความจงใจจะเอื้อประโยชน์ให้กับคดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หลายคดีที่ยังอยู่ในความดูแลของดีเอสไอ
การยกเอาเหตุผลว่า การโยกย้ายนายสุนัยจากดีเอสไอไป ป.ป.ท. ก็เพราะนายสุนัยมีฝีมือและ ป.ป.ท.นั้นเป็นหน่วยงานที่มีความสำคัญอย่างมากนั้นก็เป็นการโกหกอย่างหน้าไม่อายของนายสมพงษ์ เพราะ เมื่อวันที่ 26 ก.พ. ที่ผ่านมาเป็นที่ชัดเจนว่า หน่วยงาน ป.ป.ท.นั้นยังไม่สามารถตั้งขึ้นได้เนื่องจาก พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตถูกตุลาการรัฐธรรมนูญตีกลับ ด้วยเหตุผลว่ากระบวนการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ (ตามการให้สัมภาษณ์ของนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เมื่อวันที่ 26 ก.พ. 2551)
กรณีนี้หากจะกล่าวอย่างง่ายๆ ก็คือ เพื่อประโยชน์ทางคดีของ พ.ต.ท.ทักษิณที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานดีเอสไอ นายสมพงษ์จึงต้องไล่นายสุนัยให้กลับบ้านไปนั่งตบยุง แล้วโยก พ.ต.อ.ทวี มาสะสางแทน ที่นายสุนัยต้องไปนั่งตบยุงก็เพราะ องค์กร ป.ป.ท. ที่โยกนายสุนัยไปนั่งในตำแหน่งรักษาการเลขาธิการฯ นั้นยังเป็นองค์กรนอกกฎหมาย ยังไม่มีที่อยู่ ไม่มีสำนักงาน ไม่มีโต๊ะทำงาน ไม่มีเก้าอี้ ไม่มีบุคลากร ......
ช่างเป็นเรื่องเศร้าของแผ่นดินที่ข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ซื่อสัตย์และมีฝีมืออย่างนายสุนัย มโนมัยอุดม จะต้องไปนั่งเป็นรักษาการเลขาธิการฯ องค์กรที่ยังไม่มีตัวตน!
เมื่อจะยกตัวอย่างแล้ว ก็ต้องยกตัวอย่างให้ถึงแก่นถึงกึ๋น บุคคลสุดท้ายที่ผมอยากจะกล่าวว่า ทำตัวเหมือนนักศึกษาผู้ขลาดเขลาในสุภาษิตจีนโบราณข้างต้นก็คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ในช่วงเวลาหลายปีของการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศ พ.ต.ท.ทักษิณได้กระทำผิด กระทำทุจริต ประพฤติมิชอบต่อแผ่นดินไว้มากมาย จนก่อให้เกิดเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ขึ้น ทั้งนี้ความผิดที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ครอบครัวและพวกพ้องกระทำไว้หลายเรื่องได้ถูกนำขึ้นไปสู่การพิจารณาในชั้นศาลแล้ว หลายเรื่องยังอยู่ในการพิจารณาของอัยการ หลายเรื่องอยู่ในชั้นของการสืบสวน-สอบสวน และหลายเรื่องไม่ถูกนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแต่เป็นที่รับรู้และรับทราบโดยทั่วกันในหมู่ประชาชนจำนวนมาก
การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ให้การสนับสนุนพลังประชาชนอย่างโจ่งแจ้ง โดยปฏิเสธว่าพรรคพลังประชาชนก็คือพรรคไทยรักไทยเดิมและเงินทองที่นำมาใช้ในการบริหาร-เลือกตั้งนั้นไม่ได้มีแหล่งที่มาจากตน ส่วนนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีและคณะรัฐบาลก็ไม่ได้ถูกแต่งตั้งมาเพื่อแก้ไขปัญหาและปกป้องผลประโยชน์ของตน พูดกันตามตรงล้วนแล้วแต่เป็นคำพูดที่ไม่มีใครเชื่อถือทั้งสิ้น
หากจะเปรียบไป การกระทำด้วยการเอา “การเลือกตั้ง” มาปิดบังความผิดของตัวเอง พ.ต.ท.ทักษิณ ก็คงไม่ต่างอะไรกับการที่นักศึกษาในสุภาษิตจีนข้างต้นนำเอา “ใบไม้” มาบังตาตนเองโดยหวังว่าจะไม่มีใครเห็นตัวเอง แต่ก็อย่างที่สุภาษิตอธิบายไว้ในท้ายที่สุดว่า จริงๆ แล้วใบไม้หนึ่งใบก็ไม่สามารถปิดบังอะไรได้ นอกจากบดบังสายตาของตนเอง
*หมายเหตุ : แรกเริ่มเดิมทีประโยคเต็มๆ ของสุภาษิตชิ้นนี้คือ “ใบไม้หนึ่ง ใบบังตา มองไม่เห็นภูเขาไท่ซาน; ถั่วสองเม็ดยัดหู ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงอสนีบาต”
一叶障目,不见泰山
อี๋เย่จั้งมู่ ปู๋เจี้ยนไท่ซาน
แปลเป็นไทยได้ว่า
ใบไม้หนึ่งใบบังตา มองไม่เห็นภูเขาไท่ซาน *
เรื่องราวความเป็นมาของสุภาษิตจีนชิ้นนี้มีอยู่ว่า สมัยโบราณในรัฐฉู่ มีนักศึกษาผู้หนึ่ง เนื่องจากครอบครัวยากจนมาก เขาจึงต้องการทำทุกวิถีทางที่จะทำให้ตัวเองร่ำรวยขึ้นมาได้
กระทั่งวันหนึ่ง นักศึกษาผู้นี้ไปอ่านพบเคล็ดลับในตำราเล่มหนึ่งระบุว่า “หากพบใบไม้ที่ตั๊กแตนนำมาห่อตัวเองไว้ แล้วนำใบไม้ใบนั้นมาบังตาตนเอง ผู้อื่นก็จะมองไม่เห็นตัวเอง” เมื่อได้อ่านเช่นนั้นนักศึกษาผู้นั้นกลับเชื่อว่าเคล็ดลับดังกล่าวเป็นความจริง ดังนั้นทุกวันนักศึกษาผู้นี้จึงเอาแต่เฝ้ามองหาใบไม้ที่มีตั๊กแตนห่อตัวอยู่ข้างใน
ในที่สุดวันหนึ่งเขาก็หาพบ โดยขณะที่กำลังเอื้อมมือใบปลิดใบไม้ใบนั้นออกจากกิ่ง ด้วยความรีบร้อนไม่ระวัง ทำให้ใบไม้ดังกล่าวหลุดร่วงไปปะปนกับใบไม้ใบบนพื้นจนแยกแยะไม่ออก สุดท้ายเขาจึงได้แต่หอบเอาใบไม้ที่พื้นทั้งหมดนำกลับบ้าน โดยเอามาปิดตาตนเองทีละใบทีละใบพร้อมกับถามภรรยาด้วยว่า มองเห็นตนเองหรือไม่? ตอนแรกๆ ภรรยาก็ตอบว่ามองเห็น มองเห็น มองเห็น สุดท้ายเมื่อภรรยาโดนสามีถามบ่อยเข้าจนเกิดความรำคาญ เมื่อเขานำใบไม้ใบต่อไปมาปิดตา เธอจึงแกล้งตอบว่า “มองไม่เห็น!”
เมื่อได้ยินดังนั้นนักศึกษาก็รู้สึกดีใจมาก รีบนำใบไม้ดังกล่าวปิดตาแล้วไปขโมยของผู้อื่น แต่ในท้ายที่สุดเขาก็ถูกจับเข้าคุกเพื่อชดใช้ความผิดที่ตนเองก่อ
ภาษิต “อี๋เย่จั้งมู่ ปู๋เจี้ยนไท่ซาน” หรือ ใบไม้หนึ่งใบบังตา ไม่ใช่ผู้อื่นมองไม่เห็นตน แต่ตนเองจะมองไม่เห็นผู้อื่น แม้มีภูเขาไท่ซานอยู่เบื้องหน้าก็มองไม่เห็น ใช้เปรียบเทียบกับการที่คนเรามองเรื่องใดกลับมองแค่บางส่วน จนทำให้ฟั่นเฟือนชั่วขณะ ไม่เห็นใจความสำคัญหรือความเป็นจริงในภาพรวม
............................
สาเหตุที่ผมยกสุภาษิตจีนโบราณขึ้นมากล่าวในวันนี้ ก็เพราะในสถานการณ์บ้านเมืองปัจจุบัน ผู้มีอำนาจกุมอำนาจในการบริหารประเทศอยู่ในปัจจุบันมักจะมีพฤติกรรม “ชอบนำใบไม้มาปิดตาตัวเอง” อยู่เสมอ โดยคิดว่าการกระทำ การบิดเบือน การเฉไฉ การโกหก การทำพาซื่อ ของตัวเองเพียงเล็กน้อยจะทำให้คนอื่นมองไม่เห็นการกระทำผิด ความเลว ความชั่วของตนเองที่เคยกระทำไว้หรือกำลังกระทำอยู่
เริ่มตั้งแต่ผู้นำรัฐบาลอย่าง นายสมัคร สุนทรเวช ......
เมื่อกล่าวถึงเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 นายสมัครมักจะพูดบิดเบือน เฉไฉ และโกหกเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าวอยู่เสมอ แม้กระทั่งเมื่อผู้กล่าวหานำหลักฐานมาแสดงให้เห็นอยู่ต่อหน้า นายสมัครก็จะใช้วิธีบอกว่าตัวเองจำเหตุการณ์ดังกล่าวไม่ได้โดยบอกว่าเป็นเรื่องที่ผ่านมานานกว่า 30 ปีแล้ว หรือกระทั่งพูดว่า “มันเป็นสิทธิ์ของผมแท้ๆ”
เป็นเรื่องน่าละอายยิ่งนัก ที่นายสมัครอ้าง ‘สิทธิ์’ ของตัวเองในการโกหกต่อสื่อต่างประเทศ โกหกต่อประชาชน โกหกต่อผู้สูญเสียและญาติของผู้สูญเสียจากเหตุการณ์ดังกล่าว และโกหกต่อหลักฐานข้อเท็จจริงที่วางอยู่ตรงหน้า
มากกว่านั้น เมื่อนายสมัครดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้วนายสมัครกลับเลือกที่จะปิดปากเงียบ เมื่อใครต่อใครถามถึงพฤติกรรมของสมัครแต่เก่าก่อนที่กล่าวจาบจ้วง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี อยู่เป็นนิจจนสร้างความพอใจให้กับคนจำนวนมาก รวมไปถึงกล่าวบิดเบือนเมื่อมีคนถามว่า นายสมัครเคยกล่าวใช่หรือไม่ว่าตนเองเป็น ‘นอมินี’ ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
บุคคลต่อมาที่ผมมิอาจหลีกเลี่ยงที่จะกล่าวถึงได้เลยก็คือ นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
การที่นายสมพงษ์ โยกย้ายนายสุนัย มโนมัยอุดม อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ไปเป็นรักษาราชการเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) แล้วนำเอา พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) มารักษาการแทนนั้น เป็นการกระทำที่ขัดกับความรู้สึกของคนจำนวนมาก เป็นการกระทำที่เห็นได้ชัดว่าเป็นความจงใจจะเอื้อประโยชน์ให้กับคดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หลายคดีที่ยังอยู่ในความดูแลของดีเอสไอ
การยกเอาเหตุผลว่า การโยกย้ายนายสุนัยจากดีเอสไอไป ป.ป.ท. ก็เพราะนายสุนัยมีฝีมือและ ป.ป.ท.นั้นเป็นหน่วยงานที่มีความสำคัญอย่างมากนั้นก็เป็นการโกหกอย่างหน้าไม่อายของนายสมพงษ์ เพราะ เมื่อวันที่ 26 ก.พ. ที่ผ่านมาเป็นที่ชัดเจนว่า หน่วยงาน ป.ป.ท.นั้นยังไม่สามารถตั้งขึ้นได้เนื่องจาก พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตถูกตุลาการรัฐธรรมนูญตีกลับ ด้วยเหตุผลว่ากระบวนการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ (ตามการให้สัมภาษณ์ของนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เมื่อวันที่ 26 ก.พ. 2551)
กรณีนี้หากจะกล่าวอย่างง่ายๆ ก็คือ เพื่อประโยชน์ทางคดีของ พ.ต.ท.ทักษิณที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานดีเอสไอ นายสมพงษ์จึงต้องไล่นายสุนัยให้กลับบ้านไปนั่งตบยุง แล้วโยก พ.ต.อ.ทวี มาสะสางแทน ที่นายสุนัยต้องไปนั่งตบยุงก็เพราะ องค์กร ป.ป.ท. ที่โยกนายสุนัยไปนั่งในตำแหน่งรักษาการเลขาธิการฯ นั้นยังเป็นองค์กรนอกกฎหมาย ยังไม่มีที่อยู่ ไม่มีสำนักงาน ไม่มีโต๊ะทำงาน ไม่มีเก้าอี้ ไม่มีบุคลากร ......
ช่างเป็นเรื่องเศร้าของแผ่นดินที่ข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ซื่อสัตย์และมีฝีมืออย่างนายสุนัย มโนมัยอุดม จะต้องไปนั่งเป็นรักษาการเลขาธิการฯ องค์กรที่ยังไม่มีตัวตน!
เมื่อจะยกตัวอย่างแล้ว ก็ต้องยกตัวอย่างให้ถึงแก่นถึงกึ๋น บุคคลสุดท้ายที่ผมอยากจะกล่าวว่า ทำตัวเหมือนนักศึกษาผู้ขลาดเขลาในสุภาษิตจีนโบราณข้างต้นก็คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ในช่วงเวลาหลายปีของการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศ พ.ต.ท.ทักษิณได้กระทำผิด กระทำทุจริต ประพฤติมิชอบต่อแผ่นดินไว้มากมาย จนก่อให้เกิดเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ขึ้น ทั้งนี้ความผิดที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ครอบครัวและพวกพ้องกระทำไว้หลายเรื่องได้ถูกนำขึ้นไปสู่การพิจารณาในชั้นศาลแล้ว หลายเรื่องยังอยู่ในการพิจารณาของอัยการ หลายเรื่องอยู่ในชั้นของการสืบสวน-สอบสวน และหลายเรื่องไม่ถูกนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแต่เป็นที่รับรู้และรับทราบโดยทั่วกันในหมู่ประชาชนจำนวนมาก
การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ให้การสนับสนุนพลังประชาชนอย่างโจ่งแจ้ง โดยปฏิเสธว่าพรรคพลังประชาชนก็คือพรรคไทยรักไทยเดิมและเงินทองที่นำมาใช้ในการบริหาร-เลือกตั้งนั้นไม่ได้มีแหล่งที่มาจากตน ส่วนนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีและคณะรัฐบาลก็ไม่ได้ถูกแต่งตั้งมาเพื่อแก้ไขปัญหาและปกป้องผลประโยชน์ของตน พูดกันตามตรงล้วนแล้วแต่เป็นคำพูดที่ไม่มีใครเชื่อถือทั้งสิ้น
หากจะเปรียบไป การกระทำด้วยการเอา “การเลือกตั้ง” มาปิดบังความผิดของตัวเอง พ.ต.ท.ทักษิณ ก็คงไม่ต่างอะไรกับการที่นักศึกษาในสุภาษิตจีนข้างต้นนำเอา “ใบไม้” มาบังตาตนเองโดยหวังว่าจะไม่มีใครเห็นตัวเอง แต่ก็อย่างที่สุภาษิตอธิบายไว้ในท้ายที่สุดว่า จริงๆ แล้วใบไม้หนึ่งใบก็ไม่สามารถปิดบังอะไรได้ นอกจากบดบังสายตาของตนเอง
*หมายเหตุ : แรกเริ่มเดิมทีประโยคเต็มๆ ของสุภาษิตชิ้นนี้คือ “ใบไม้หนึ่ง ใบบังตา มองไม่เห็นภูเขาไท่ซาน; ถั่วสองเม็ดยัดหู ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงอสนีบาต”