"กัมมุนา วัตตีโลโก" สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม!! "ทั่นยุทธ" หนีใบแดงไม่พ้น ถูก กกต.เสนอความเห็นให้ศาลฎีกาชี้ขาด แถมคดีอาญาพ่วงท้าย ส่วน"ละออง" น้องสาว "ยุทธตู้เย็น" ซวยตามพี่ชาย เจอใบเหลืองด้วย "สุเมธ" ยันวินิจฉัยตามพยานหลักฐาน ไม่หวั่นม็อบเชียงรายบุก กกต. หากมาขับไล่ ก็พร้อมจะไป ขณะที่"เจ๊เห็ดสด"งดออกเสียง แถมโยนขี้ให้เพื่อน อ้างสอบพยานไม่ครบถ้วนแต่รีบตัดสิน เผยผลสอบระบุชัด เงินที่ได้ เอาไปลงอ่าง ไม่ได้ไปจ่ายซื้อเสียง ส่วน"สมชัย"เป็นเสียงข้างน้อย บอกไม่ผิด "อ้อ" เรียกประชุมด่วนโวยล็อบบี้กกต.ไม่บรรลุผล ด้าน"ทั่นยุทธ"ประกาศยุติบทบาทประธานสภาชั่วคราว ขณะที่ พปช. ส่อลอยแพ อ้างเป็นความผิดบุคคล พรรคมีระเบียบระบุชัด
วานนี้ (26 ก.พ.) คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)ได้มีการประชุมเพื่อพิจารณาผลการสอบสวน กรณีการทุจริตเลือกตั้ง จ.เชียงราย ของนายยงยุทธ ติยะไพรัช ประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่นายสุวิทย์ ธีรพงษ์ ประธานอนุกรรมการสอบสวนได้เสนอมา
ก่อนการประชุม นายสุเมธ อุปนิสากร กกต.ด้านการมีส่วนร่วม กล่าวว่า นายยงยุทธ ได้มีหนังสือร้องขอให้กกต. อย่าเพิ่งวินิจฉัยสำนวนดังกล่าวโดยขอให้รอผลการสอบสวนในสำนวนที่ พล.อ.สมเจตต์ บุญถนอม อดีตผอ.สำนักงานเลขาธิการ คมช.ร้องว่านายยงยุทธ ใส่ร้ายป้ายสีว่าใช้ปืนข่มขู่หัวคะแนนพรรคพลังประชาชน แล้วจึงค่อยวินิจฉัยพร้อมกัน ซึ่งต้องดูว่าที่ประชุมจะมีความเห็นอย่างไร
อย่างไรก็ตาม ภายหลังการประชุม นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการกกต. แถลงว่า คำขอของนายยงยุทธ ที่ประชุมเห็นว่า แต่ละสำนวนสามารถพิจารณาแยกกันได้ เพราะพยานหลักฐานของทั้ง 2 สำนวนไม่มีความเกี่ยวข้องกัน ประกอบกับสำนวนทุจริตเลือกตั้งที่ จ.เชียงราย ได้มีการสืบสวนสอบสวน และรวบรวมพยานหลักฐานครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ที่ประชุมจึงได้มีการวินิจฉัยโดยมีมติเสียงข้างมากให้เสนอความเห็นไปยังศาลฎีา พิจารณาสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของ นายยงยุทธ พร้อมกับดำเนินคดีอาญากับนายยงยุทธด้วย รวมทั้งยังมีมติเสียงข้างมาก เสนอให้ศาลฎีกา สั่งเลือกตั้งใหม่ ในกรณี น.ส.ละออง ติยะไพรัช ส.ส.เขต 3 เชียงราย พรรคพลังประชาชน ส่วนนายอิทธิเดช แก้วหลวง ส.ส. เขตเดียวกัน กกต. มีมติให้ยกคำร้อง
ส่วนกระบวนการหลังจากนี้ เจ้าหน้าที่ด้านสืบสวนสอบสวน จะดำเนินการยกร่างความเห็น และเตรียมสำนวนเสนอให้ กกต.พิจารณาภายใน 2 สัปดาห์ เมื่อ กกต.เห็นว่ามีความสมบูรณ์แล้ว ก็จะมอบให้คณะอนุกรรมการชุดของนายสุวิทย์ ไปดำเนินการเสนอเรื่องให้ศาลฎีกาพิจารณาต่อไป ซึ่งเมื่อศาลฎีการับคำฟ้องแล้ว นายยงยุทธ ก็ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ทันที
สำหรับการพิจารณา ศาลฎีกาจะใช้ระบบไต่สวนโดยหากนายยงยุทธ ต้องการให้มีการสอบพยานเพิ่ม ก็สามารถยื่นคำร้องต่อศาลฯได้ และหากศาลฎีกา มีความเห็นตามที่ กกต.เสนอตาม พ.ร.บ.เลือกตั้ง ก็กำหนดโทษไว้ว่า ต้องถูกสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลา 5 ปี ถึงเวลานั้น กกต.ก็จะมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณาเรื่องการยุบพรรคพลังประชาชนต่อไป เนื่องจากขณะมีการกระทำผิดนั้น นายยงยุทธ ดำรงตำแหน่ง กรรมการบริหารพรรค
ส่วน ส.ส.สัดส่วนที่จะขึ้นมาแทนนายยงยุทธ นั้น เบื้องต้นคงไม่มีการนำคะแนนส.ส.ระบบสัดส่วนกลุ่มที่ 1 มาคำนวนใหม่ เนื่องจากกกต.ได้ประกาศรับรองผลการเลือกตั้งไปแล้ว ดังนั้นหากนายยงยุทธ ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ส.ส.ลำดับถัดไปในบัญชีของพรรคพลังประชาชน จะถูกเลื่อนลำดับขึ้นมา
ด้าน นายสมชัย จึงประเสริฐ กกต.ด้านสืบสวนสอบสวน กล่าวว่า มติเสนอความเห็นสั่งเพิกถอนสิทธิ นายยงยุทธ ไปยังศาลฎีกา ของกกต.นั้น เป็นมติ 3 ใน 2 ซึ่งการพิจาณาของกกต. เป็นไปตามข้อมูล จึงขอให้ทุกฝ่ายเคารพความเห็นของกกต.ด้วย
ส่วนนายสุเมธ อุปนิสากร กกต.ด้านการมีส่วนร่วม ยอมรับว่า ตนเองเป็นเสียงส่วนใหญ่ที่เห็นว่า นายงยุทธ กระทำผิด และได้เขียนคำวินิจฉัยส่วนตัวเสร็จแล้ว อยากจะเปิดเผย แต่เกรงว่าจะผิดกฎหมาย เพราะจะต้องมีการส่งสำนวนไปให้ศาลฎีกาพิจารณา
สำหรับที่ กกต.สั่งเลือกตั้งใหม่ น.ส.ละออง นั้นก็เพราะเห็นว่า น.ส.ละออง ไม่ได้รู้เห็นเกี่ยวข้องกับการกระทำของนายยงยุทธ แต่ได้รับประโยชน์และทำให้การเลือกตั้ง ส.ส.เชียงราย ที่ผ่านมาไม่สุจริตเที่ยงธรรม แต่ที่นายอิทธิเดช แก้วหลวง ส.ส.เชียงราย อีกคนหนึ่งไม่ถูกสั่งเลือกตั้งใหม่ไปด้วย เพราะกกต.เห็นว่าไม่เกี่ยวข้อง และเท่าที่จำได้ มติไม่เป็นเอกฉันท์
เมื่อถามว่า 2 เสียงข้างน้อย ดังกล่าวเป็นนางสดศรี สัตยธรรม กับ นายสมชัย จึงประเสริฐ ใช่หรือไม่ นายสุเมธ กล่าวว่า ตามมารยาท ตนไม่อยากพูด แต่ก็เดาถูกแล้วนี่ แล้วจะมาถามทำไม เมื่อถามต่อว่า เกรงหรือไม่ว่าจะมีการมาชุมนุมขับไล่กกต. นายสุเมธ กล่าวว่า ไม่กังวล มาขับไล่ก็ไป
นายประพันธ์ นัยโกวิท กกต. ด้านบริหารการเลือกตั้ง ปฏิเสธที่จะเปิดเผยว่าตนเองลงมติอย่างไร แต่ยืนยันว่า การพิจารณาทั้งหมด กกต. พิจารณาจากพยานหลักฐานที่มี
"สดศรี"เผยงดออกเสียง
นางสดศรี สัตยธรรม กกต. ด้านกิจการพรรคการเมืองกล่าวถึงมติ กกต.ที่ให้ใบแดงแก่นายยงยุทธ ที่มีข่าวว่า เป็นมติ 3 ต่อ 2 นั้นไม่ถูกต้อง ที่จริงเสียงต้องเป็น 3 :1:1 เนื่องจากตนได้งดออกเสียง เพราะเมื่ออ่านสำนวนแล้วพบว่า นายยงยุทธ ขอสอบพยานเพิ่มอีกหนึ่งปาก แต่คณะอนุกรรมการฯกลับไม่ได้สอบพยานปากนี้ รวมทั้งนายยงยุทธ ก็ขอรวมสำนวนการสอบสวนกับที่ทาง พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม ได้ยื่นร้องกรณีปราศรัยใส่ร้าย ซึ่งคดีนี้ก็มีความเกี่ยวข้องกัน และอนุกรรมการสอบสวน ก็กำลังจะสรุปความเห็นในสัปดาห์หน้านี้ จากเหตุเหล่านี้เอง ตนจึงเห็นว่า ควรสอบพยานให้เสร็จสิ้น และการจะลงโทษใครต้องสอบสวนให้สิ้นกระแสความเสียก่อน แล้วค่อยลงมติ แต่ กกต. คนอื่นไม่เอาด้วย และลงมติเลย ซึ่งเรื่องนี้ สำหรับตัวเองถือว่า ยังไม่ลงมติ คนที่ลงมติมี 4 คนเท่านั้น
เมื่อถามถึง กกต. อีกคนที่เห็นควรให้ยกคำร้อง นางสดศรี ตอบในทันทีว่า เป็นนายสมชัย จึงประเสริฐ
นางสดศรี กล่าวด้วยว่า ที่ กกต. คนอื่นให้เหตุผลที่ต้องตัดสินเนื่องจาก กรณีนี้ยาวกว่าเรื่องอื่น และยังเรื่องนี้ได้รับความสนใจ และมีก็ออกข่าวเป็นระยะๆ ซึ่งก็สงสัยว่า ทำไมต้องสำคัญกว่าเรื่องอื่น เพราะนายยงยุทธ ก็เป็น ส.ส. เหมือนคนอื่น
เมื่อถามว่า หากเปิดโอกาสให้นายยงยุทธ ยื่นขอสอบพยานไปเรื่อยๆ เรื่องก็จะไม่ยุติ นางสดศรี กล่าวว่า การพิจารณาจะลงโทษใคร เราต้องให้โอกาสเขา ศาลกว่าจะพิจารณาเสร็จก็เป็นปี การฟังพยานของศาล จะฟังจนสิ้นกระแสความ เราไม่ใช่ฟังแต่กระแสสังคม และต้องยอมรับว่าตอนนี้สังคมมี 2 กระแส หากเราไปฟังกระแสใด ผลที่ออกมา จะกระทบต่อประชาธิปไตย เพราะการเมืองคือการเมือง ไม่มีว่า ความถูกต้องคืออะไร
ส่วนที่ นายยงยุทธ ระบุว่า ขอให้ กกต. ตอบว่าหลังการเลือกตั้ง มี พล.อ. คนหนึ่งไปขอให้ กกต. ลาออกเพื่อให้การเลือกตั้งมีปัญหา และมี พล.อ. อีกคนพยายามเล่าเรื่องให้ กกต. ฟังว่า นายยงยุทธ มีปัญหาจริงหรือไม่ นางสดศรีกล่าวว่า
"เรื่องนี้คนให้คำตอบดีที่สุดคือ นายยงยุทธ สำหรับตัวเองไม่มี แต่กับกกต.คนอื่นไม่ทราบ การทำงานของ กกต.เป็นอิสระในการใช้ดุลพินิจ เราไม่เคยมานั่งถามกันว่า มีใครมาล็อบบี้หรือไม่"
เมื่อถามว่า เหตุผลที่ให้จะเป็นประโยชน์กับนายยงยุทธ ในชั้นศาลฯหรือไม่ นางสดศรี กล่าวว่า ในฐานะที่เป็นกรรมการ หากต้องเป็นการให้การเพื่อประโยชน์ใคร ก็ไม่ควรทำ
รายงานข่าวแจ้งว่าสำหรับ 1 เสียง ที่เห็นว่าให้ยกคำร้อง มองว่า ข้อเท็จจริงที่ได้จากการสืบสวน ยังฟังไม่ได้ว่าการให้เงินแก่กำนันทั้ง 10 คนนั้น เป็นการซื้อเสียงตาม มาตรา 53(1) พ.ร.บ.เลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว. แต่ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น เข้าองค์ประกอบความผิด มาตรา 144 และ 149 ของกฎหมายอาญามากกว่า เนื่องจากฟังได้ว่าเป็นการให้ประโยชน์แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ เพื่อทำประโยชน์ให้ตนเอง ถือเป็นความผิดอาญาแผ่นดิน ซึ่งผิดทั้ง นายยงยุทธ ที่เป็นผู้ให้ และกำนันทั้ง 10 คนที่เป็นผู้รับ โดยกรณีนี้ใครจะไปร้องต่อศาลก็ได้ ไม่ได้จำกัดว่าผู้ร้องต้องเป็นบุคคลใดคนหนึ่งที่ต้องถูกระบุว่า เป็นผู้เสียหาย และการพิพากษา ก็จะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจศาล
เอาเงินไปอาบอบนวดไม่ได้ซื้อเสียง
ส่วนในการสอบสวนที่ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า มีการให้เงินระหว่างคนใกล้ชิดนายยงยุทธ กับกำนันทั้ง 10 คนนั้น แต่จากการสอบปากคำกำนัน ยืนยันเงินดังกล่าวไม่ได้นำไปให้บุคคลอื่น เพื่อที่จะไปจูงใจเพื่อให้ลงคะแนนให้กับนายยงยุทธ หรือ น.ส.ละออง โดยกำนันบางคนบอกว่า นำไปเที่ยวกลางคืน ไปอาบอบนวด จึงถือว่าเข้าลักษณะการจ่ายค่าเลี้ยงดูให้ไปเที่ยว ไม่ใช่นำไปแจกชาวบ้าน ดังนั้นจากการสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริง เฉพาะในสำนวนนี้ จึงยังฟังไม่ได้ว่า เป็นการกระทำผิดในการซื้อเสียง อีกทั้งยังไม่สามารถได้เงินหลักฐานที่อ้างว่าเป็นเงินซื้อเสียงมายืนยันด้วย ประกอบกับเหตุการณ์ดังกล่าว ยังเกิดขึ้นก่อนที่จะมีการสมัครรับเลือกตั้งด้วย
"ยุทธตู้เย็น"ยันจัดฉากใส่ร้าย
ด้าน นายยงยุทธ ติยะไพรัช ประธานสภาฯ ได้เปิดแถลงข่าวที่พรรค หลังทราบมติ กกต. ว่า เหตุที่เกิดขึ้นกับตนนั้น เพราะมีการอ้างกลุ่มกำนันผู้ใหญ่บ้าน จ.เชียงราย 10 คน และรวมทั้งนายกเทศมนตรีมาเยี่ยมตนที่พรรค วันนั้นยังไม่ใช่วันรับสมัครเลือกตั้ง และในวันนั้นตนเลิกประชุมสองทุ่มเศษ พวกนั้นก็รอ ตนจึงเดินไปหา และบอกติดตลกว่า วันนี้ออกใจดำ เลี้ยงข้าวยังไม่ได้ เพราะกฤษฎีกาเลือกตั้งออกมาแล้ว
นายยงยุทธ กล่าวด้วยว่า มีขบวนการถ่ายวีดีโอ ช่วงที่กำนันเดินทางจาก จ.เชียงราย มายัง กทม. ทั้งขาไปและขากลับ ซึ่งต่อมา นายวิจิตร ยอดสุวรรณ ผู้สมัคร ส.ส.เชียงราย พรรคชาติไทย ได้แจ้งกกต.ว่า กำนันกลุ่มนั้นมารับเงินกับตนคนละ 2 หมื่นบาท พร้อมตั๋วเครื่องบิน และหนึ่งในนั้นคือนายชัยวัฒน์ ฉางข้าวคำ คือ นกต่อที่ออกเงินซื้อตั๋วเครื่องบินเอง และหลังจากที่นายวิจิตร แจ้งว่าตนกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง สันติบาลไปเอาเทปที่ทหารถ่ายไว้ก่อนหน้ามาประกอบ และบอกว่าตนทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง แล้วเอาเรื่องเหล่านี้มาเป็นหลักฐาน ในการร้องเรียนตน
นอกจากนี้ ก็มีการปล่อยข่าวว่าตนเป็นคนชั่ว มีอิทธิพล กักขังหน่วงเหนี่ยว ข่มขู่คุกคามพยานคือ นายชัยวัฒน์ นายยงยุทธ กล่าวว่า ตนจะยุติการทำงานหน้าที่ประธานสภาไว้ชั่วคราว จนกว่าศาลจะพิพากษาไปในทางหนึ่งทางใด โดยมอบงานให้ นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ และพ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย รองประธานสภาฯ ปฏิบัติหน้าที่แทน โอกาสนี้ นายยงยุทธ ได้ตั้งคำถาม ไปยังกกต. ด้วยว่า 1. ได้มีพลเอกคนหนึ่งเมื่อเลือกตั้งเสร็จแล้วได้ขอร้องให้กกต. ลาออก เพื่อให้การเลือกตั้งมีปัญหา เพราะการให้ใบเหลืองใบแดง เหล่านั้นมีจริงหรือไม่ สิ่งนี้กกต.รู้อยู่แก่ใจ
2.พลเอกอีกคนหนึ่งไปวิ่งเต้นเล่าเรื่องต่างๆให้กกต.ฟัง เพื่อเล่นงานตน โดยตลอด ตรงนี้จริงหรือไม่ หากไม่มีจริง ตนจะยินดีเพราะตนจะไม่เคารพ กกต.อีกต่อไป เพราะถือว่าสิ่งที่ กกต.พูดนั้นเป็นเรื่องโกหก และเรื่องแบบนี้มันโกหกกันไม่ได้เพราะมันรู้กันหมด ตนจึงเล่าให้ฟังว่า ความไม่โปร่งใส และไม่เที่ยงธรรมในเหตุที่เกิดขึ้นในวันนี้ ใครทำต้องรับผิดชอบ เพราะการกระทำที่ขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 236 และการกระทำที่ขัดต่อบทบัญญัติการเลือกตั้ง ตนก็ต้องต่อสู้จนถึงที่สุด เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่า การกระทำของ กกต.บางคนกระทำการละเมิดต่อกระบวนการที่ไม่ถูกต้องตามกระบวนการทางกฎหมาย และใช้สิ่งเหล่านี้มาเป็นเครื่องมือในการทำให้ตนขาดการได้รับความเป็นธรรม
ทั้งนี้ ตนหวังว่าคงไม่มีใครใช้กระบวนการยุติธรรมของประเทศ โดยเฉพาะทางศาล มาเป็นเครื่องมือทำลายล้างคนและพรรคอีกต่อไป ตนเชื่อว่า สังคมไทยจะน่าอยู่ต่อไปหรือไม่ ก็ต้องพิสูจน์ต่อไป ตนไม่ใช่คนชั่วอย่างที่หลายฝ่าย พยายามตั้งข้อกล่าวหา
ผู้สื่อข่าวถามว่า แสดงว่าขณะนี้ยังไม่คิดลาออกจากตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรใช่หรือไม่ นายยงยุทธ กล่าวว่า ตนยังไม่ลาออก ส่วนประชุมสภาในวันนี้ (27 ก.พ.) ตนคงจะไปร่วมประชุมสภาในฐานะ ส.ส.
"มีชัย"ชี้กระทบการทำงานของสภา
นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กล่าวว่า ตามกฎหมายขณะนี้ถือว่ายังไม่มีผล จนกว่า กกต.จะยื่นคำร้อง และศาลฏีการับเรื่องไว้พิจารณา ตรงนั้นนายยงยุทธ ต้องหยุดปฎิบัติหน้าที่ หากศาลฏีกายกคำร้องนายยงยุทธ ก็สามารถกลับมาปฎิบัติหน้าที่ต่อไป แต่ถ้าศาลฏีกา มีคำสั่งให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ก็ต้องพ้นจากตำแหน่ง ก็ต้องมีการเลือกประธานสภาฯกันใหม่
"ขณะนี้เป็นช่วงเปลี่ยนถ่ายที่วุฒิสภาจะเข้ามา และยังไม่มีประธานวุฒิสภาเข้ามาทำหน้าที่รองประธานรัฐสภา เพราะตามกฎหมายคนที่จะรักษาการในตำแหน่งประธานรัฐสภาได้ ก็คือ ประธานวุฒิสภา ที่เป็นรองประธานรัฐสภาโดยตำแหน่ง ถ้าไม่มี ก็จะเกิดปัญหาในการเรียกประชุมรัฐสภา และการบริหารกิจการรัฐสภา แต่ถ้าเป็นการประชุมสภาผู้แทนราษฎรทั่วไป สามารถให้รองประธานสภาฯ รักษาการแทนได้"
เมื่อถามว่า เรื่องนี้ เป็นบทเรียนให้กับพรรคการเมืองและนักการเมืองที่จะเลือกคนเข้ามาทำหน้าที่ตรงนี้หรือไม่ นายมีชัย กล่าวว่า คงพูดยาก เพราะการคัดเลือกก็เป็นไปตามกลไก แต่อยู่ที่พรรคการเมืองจะตัดสินใจกันอย่างไร
"ต้องมาคิดกันคือ การประกาศสอยที่หลังการรับรองผลการเลือกตั้งไปแล้วมันเหมาะสมหรือไม่ เราควรจะมีกลไกที่จะต้องทำให้เสร็จก่อนการประกาศรับรองผล ซึ่งจะต้องให้เวลาทำ หากสงสัยใครว่ามีปัญหา ก็อาจจะยังไม่ประกาศรับรอง รอทำให้เสร็จก่อน ซึ่งอาจใช้เวลา 5-6 เดือน ซึ่งหากทำอย่างนี้ กกต.ก็จะไม่ถูกกดดันมาก และถ้าทุกอย่างทำเสร็จก่อนเลือกประธานสภาฯ ก็คงจะไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ดังนั้นในวันข้างหน้าหากใครคิดจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็ควรศึกษาแล้วแก้ไขเพื่อให้เกิดความเหมาะสมต่อไป" นายมีชัย กล่าว
ปชป.ระบุโยงถึงยุบพรรคได้
นายถาวร เสนเนียม รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การที่ กกต.มีมติเช่นนั้นเพราะมีหลักฐานชัดเจนว่า นายยงยุทธ มีการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง ใช้เงินจูงใจผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้ช่วยสนับสนุนพรรคพลังประชาชน
"คดีนี้จะต้องสาวไปถึงการยุบพรรคด้วย เพราะขณะนั้นนายยงยุทธ เป็นรองหัวหน้าพรรคอันดับ 1 และมีหลักฐานชัดว่า มีการจ่ายเงินที่พรรคพลังประชาชนชน ดังนั้น หากถึงขั้นยุบพรรคพลังประชาชนจริง จะเกิดปัญหาตามมาอีกมาก เพราะกรรมการบริหารพรรคทั้งหมด จะต้องถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองด้วย ซึ่งรวมถึง นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีบางส่วนด้วย ส่วนส.ส.ของพรรคจะต้องเร่งหาพรรคใหม่สังกัดภายใน 30 วัน
พปช.ส่อลอยแพ"ยุทธตู้เย็น"
นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เลขาธิการพรรพลังประชาชน กล่าวว่า วันนี้ยังเร็วเกินไปที่จะบอกว่านายยงยุทธ จะต้องพักจากการทำหน้าที่ประธานสภาหรือไม่ คงต้องรอถึงขั้นตอนที่ศาลรับเรื่องแล้ว
ส่วนจะมีผลกระทบกับนักลงทุนหรือไม่นั้น คงไม่ส่งผลกระทบ เพราะตนเชื่อว่านักลงทุนชาวต่างประเทศ หรือนักสังเกตการณ์เขาดูว่า ระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทยยังปักหลักมั่นคง และเดินหน้าต่อไปได้ ตรงนั้นน่าจะเป็นหลักมากกว่า เรื่องของตัวบุคคล
"เรื่องตัวบุคคลก็เป็นเรื่องของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้อยู่แล้ว ในหลายๆประเทศ การเมืองประเทศนั้นๆ เปลี่ยนตัวผู้นำประเทศก็มี เปลี่ยนตัวผู้นำสภาก็มี ก็สามารถจะเปลี่ยนได้ ถ้าหากตราบใดที่การเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นการเปลี่ยนแปลงตามระบอบประชาธิปไตย ซึ่งตรงนั้นไม่มีปัญหาใดๆกับความเชื่อมั่น"
สำหรับจะส่งผลต่อการยุบพรรคหรือไม่ นพ.สุรพงษ์ กล่าวว่า แน่นอนว่าอาจจะมีการโยงไปว่า มีผลต่อการยุบพรรค แต่เราได้เคยประกาศแล้วว่า เรามีมาตรการ 45 ข้อ ที่สั่งห้ามทั้ง ผู้บริหาร และผู้สมัครของพรรค ไม่ให้ทำผิดระเบียบกฎหมายของ กกต. ฉะนั้นมีการกำหนดเป็นนโยบายชัดเจน หากใครทำอะไรที่ผิด ซึ่งไม่เจาะจงว่าเป็นผู้ใด ก็ถือว่าจะต้องถือว่าเป็นการละเมิดมาตรการ กติกา
"เพราะพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งไม่ได้ประกอบเพียงหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค หรือกรรมการบริหารพรรคเท่านั้น แต่ยังมีสมาชิกที่ร่วมอุดมการณ์จำนวนมาก เพราะฉะนั้นพรรคเองคงเป็นไปไม่ได้ที่บอกว่า ในบรรดาของผู้ที่เป็นสมาชิกพรรคทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม จะไม่มีใครที่ไปทำอะไรผิดกฎมาย หรือระเบียบเลย ถ้าหากใครทำผิดกฎ หรือระเบียบก็ต้องรับโทษทางกฎหมายนั้นๆ แต่คงไม่สามารถมาเชื่อมโยงว่า นี่เป็นเรื่องที่คนในพรรคเห็นด้วย " นพ.สุรพงษ์ กล่าว
เมื่อถามว่า แสดงว่าเป็นเรื่องของตัวบุคคลใช่หรือไม่ เลขาธิการ พปช. กล่าวว่า "ใช่" รวมทั้งเชื่อว่า ไม่ว่าจะเป็นกรณีไหน คือไม่ได้เจาะจงเฉพาะเรื่องของนายยงยุทธ หรือใครก็ตาม ถ้าหากมีการตรวจสอบแล้วว่า มีการกระทำผิด ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ตัวบุคคลได้ไปกระทำโดยที่พรรคไม่มีส่วนรู้เห็น เพราะพรรคได้กำหนดไว้เป็นกติกาชัดเจน
แผนล็อบบี้ กกต.ไม่บรรลุผล
มีรายงานข่าวจากพรรคพลังประชาชน ว่า ในช่วงเที่ยงวานนี้ คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เรียกแกนนำพรรคพลังประชาชน และอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย เข้าหารือ ที่อาคารชินวัตร 3 เพื่อประเมินสถานการณ์การเมืองหลังจากที่ กกต. มีมติให้ใบแดงนายยงยุทธ ซึ่งมีการมองว่า การล็อบบี้ กกต. มีการพลิกโผ โดยหลุดไปหนึ่งคน จนทำให้กกต.มีมติ 3 ต่อ 2 จนนายยงยุทธ โดนใบแดง แต่คดีนี้ยังต้องใช้เวลาพิจารณา เพราะกกต.ต้องส่งเรื่องให้ศาลฎีกา ตัดสิน
นอกจากนี้ ในที่ประชุมยังมองว่ารัฐบาลควรเร่งทำงานให้มีผลงานมากที่สุด และในช่วง 3 เดือนนี้อาจปรับครม. เพื่อเรียกศรัทธาของรัฐบาลให้มากที่สุด อีกทั้งกรณีของ นายยงยุทธ นั้น อาจทำให้พ.ต.ท.ทักษิณ เลื่อนเวลากลับประเทศออกไปอีกระยะโดยจะอ้างเหตุผลต่อกับสังคมว่า เป็นเพราะพันธมิตรฯ ไม่ต้องการให้กลับ และเพื่อความสมานฉันท์ของสังคม พ.ต.ท.ทักษิณ จึงขอเลื่อนเวลากลับประเทศออกไปก่อน และจะกลับมาในอนาคตอันใกล้นี้
วานนี้ (26 ก.พ.) คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)ได้มีการประชุมเพื่อพิจารณาผลการสอบสวน กรณีการทุจริตเลือกตั้ง จ.เชียงราย ของนายยงยุทธ ติยะไพรัช ประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่นายสุวิทย์ ธีรพงษ์ ประธานอนุกรรมการสอบสวนได้เสนอมา
ก่อนการประชุม นายสุเมธ อุปนิสากร กกต.ด้านการมีส่วนร่วม กล่าวว่า นายยงยุทธ ได้มีหนังสือร้องขอให้กกต. อย่าเพิ่งวินิจฉัยสำนวนดังกล่าวโดยขอให้รอผลการสอบสวนในสำนวนที่ พล.อ.สมเจตต์ บุญถนอม อดีตผอ.สำนักงานเลขาธิการ คมช.ร้องว่านายยงยุทธ ใส่ร้ายป้ายสีว่าใช้ปืนข่มขู่หัวคะแนนพรรคพลังประชาชน แล้วจึงค่อยวินิจฉัยพร้อมกัน ซึ่งต้องดูว่าที่ประชุมจะมีความเห็นอย่างไร
อย่างไรก็ตาม ภายหลังการประชุม นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการกกต. แถลงว่า คำขอของนายยงยุทธ ที่ประชุมเห็นว่า แต่ละสำนวนสามารถพิจารณาแยกกันได้ เพราะพยานหลักฐานของทั้ง 2 สำนวนไม่มีความเกี่ยวข้องกัน ประกอบกับสำนวนทุจริตเลือกตั้งที่ จ.เชียงราย ได้มีการสืบสวนสอบสวน และรวบรวมพยานหลักฐานครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ที่ประชุมจึงได้มีการวินิจฉัยโดยมีมติเสียงข้างมากให้เสนอความเห็นไปยังศาลฎีา พิจารณาสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของ นายยงยุทธ พร้อมกับดำเนินคดีอาญากับนายยงยุทธด้วย รวมทั้งยังมีมติเสียงข้างมาก เสนอให้ศาลฎีกา สั่งเลือกตั้งใหม่ ในกรณี น.ส.ละออง ติยะไพรัช ส.ส.เขต 3 เชียงราย พรรคพลังประชาชน ส่วนนายอิทธิเดช แก้วหลวง ส.ส. เขตเดียวกัน กกต. มีมติให้ยกคำร้อง
ส่วนกระบวนการหลังจากนี้ เจ้าหน้าที่ด้านสืบสวนสอบสวน จะดำเนินการยกร่างความเห็น และเตรียมสำนวนเสนอให้ กกต.พิจารณาภายใน 2 สัปดาห์ เมื่อ กกต.เห็นว่ามีความสมบูรณ์แล้ว ก็จะมอบให้คณะอนุกรรมการชุดของนายสุวิทย์ ไปดำเนินการเสนอเรื่องให้ศาลฎีกาพิจารณาต่อไป ซึ่งเมื่อศาลฎีการับคำฟ้องแล้ว นายยงยุทธ ก็ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ทันที
สำหรับการพิจารณา ศาลฎีกาจะใช้ระบบไต่สวนโดยหากนายยงยุทธ ต้องการให้มีการสอบพยานเพิ่ม ก็สามารถยื่นคำร้องต่อศาลฯได้ และหากศาลฎีกา มีความเห็นตามที่ กกต.เสนอตาม พ.ร.บ.เลือกตั้ง ก็กำหนดโทษไว้ว่า ต้องถูกสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลา 5 ปี ถึงเวลานั้น กกต.ก็จะมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณาเรื่องการยุบพรรคพลังประชาชนต่อไป เนื่องจากขณะมีการกระทำผิดนั้น นายยงยุทธ ดำรงตำแหน่ง กรรมการบริหารพรรค
ส่วน ส.ส.สัดส่วนที่จะขึ้นมาแทนนายยงยุทธ นั้น เบื้องต้นคงไม่มีการนำคะแนนส.ส.ระบบสัดส่วนกลุ่มที่ 1 มาคำนวนใหม่ เนื่องจากกกต.ได้ประกาศรับรองผลการเลือกตั้งไปแล้ว ดังนั้นหากนายยงยุทธ ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ส.ส.ลำดับถัดไปในบัญชีของพรรคพลังประชาชน จะถูกเลื่อนลำดับขึ้นมา
ด้าน นายสมชัย จึงประเสริฐ กกต.ด้านสืบสวนสอบสวน กล่าวว่า มติเสนอความเห็นสั่งเพิกถอนสิทธิ นายยงยุทธ ไปยังศาลฎีกา ของกกต.นั้น เป็นมติ 3 ใน 2 ซึ่งการพิจาณาของกกต. เป็นไปตามข้อมูล จึงขอให้ทุกฝ่ายเคารพความเห็นของกกต.ด้วย
ส่วนนายสุเมธ อุปนิสากร กกต.ด้านการมีส่วนร่วม ยอมรับว่า ตนเองเป็นเสียงส่วนใหญ่ที่เห็นว่า นายงยุทธ กระทำผิด และได้เขียนคำวินิจฉัยส่วนตัวเสร็จแล้ว อยากจะเปิดเผย แต่เกรงว่าจะผิดกฎหมาย เพราะจะต้องมีการส่งสำนวนไปให้ศาลฎีกาพิจารณา
สำหรับที่ กกต.สั่งเลือกตั้งใหม่ น.ส.ละออง นั้นก็เพราะเห็นว่า น.ส.ละออง ไม่ได้รู้เห็นเกี่ยวข้องกับการกระทำของนายยงยุทธ แต่ได้รับประโยชน์และทำให้การเลือกตั้ง ส.ส.เชียงราย ที่ผ่านมาไม่สุจริตเที่ยงธรรม แต่ที่นายอิทธิเดช แก้วหลวง ส.ส.เชียงราย อีกคนหนึ่งไม่ถูกสั่งเลือกตั้งใหม่ไปด้วย เพราะกกต.เห็นว่าไม่เกี่ยวข้อง และเท่าที่จำได้ มติไม่เป็นเอกฉันท์
เมื่อถามว่า 2 เสียงข้างน้อย ดังกล่าวเป็นนางสดศรี สัตยธรรม กับ นายสมชัย จึงประเสริฐ ใช่หรือไม่ นายสุเมธ กล่าวว่า ตามมารยาท ตนไม่อยากพูด แต่ก็เดาถูกแล้วนี่ แล้วจะมาถามทำไม เมื่อถามต่อว่า เกรงหรือไม่ว่าจะมีการมาชุมนุมขับไล่กกต. นายสุเมธ กล่าวว่า ไม่กังวล มาขับไล่ก็ไป
นายประพันธ์ นัยโกวิท กกต. ด้านบริหารการเลือกตั้ง ปฏิเสธที่จะเปิดเผยว่าตนเองลงมติอย่างไร แต่ยืนยันว่า การพิจารณาทั้งหมด กกต. พิจารณาจากพยานหลักฐานที่มี
"สดศรี"เผยงดออกเสียง
นางสดศรี สัตยธรรม กกต. ด้านกิจการพรรคการเมืองกล่าวถึงมติ กกต.ที่ให้ใบแดงแก่นายยงยุทธ ที่มีข่าวว่า เป็นมติ 3 ต่อ 2 นั้นไม่ถูกต้อง ที่จริงเสียงต้องเป็น 3 :1:1 เนื่องจากตนได้งดออกเสียง เพราะเมื่ออ่านสำนวนแล้วพบว่า นายยงยุทธ ขอสอบพยานเพิ่มอีกหนึ่งปาก แต่คณะอนุกรรมการฯกลับไม่ได้สอบพยานปากนี้ รวมทั้งนายยงยุทธ ก็ขอรวมสำนวนการสอบสวนกับที่ทาง พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม ได้ยื่นร้องกรณีปราศรัยใส่ร้าย ซึ่งคดีนี้ก็มีความเกี่ยวข้องกัน และอนุกรรมการสอบสวน ก็กำลังจะสรุปความเห็นในสัปดาห์หน้านี้ จากเหตุเหล่านี้เอง ตนจึงเห็นว่า ควรสอบพยานให้เสร็จสิ้น และการจะลงโทษใครต้องสอบสวนให้สิ้นกระแสความเสียก่อน แล้วค่อยลงมติ แต่ กกต. คนอื่นไม่เอาด้วย และลงมติเลย ซึ่งเรื่องนี้ สำหรับตัวเองถือว่า ยังไม่ลงมติ คนที่ลงมติมี 4 คนเท่านั้น
เมื่อถามถึง กกต. อีกคนที่เห็นควรให้ยกคำร้อง นางสดศรี ตอบในทันทีว่า เป็นนายสมชัย จึงประเสริฐ
นางสดศรี กล่าวด้วยว่า ที่ กกต. คนอื่นให้เหตุผลที่ต้องตัดสินเนื่องจาก กรณีนี้ยาวกว่าเรื่องอื่น และยังเรื่องนี้ได้รับความสนใจ และมีก็ออกข่าวเป็นระยะๆ ซึ่งก็สงสัยว่า ทำไมต้องสำคัญกว่าเรื่องอื่น เพราะนายยงยุทธ ก็เป็น ส.ส. เหมือนคนอื่น
เมื่อถามว่า หากเปิดโอกาสให้นายยงยุทธ ยื่นขอสอบพยานไปเรื่อยๆ เรื่องก็จะไม่ยุติ นางสดศรี กล่าวว่า การพิจารณาจะลงโทษใคร เราต้องให้โอกาสเขา ศาลกว่าจะพิจารณาเสร็จก็เป็นปี การฟังพยานของศาล จะฟังจนสิ้นกระแสความ เราไม่ใช่ฟังแต่กระแสสังคม และต้องยอมรับว่าตอนนี้สังคมมี 2 กระแส หากเราไปฟังกระแสใด ผลที่ออกมา จะกระทบต่อประชาธิปไตย เพราะการเมืองคือการเมือง ไม่มีว่า ความถูกต้องคืออะไร
ส่วนที่ นายยงยุทธ ระบุว่า ขอให้ กกต. ตอบว่าหลังการเลือกตั้ง มี พล.อ. คนหนึ่งไปขอให้ กกต. ลาออกเพื่อให้การเลือกตั้งมีปัญหา และมี พล.อ. อีกคนพยายามเล่าเรื่องให้ กกต. ฟังว่า นายยงยุทธ มีปัญหาจริงหรือไม่ นางสดศรีกล่าวว่า
"เรื่องนี้คนให้คำตอบดีที่สุดคือ นายยงยุทธ สำหรับตัวเองไม่มี แต่กับกกต.คนอื่นไม่ทราบ การทำงานของ กกต.เป็นอิสระในการใช้ดุลพินิจ เราไม่เคยมานั่งถามกันว่า มีใครมาล็อบบี้หรือไม่"
เมื่อถามว่า เหตุผลที่ให้จะเป็นประโยชน์กับนายยงยุทธ ในชั้นศาลฯหรือไม่ นางสดศรี กล่าวว่า ในฐานะที่เป็นกรรมการ หากต้องเป็นการให้การเพื่อประโยชน์ใคร ก็ไม่ควรทำ
รายงานข่าวแจ้งว่าสำหรับ 1 เสียง ที่เห็นว่าให้ยกคำร้อง มองว่า ข้อเท็จจริงที่ได้จากการสืบสวน ยังฟังไม่ได้ว่าการให้เงินแก่กำนันทั้ง 10 คนนั้น เป็นการซื้อเสียงตาม มาตรา 53(1) พ.ร.บ.เลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว. แต่ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น เข้าองค์ประกอบความผิด มาตรา 144 และ 149 ของกฎหมายอาญามากกว่า เนื่องจากฟังได้ว่าเป็นการให้ประโยชน์แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ เพื่อทำประโยชน์ให้ตนเอง ถือเป็นความผิดอาญาแผ่นดิน ซึ่งผิดทั้ง นายยงยุทธ ที่เป็นผู้ให้ และกำนันทั้ง 10 คนที่เป็นผู้รับ โดยกรณีนี้ใครจะไปร้องต่อศาลก็ได้ ไม่ได้จำกัดว่าผู้ร้องต้องเป็นบุคคลใดคนหนึ่งที่ต้องถูกระบุว่า เป็นผู้เสียหาย และการพิพากษา ก็จะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจศาล
เอาเงินไปอาบอบนวดไม่ได้ซื้อเสียง
ส่วนในการสอบสวนที่ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า มีการให้เงินระหว่างคนใกล้ชิดนายยงยุทธ กับกำนันทั้ง 10 คนนั้น แต่จากการสอบปากคำกำนัน ยืนยันเงินดังกล่าวไม่ได้นำไปให้บุคคลอื่น เพื่อที่จะไปจูงใจเพื่อให้ลงคะแนนให้กับนายยงยุทธ หรือ น.ส.ละออง โดยกำนันบางคนบอกว่า นำไปเที่ยวกลางคืน ไปอาบอบนวด จึงถือว่าเข้าลักษณะการจ่ายค่าเลี้ยงดูให้ไปเที่ยว ไม่ใช่นำไปแจกชาวบ้าน ดังนั้นจากการสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริง เฉพาะในสำนวนนี้ จึงยังฟังไม่ได้ว่า เป็นการกระทำผิดในการซื้อเสียง อีกทั้งยังไม่สามารถได้เงินหลักฐานที่อ้างว่าเป็นเงินซื้อเสียงมายืนยันด้วย ประกอบกับเหตุการณ์ดังกล่าว ยังเกิดขึ้นก่อนที่จะมีการสมัครรับเลือกตั้งด้วย
"ยุทธตู้เย็น"ยันจัดฉากใส่ร้าย
ด้าน นายยงยุทธ ติยะไพรัช ประธานสภาฯ ได้เปิดแถลงข่าวที่พรรค หลังทราบมติ กกต. ว่า เหตุที่เกิดขึ้นกับตนนั้น เพราะมีการอ้างกลุ่มกำนันผู้ใหญ่บ้าน จ.เชียงราย 10 คน และรวมทั้งนายกเทศมนตรีมาเยี่ยมตนที่พรรค วันนั้นยังไม่ใช่วันรับสมัครเลือกตั้ง และในวันนั้นตนเลิกประชุมสองทุ่มเศษ พวกนั้นก็รอ ตนจึงเดินไปหา และบอกติดตลกว่า วันนี้ออกใจดำ เลี้ยงข้าวยังไม่ได้ เพราะกฤษฎีกาเลือกตั้งออกมาแล้ว
นายยงยุทธ กล่าวด้วยว่า มีขบวนการถ่ายวีดีโอ ช่วงที่กำนันเดินทางจาก จ.เชียงราย มายัง กทม. ทั้งขาไปและขากลับ ซึ่งต่อมา นายวิจิตร ยอดสุวรรณ ผู้สมัคร ส.ส.เชียงราย พรรคชาติไทย ได้แจ้งกกต.ว่า กำนันกลุ่มนั้นมารับเงินกับตนคนละ 2 หมื่นบาท พร้อมตั๋วเครื่องบิน และหนึ่งในนั้นคือนายชัยวัฒน์ ฉางข้าวคำ คือ นกต่อที่ออกเงินซื้อตั๋วเครื่องบินเอง และหลังจากที่นายวิจิตร แจ้งว่าตนกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง สันติบาลไปเอาเทปที่ทหารถ่ายไว้ก่อนหน้ามาประกอบ และบอกว่าตนทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง แล้วเอาเรื่องเหล่านี้มาเป็นหลักฐาน ในการร้องเรียนตน
นอกจากนี้ ก็มีการปล่อยข่าวว่าตนเป็นคนชั่ว มีอิทธิพล กักขังหน่วงเหนี่ยว ข่มขู่คุกคามพยานคือ นายชัยวัฒน์ นายยงยุทธ กล่าวว่า ตนจะยุติการทำงานหน้าที่ประธานสภาไว้ชั่วคราว จนกว่าศาลจะพิพากษาไปในทางหนึ่งทางใด โดยมอบงานให้ นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ และพ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย รองประธานสภาฯ ปฏิบัติหน้าที่แทน โอกาสนี้ นายยงยุทธ ได้ตั้งคำถาม ไปยังกกต. ด้วยว่า 1. ได้มีพลเอกคนหนึ่งเมื่อเลือกตั้งเสร็จแล้วได้ขอร้องให้กกต. ลาออก เพื่อให้การเลือกตั้งมีปัญหา เพราะการให้ใบเหลืองใบแดง เหล่านั้นมีจริงหรือไม่ สิ่งนี้กกต.รู้อยู่แก่ใจ
2.พลเอกอีกคนหนึ่งไปวิ่งเต้นเล่าเรื่องต่างๆให้กกต.ฟัง เพื่อเล่นงานตน โดยตลอด ตรงนี้จริงหรือไม่ หากไม่มีจริง ตนจะยินดีเพราะตนจะไม่เคารพ กกต.อีกต่อไป เพราะถือว่าสิ่งที่ กกต.พูดนั้นเป็นเรื่องโกหก และเรื่องแบบนี้มันโกหกกันไม่ได้เพราะมันรู้กันหมด ตนจึงเล่าให้ฟังว่า ความไม่โปร่งใส และไม่เที่ยงธรรมในเหตุที่เกิดขึ้นในวันนี้ ใครทำต้องรับผิดชอบ เพราะการกระทำที่ขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 236 และการกระทำที่ขัดต่อบทบัญญัติการเลือกตั้ง ตนก็ต้องต่อสู้จนถึงที่สุด เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่า การกระทำของ กกต.บางคนกระทำการละเมิดต่อกระบวนการที่ไม่ถูกต้องตามกระบวนการทางกฎหมาย และใช้สิ่งเหล่านี้มาเป็นเครื่องมือในการทำให้ตนขาดการได้รับความเป็นธรรม
ทั้งนี้ ตนหวังว่าคงไม่มีใครใช้กระบวนการยุติธรรมของประเทศ โดยเฉพาะทางศาล มาเป็นเครื่องมือทำลายล้างคนและพรรคอีกต่อไป ตนเชื่อว่า สังคมไทยจะน่าอยู่ต่อไปหรือไม่ ก็ต้องพิสูจน์ต่อไป ตนไม่ใช่คนชั่วอย่างที่หลายฝ่าย พยายามตั้งข้อกล่าวหา
ผู้สื่อข่าวถามว่า แสดงว่าขณะนี้ยังไม่คิดลาออกจากตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรใช่หรือไม่ นายยงยุทธ กล่าวว่า ตนยังไม่ลาออก ส่วนประชุมสภาในวันนี้ (27 ก.พ.) ตนคงจะไปร่วมประชุมสภาในฐานะ ส.ส.
"มีชัย"ชี้กระทบการทำงานของสภา
นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กล่าวว่า ตามกฎหมายขณะนี้ถือว่ายังไม่มีผล จนกว่า กกต.จะยื่นคำร้อง และศาลฏีการับเรื่องไว้พิจารณา ตรงนั้นนายยงยุทธ ต้องหยุดปฎิบัติหน้าที่ หากศาลฏีกายกคำร้องนายยงยุทธ ก็สามารถกลับมาปฎิบัติหน้าที่ต่อไป แต่ถ้าศาลฏีกา มีคำสั่งให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ก็ต้องพ้นจากตำแหน่ง ก็ต้องมีการเลือกประธานสภาฯกันใหม่
"ขณะนี้เป็นช่วงเปลี่ยนถ่ายที่วุฒิสภาจะเข้ามา และยังไม่มีประธานวุฒิสภาเข้ามาทำหน้าที่รองประธานรัฐสภา เพราะตามกฎหมายคนที่จะรักษาการในตำแหน่งประธานรัฐสภาได้ ก็คือ ประธานวุฒิสภา ที่เป็นรองประธานรัฐสภาโดยตำแหน่ง ถ้าไม่มี ก็จะเกิดปัญหาในการเรียกประชุมรัฐสภา และการบริหารกิจการรัฐสภา แต่ถ้าเป็นการประชุมสภาผู้แทนราษฎรทั่วไป สามารถให้รองประธานสภาฯ รักษาการแทนได้"
เมื่อถามว่า เรื่องนี้ เป็นบทเรียนให้กับพรรคการเมืองและนักการเมืองที่จะเลือกคนเข้ามาทำหน้าที่ตรงนี้หรือไม่ นายมีชัย กล่าวว่า คงพูดยาก เพราะการคัดเลือกก็เป็นไปตามกลไก แต่อยู่ที่พรรคการเมืองจะตัดสินใจกันอย่างไร
"ต้องมาคิดกันคือ การประกาศสอยที่หลังการรับรองผลการเลือกตั้งไปแล้วมันเหมาะสมหรือไม่ เราควรจะมีกลไกที่จะต้องทำให้เสร็จก่อนการประกาศรับรองผล ซึ่งจะต้องให้เวลาทำ หากสงสัยใครว่ามีปัญหา ก็อาจจะยังไม่ประกาศรับรอง รอทำให้เสร็จก่อน ซึ่งอาจใช้เวลา 5-6 เดือน ซึ่งหากทำอย่างนี้ กกต.ก็จะไม่ถูกกดดันมาก และถ้าทุกอย่างทำเสร็จก่อนเลือกประธานสภาฯ ก็คงจะไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ดังนั้นในวันข้างหน้าหากใครคิดจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็ควรศึกษาแล้วแก้ไขเพื่อให้เกิดความเหมาะสมต่อไป" นายมีชัย กล่าว
ปชป.ระบุโยงถึงยุบพรรคได้
นายถาวร เสนเนียม รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การที่ กกต.มีมติเช่นนั้นเพราะมีหลักฐานชัดเจนว่า นายยงยุทธ มีการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง ใช้เงินจูงใจผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้ช่วยสนับสนุนพรรคพลังประชาชน
"คดีนี้จะต้องสาวไปถึงการยุบพรรคด้วย เพราะขณะนั้นนายยงยุทธ เป็นรองหัวหน้าพรรคอันดับ 1 และมีหลักฐานชัดว่า มีการจ่ายเงินที่พรรคพลังประชาชนชน ดังนั้น หากถึงขั้นยุบพรรคพลังประชาชนจริง จะเกิดปัญหาตามมาอีกมาก เพราะกรรมการบริหารพรรคทั้งหมด จะต้องถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองด้วย ซึ่งรวมถึง นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีบางส่วนด้วย ส่วนส.ส.ของพรรคจะต้องเร่งหาพรรคใหม่สังกัดภายใน 30 วัน
พปช.ส่อลอยแพ"ยุทธตู้เย็น"
นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เลขาธิการพรรพลังประชาชน กล่าวว่า วันนี้ยังเร็วเกินไปที่จะบอกว่านายยงยุทธ จะต้องพักจากการทำหน้าที่ประธานสภาหรือไม่ คงต้องรอถึงขั้นตอนที่ศาลรับเรื่องแล้ว
ส่วนจะมีผลกระทบกับนักลงทุนหรือไม่นั้น คงไม่ส่งผลกระทบ เพราะตนเชื่อว่านักลงทุนชาวต่างประเทศ หรือนักสังเกตการณ์เขาดูว่า ระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทยยังปักหลักมั่นคง และเดินหน้าต่อไปได้ ตรงนั้นน่าจะเป็นหลักมากกว่า เรื่องของตัวบุคคล
"เรื่องตัวบุคคลก็เป็นเรื่องของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้อยู่แล้ว ในหลายๆประเทศ การเมืองประเทศนั้นๆ เปลี่ยนตัวผู้นำประเทศก็มี เปลี่ยนตัวผู้นำสภาก็มี ก็สามารถจะเปลี่ยนได้ ถ้าหากตราบใดที่การเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นการเปลี่ยนแปลงตามระบอบประชาธิปไตย ซึ่งตรงนั้นไม่มีปัญหาใดๆกับความเชื่อมั่น"
สำหรับจะส่งผลต่อการยุบพรรคหรือไม่ นพ.สุรพงษ์ กล่าวว่า แน่นอนว่าอาจจะมีการโยงไปว่า มีผลต่อการยุบพรรค แต่เราได้เคยประกาศแล้วว่า เรามีมาตรการ 45 ข้อ ที่สั่งห้ามทั้ง ผู้บริหาร และผู้สมัครของพรรค ไม่ให้ทำผิดระเบียบกฎหมายของ กกต. ฉะนั้นมีการกำหนดเป็นนโยบายชัดเจน หากใครทำอะไรที่ผิด ซึ่งไม่เจาะจงว่าเป็นผู้ใด ก็ถือว่าจะต้องถือว่าเป็นการละเมิดมาตรการ กติกา
"เพราะพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งไม่ได้ประกอบเพียงหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค หรือกรรมการบริหารพรรคเท่านั้น แต่ยังมีสมาชิกที่ร่วมอุดมการณ์จำนวนมาก เพราะฉะนั้นพรรคเองคงเป็นไปไม่ได้ที่บอกว่า ในบรรดาของผู้ที่เป็นสมาชิกพรรคทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม จะไม่มีใครที่ไปทำอะไรผิดกฎมาย หรือระเบียบเลย ถ้าหากใครทำผิดกฎ หรือระเบียบก็ต้องรับโทษทางกฎหมายนั้นๆ แต่คงไม่สามารถมาเชื่อมโยงว่า นี่เป็นเรื่องที่คนในพรรคเห็นด้วย " นพ.สุรพงษ์ กล่าว
เมื่อถามว่า แสดงว่าเป็นเรื่องของตัวบุคคลใช่หรือไม่ เลขาธิการ พปช. กล่าวว่า "ใช่" รวมทั้งเชื่อว่า ไม่ว่าจะเป็นกรณีไหน คือไม่ได้เจาะจงเฉพาะเรื่องของนายยงยุทธ หรือใครก็ตาม ถ้าหากมีการตรวจสอบแล้วว่า มีการกระทำผิด ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ตัวบุคคลได้ไปกระทำโดยที่พรรคไม่มีส่วนรู้เห็น เพราะพรรคได้กำหนดไว้เป็นกติกาชัดเจน
แผนล็อบบี้ กกต.ไม่บรรลุผล
มีรายงานข่าวจากพรรคพลังประชาชน ว่า ในช่วงเที่ยงวานนี้ คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เรียกแกนนำพรรคพลังประชาชน และอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย เข้าหารือ ที่อาคารชินวัตร 3 เพื่อประเมินสถานการณ์การเมืองหลังจากที่ กกต. มีมติให้ใบแดงนายยงยุทธ ซึ่งมีการมองว่า การล็อบบี้ กกต. มีการพลิกโผ โดยหลุดไปหนึ่งคน จนทำให้กกต.มีมติ 3 ต่อ 2 จนนายยงยุทธ โดนใบแดง แต่คดีนี้ยังต้องใช้เวลาพิจารณา เพราะกกต.ต้องส่งเรื่องให้ศาลฎีกา ตัดสิน
นอกจากนี้ ในที่ประชุมยังมองว่ารัฐบาลควรเร่งทำงานให้มีผลงานมากที่สุด และในช่วง 3 เดือนนี้อาจปรับครม. เพื่อเรียกศรัทธาของรัฐบาลให้มากที่สุด อีกทั้งกรณีของ นายยงยุทธ นั้น อาจทำให้พ.ต.ท.ทักษิณ เลื่อนเวลากลับประเทศออกไปอีกระยะโดยจะอ้างเหตุผลต่อกับสังคมว่า เป็นเพราะพันธมิตรฯ ไม่ต้องการให้กลับ และเพื่อความสมานฉันท์ของสังคม พ.ต.ท.ทักษิณ จึงขอเลื่อนเวลากลับประเทศออกไปก่อน และจะกลับมาในอนาคตอันใกล้นี้