ผู้จัดการรายวัน-“กระเบื้องหลังคาตราเพชร” อิงกระแสโครงการอสังหาฯตามแนวรถไฟฟ้า 9 เส้นทาง หลังมีสัญญาณผู้ประกอบการทยอยเปิดโครงการ ตั้งเป้ายอดขายผ่านโครงการปี 51 เพิ่มขึ้นกว่า 50% คิดเป็น 8% ต่อสัดส่วนรายได้ พร้อมขยายตลาดส่งออก คาดโตขึ้น 15% ทุ่มงบ 400 ล้านบาท เพิ่มสายการผลิตที่ 9 อีก 6 หมื่นตันต่อปี
นายอัศนี ชันทอง กรรมการผู้จัดการบริษัท กระเบื้องหลังคาตราเพชร จำกัด (มหาชน) หรือ DRT เปิดเผยถึง แผนงานของบริษัทในปี 51 ว่า จะแบ่งออกเป็น 4 ส่วนหลักๆ ได้แก่ 1.การเตรียมที่จะขยายตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้น โดยมีเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนการส่งออกเป็น 15% จากในปีที่ผ่านมามีสัดส่วนการส่งออก 10% 2. การรุกตลาดโครงการมากขึ้น ซึ่งบริษัทฯมีผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเจียระไน ที่ตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าได้เป็นอย่างดี 3. เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ และเสริมบริการพิเศษ เพื่อเป็นทางเลือกของลูกค้าด้วย และ 4. การคืนกำไรให้สังคม
ทั้งนี้ ในปี 51 ทางบริษัทฯตั้งเป้ารายได้เติบโต 10% หรือมีรายได้ 2,800 ล้านบาท จากในปีที่ผ่านมา มียอดรายได้จากการขาย 2,591 ล้านบาท เติบโตขึ้น 8% เมื่อเทียบกับปี 2549 ขณะที่ในปี 50 มีกำไรสุทธิ 393 ล้านบาท โดยรายได้ในปีนี้ จะมาจากการขายกระเบื้องคอนกรีต เนื่องจากในปีนี้ ทางบริษัทจะรุกตลาดบ้านโครงการมากขึ้น เพราะรัฐบาลมีนโยบายที่ชัดเจนในโครงการเมกะโปรเจกต์ โดยเฉพาะการก่อสร้างรถไฟฟ้า 9 เส้นทาง ทำให้ผู้ประกอบการอสังหาฯที่มีที่ดินตามแนวรถไฟฟ้า จะเริ่มกลับมาลงทุนก่อสร้างทันที
นายสาธิต สุดบรรทัด รองกรรมการผู้จัดการสายการขายและการตลาดบริษัทฯ กล่าวเสริมว่า ในปีนี้ บริษัทตั้งเป้าที่จะขยายตลาดโครงการเพิ่มขึ้นกว่า 50% ซึ่งคิดเป็น 8% ต่อสัดส่วนรายได้เป้าหมายในปี 51 โดยเพิ่มขึ้นจาก 5.5% ในปี 50 ซึ่งเชื่อว่าในปีนี้ ตลาดโครงการจะโตเท่าตัว และเพิ่มยอดขายได้อีกประมาณ 100 ล้านบาท หรือประมาณ 230 ล้านบาท จากในปีที่ผ่านมา มียอดขายจากโครงการที่อยู่อาศัย 130 ล้านบาท
โดยขณะนี้ทางบริษัทมียอดสั่งสินค้าในมือแล้วประมาณ 90 ล้านบาท ซึ่งโครงการที่อยู่อาศัย ที่ใช้ผลิตภัณฑ์ของบริษัท เช่น โครงการคาซ่าวิลล์ ในเครือบริษัท ควอลิตี้ เฮ้าส์ฯ จำนวนทั้งสิ้น 1,400-1,500 หลัง คิดเป็นมูลค่า 39 ล้านบาท โครงการพฤกษา 5,000 หลัง มูลค่า 30 ล้านบาท โครงการศุภาลัย 500 หลัง มูลค่า 4 ล้านบาท โครงการเอเชี่ย พร็อพเพอร์ตี้ฯ 2,000 หลัง มูลค่า 20 ล้านบาท รวมทั้งโครงการบ้านเอื้ออาทร
“ยอดขายเข้าโครงการนั้น น่าจะมีส่วนเพิ่มปริมาณการขายที่มากขึ้น ซึ่งเท่าที่ดูแล้ว โครงการบ้านระดับราคากลางถึงล่าง ยังคงได้รับความนิยมจากลูกค้า ขณะที่โครงการบ้านเอื้ออาทรนั้น ตอนนี้ดีขึ้น เริ่มเดินเครื่อง หลังจากช่วงต้นปี 51 โครงการถูกแช่แข็ง ทั้งนี้ ยอดขายผ่านโครงการจะเป็นการดำเนินการต่อเนื่องไปถึงปี 52 และยังคงเพิ่มหาโครงการใหม่ๆเข้ามาเสริม รวมถึงโครงการคอนโดมิเนียมที่สามารถใช้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทได้ ที่สำคัญแล้วแนวโน้มของการลงทุนระบบสาธารณูปโภคภาครัฐที่จะเกิดขึ้น จะช่วยหนุนยอดขายของบริษัท เพียงแต่ทางบริษัทจะเข้าไปทางช่องทางของผู้รับเหมามากกว่า ”นายสาธิตกล่าวและว่า
เพื่อรองรับแผนการขยายตลาดที่เพิ่มขึ้น บริษัทได้เตรียมงบลงทุน 400 ล้านบาท ในการเพิ่มสายการผลิตที่ 9 เพื่อผลิตไม้ฝา ซึ่งสามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้อีก 60,000 ตันต่อปี จากปัจจุบันที่ใช้กำลังการผลิตเกือบ 100% ของทุกสายการผลิต ทั้งการผลิตกระเบื้องไฟเบอร์ซีเมนต์ 3 แสนตันต่อปี กระเบื้องคอนกรีต 2 แสนตันต่อปี
นายอัศนี ชันทอง กรรมการผู้จัดการบริษัท กระเบื้องหลังคาตราเพชร จำกัด (มหาชน) หรือ DRT เปิดเผยถึง แผนงานของบริษัทในปี 51 ว่า จะแบ่งออกเป็น 4 ส่วนหลักๆ ได้แก่ 1.การเตรียมที่จะขยายตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้น โดยมีเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนการส่งออกเป็น 15% จากในปีที่ผ่านมามีสัดส่วนการส่งออก 10% 2. การรุกตลาดโครงการมากขึ้น ซึ่งบริษัทฯมีผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเจียระไน ที่ตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าได้เป็นอย่างดี 3. เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ และเสริมบริการพิเศษ เพื่อเป็นทางเลือกของลูกค้าด้วย และ 4. การคืนกำไรให้สังคม
ทั้งนี้ ในปี 51 ทางบริษัทฯตั้งเป้ารายได้เติบโต 10% หรือมีรายได้ 2,800 ล้านบาท จากในปีที่ผ่านมา มียอดรายได้จากการขาย 2,591 ล้านบาท เติบโตขึ้น 8% เมื่อเทียบกับปี 2549 ขณะที่ในปี 50 มีกำไรสุทธิ 393 ล้านบาท โดยรายได้ในปีนี้ จะมาจากการขายกระเบื้องคอนกรีต เนื่องจากในปีนี้ ทางบริษัทจะรุกตลาดบ้านโครงการมากขึ้น เพราะรัฐบาลมีนโยบายที่ชัดเจนในโครงการเมกะโปรเจกต์ โดยเฉพาะการก่อสร้างรถไฟฟ้า 9 เส้นทาง ทำให้ผู้ประกอบการอสังหาฯที่มีที่ดินตามแนวรถไฟฟ้า จะเริ่มกลับมาลงทุนก่อสร้างทันที
นายสาธิต สุดบรรทัด รองกรรมการผู้จัดการสายการขายและการตลาดบริษัทฯ กล่าวเสริมว่า ในปีนี้ บริษัทตั้งเป้าที่จะขยายตลาดโครงการเพิ่มขึ้นกว่า 50% ซึ่งคิดเป็น 8% ต่อสัดส่วนรายได้เป้าหมายในปี 51 โดยเพิ่มขึ้นจาก 5.5% ในปี 50 ซึ่งเชื่อว่าในปีนี้ ตลาดโครงการจะโตเท่าตัว และเพิ่มยอดขายได้อีกประมาณ 100 ล้านบาท หรือประมาณ 230 ล้านบาท จากในปีที่ผ่านมา มียอดขายจากโครงการที่อยู่อาศัย 130 ล้านบาท
โดยขณะนี้ทางบริษัทมียอดสั่งสินค้าในมือแล้วประมาณ 90 ล้านบาท ซึ่งโครงการที่อยู่อาศัย ที่ใช้ผลิตภัณฑ์ของบริษัท เช่น โครงการคาซ่าวิลล์ ในเครือบริษัท ควอลิตี้ เฮ้าส์ฯ จำนวนทั้งสิ้น 1,400-1,500 หลัง คิดเป็นมูลค่า 39 ล้านบาท โครงการพฤกษา 5,000 หลัง มูลค่า 30 ล้านบาท โครงการศุภาลัย 500 หลัง มูลค่า 4 ล้านบาท โครงการเอเชี่ย พร็อพเพอร์ตี้ฯ 2,000 หลัง มูลค่า 20 ล้านบาท รวมทั้งโครงการบ้านเอื้ออาทร
“ยอดขายเข้าโครงการนั้น น่าจะมีส่วนเพิ่มปริมาณการขายที่มากขึ้น ซึ่งเท่าที่ดูแล้ว โครงการบ้านระดับราคากลางถึงล่าง ยังคงได้รับความนิยมจากลูกค้า ขณะที่โครงการบ้านเอื้ออาทรนั้น ตอนนี้ดีขึ้น เริ่มเดินเครื่อง หลังจากช่วงต้นปี 51 โครงการถูกแช่แข็ง ทั้งนี้ ยอดขายผ่านโครงการจะเป็นการดำเนินการต่อเนื่องไปถึงปี 52 และยังคงเพิ่มหาโครงการใหม่ๆเข้ามาเสริม รวมถึงโครงการคอนโดมิเนียมที่สามารถใช้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทได้ ที่สำคัญแล้วแนวโน้มของการลงทุนระบบสาธารณูปโภคภาครัฐที่จะเกิดขึ้น จะช่วยหนุนยอดขายของบริษัท เพียงแต่ทางบริษัทจะเข้าไปทางช่องทางของผู้รับเหมามากกว่า ”นายสาธิตกล่าวและว่า
เพื่อรองรับแผนการขยายตลาดที่เพิ่มขึ้น บริษัทได้เตรียมงบลงทุน 400 ล้านบาท ในการเพิ่มสายการผลิตที่ 9 เพื่อผลิตไม้ฝา ซึ่งสามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้อีก 60,000 ตันต่อปี จากปัจจุบันที่ใช้กำลังการผลิตเกือบ 100% ของทุกสายการผลิต ทั้งการผลิตกระเบื้องไฟเบอร์ซีเมนต์ 3 แสนตันต่อปี กระเบื้องคอนกรีต 2 แสนตันต่อปี
