xs
xsm
sm
md
lg

รายงานพิเศษ : วัดใจ“กกต.”จะกล้าให้ ใบแดง “ยงยุทธ”หรือไม่?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


อมรรัตน์ ล้อถิรธร...รายงาน

ในที่สุด “ยงยุทธ ติยะไพรัช”ก็ยื้อเวลาการลุ้นใบแดงคดีทุจริตเชียงรายออกไปได้อีกครั้ง หลัง กกต.ใจดี ยอมให้มีการสอบพยานเพิ่มตามที่นายยงยุทธร้องขอ ทั้งที่กระบวนการสอบสวนของอนุ กก.เสร็จสิ้นแล้วและเสนอผลสอบต่อ กกต.แล้ว อีกทั้งก่อนหน้านี้ก็มีการสอบพยานนายยงยุทธไปเป็นสิบๆ ปากแล้ว จึงไม่น่าเชื่อว่ากระบวนการยื้อเวลายังสามารถทำได้อีก หรือเป็นเพราะข่าวผลสอบของอนุ กก.ที่หลุดออกมาว่ามีมติให้ใบแดงนายยงยุทธ ทำเอาเจ้าตัวหวั่นไหว ทั้งที่ปากยังอ้างว่าเป็นเพียงข่าวโคมลอย ...อีก 6 วัน(26 ก.พ.)เท่านั้น เราจะได้วัดใจกันว่า เมื่อผลสอบของอนุ กก.ทั้ง 2 ชุดเห็นตรงกันว่านายยงยุทธทุจริตซื้อเสียง-สมควรโดนใบแดง กกต.จะกล้าให้ใบแดงทั่น ปธ.(สภาฯ)ที่เคารพหรือไม่?

คลิกที่นี่ เพื่อฟัง รายงานพิเศษ

กรณีทุจริตเลือกตั้งที่เชียงราย เป็นคดีขึ้นมาหลังผู้สมัคร ส.ส.เชียงราย เขต 3 พรรคชาติไทย ดร.วิจิตร ยอดสุวรรณ ร้องคัดค้านต่อ กกต.ไม่ให้ประกาศรับรองผลเลือกตั้งของนายยงยุทธ ติยะไพรัช ว่าที่ ส.ส.สัดส่วน กลุ่ม 1 พรรคพลังประชาชน เนื่องจากมีพฤติกรรมซื้อเสียงเลือกตั้ง กระทั่ง กกต.ได้ให้เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ตรวจสอบเรื่องนี้ แต่สุดท้ายมีข่าวว่าเจ้าหน้าที่ทำไม่ไหว เพราะอิทธิพลในพื้นที่ค่อนข้างรุนแรง ส่งผลให้ กกต.ต้องขอให้ทางตำรวจสันติบาลช่วยมาสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีทุจริตเชียงราย

หลังการสอบสวนของอนุกรรมการที่มาจากตำรวจสันติบาลเสร็จสิ้น ได้สรุปสำนวนว่า นายยงยุทธกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งด้วยการซื้อเสียงผ่านกำนันเชียงราย 10 คน โดยมีพยานหลักฐานเป็นคำให้การของกำนันดังกล่าว พร้อมวีซีดีบันทึกภาพการเดินทางของกำนันทั้ง 10 ที่เดินทางมาพบนายยงยุทธที่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 28 ต.ค.2550

ทั้งนี้ สำนวนสอบที่ตำรวจสันติบาลเสนอให้ กกต.พิจารณา มีการระบุรายละเอียดของสิ่งที่ตรวจสอบได้ ตั้งแต่นายชัยวัฒน์ ฉางข้าวคำ กำนัน ต.จันจว้า อ.แม่จัน จ.เชียงราย ได้รับการติดต่อจาก ด.ต.เทพรัตน์ เขื่อนคุณา ซึ่งเป็นคนสนิทของนายยงยุทธ ให้ประสานกำนันทุกตำบลของ อ.แม่จัน เพื่อเดินทางไปพบนายยงยุทธที่กรุงเทพฯ จากนั้นนายชัยวัฒน์ได้ติดต่อกำนัน 9 คน(รวมตัวเองเป็น 10) แล้วนายชัยวัฒน์ก็เป็นคนไปซื้อตั๋วเครื่องบินที่ หจก.นอร์ทเทิร์น ไทยทราเวล คอนเนคชั่น โดยนายชัยวัฒน์ได้สำรองจ่ายค่าเครื่องบินไปก่อน 38,300 บาท แล้วจะได้เงินคืนจากนายยงยุทธที่กรุงเทพฯ

สำนวนสอบของตำรวจสันติบาล ระบุต่อไปว่า ในวันเดินทางเข้ากรุงเทพฯ(28 ต.ค.) นอกจากกำนันทั้ง 10 คนแล้ว ยังมีนายบรรจง ยงยืน นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลจันจว้า ซึ่งเป็นหัวคะแนนและคนสนิทของนายยงยุทธเดินทางมาพร้อมกันด้วย เมื่อถึงสนามบินสุวรรณภูมิในช่วงบ่าย นายบรรจงได้เช่ารถตู้(ทะเบียน อว-39 กรุงเทพมหานคร)พากำนันทั้งหมดไปยังที่ทำการพรรคพลังประชาชนเพื่อพบนายยงยุทธ แต่ไปรอจนเย็น ก็ยังไม่ได้พบกัน เพราะนายยงยุทธยังทำธุระอยู่ นายบรรจงจึงได้พากำนันทั้งหมดขึ้นรถตู้(ทะเบียน ออ-1660 กรุงเทพมหานคร) ซึ่งเป็นรถของกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ที่นายยงยุทธเคยเป็นรัฐมนตรี) โดยนายบรรจงได้พากำนันทั้ง 10 ไปพักที่โรงแรมเอสซีปาร์ค(โรงแรมที่คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ถือหุ้นใหญ่)

หลังจากนั้นไม่นาน นายยงยุทธก็ได้ไปพบกำนันทั้ง 10 ที่โรงแรมดังกล่าว นอกจากได้ร่วมรับประทานอาหารกันแล้ว นายยงยุทธยังได้ขอร้องให้กำนันช่วยเหลือผู้สมัครพรรคพลังประชาชนในระบบแบ่งเขต คือ น.ส.ละออง ติยะไพรัช น้องสาวของตน และนายอิทธิเดช แก้วหลวง รวมทั้งให้ช่วยลงคะแนนให้พรรคพลังประชาชนในระบบสัดส่วน

แต่ 1 ในกำนัน คือ นายอดิศร เรือนคำ กำนันตำบลศรีค้ำ ในฐานะประธานชมรมกำนันผู้ใหญ่บ้าน อ.แม่จัน บอกว่า จะช่วยสนับสนุนพรรคพลังประชาชนในระบบสัดส่วน แต่ระบบแบ่งเขตกลุ่มกำนันจะช่วยเหลือเฉพาะ น.ส.ละออง ติยะไพรัชเท่านั้น ไม่อยากสนับสนุนนายอิทธิเดช แก้วหลวง เพราะนายอิทธิเดชไม่ใช่คนในพื้นที่ แต่เป็นคน อ.แม่สาย

จากนั้น นายชัยวัฒน์ ฉางข้าวคำ กำนัน ต.จันจว้า ได้สอบถามนายยงยุทธเกี่ยวกับเงินค่ารับเหมาก่อสร้างถนนสายทรายมูล-แท่นทอง ซึ่งนายชูชาติ จันทวลย์ ที่ปรึกษาของนายยงยุทธติดค้างอยู่จำนวน 250,000 บาท ซึ่งนายยงยุทธ ตอบว่า ให้ช่วยเหลือเรื่องการเลือกตั้งของตนและพรรคพลังประชาชนเสร็จสิ้นก่อน แล้วจะให้นายชูชาตินำเงินมาใช้คืนให้ จากนั้นกำนันคนอื่นๆ ก็ได้ทวงถามนายยงยุทธเกี่ยวกับเงินค่ารับเหมาที่นายชูชาติค้างอยู่เช่นกัน ซึ่งนายยงยุทธก็ให้คำตอบเหมือนเดิม คือให้ช่วยเหลือเรื่องเลือกตั้งให้เสร็จก่อน หลังพูดคุยกันประมาณครึ่งชั่วโมง นายยงยุทธก็เดินออกจากห้องไป โดยนายบรรจงเดินตามไปส่ง

ครู่ต่อมา นายบรรจงเดินกลับมา แล้วได้มอบซองบรรจุเงินสดซองละ 20,000 บาทให้แก่นายชัยวัฒน์ พร้อมกับพูดว่า”นายให้เอาเงินมาให้พรรคพวกคนละซอง” นายชัยวัฒน์จึงได้แจกให้แก่กำนันทุกคนๆ ละซอง นอกจากนี้นายบรรจงยังได้มอบเงินสดจำนวน 40,000 บาทให้แก่นายชัยวัฒน์เป็นค่าตั๋วเครื่องบินที่นายชัยวัฒน์ได้สำรองจ่ายไปก่อนด้วย

หลัง กกต.พิจารณาสำนวนสอบดังกล่าวของอนุกรรมการที่มาจากตำรวจสันติบาลแล้ว ได้แจ้งข้อกล่าวหานายยงยุทธว่าทุจริตเลือกตั้ง พร้อมให้โอกาสเจ้าตัวได้ชี้แจง ก่อนพิจารณาว่าจะให้แดงหรือไม่ และถ้าให้ใบแดงแล้ว ความผิดจะต้องถึงขั้นเสนอให้ยุบพรรคพลังประชาชนหรือไม่ เพราะนายยงยุทธมีตำแหน่งเป็นถึงรองหัวหน้าพรรค ซึ่งถือเป็น 1 ในกรรมการบริหารพรรค

ด้านนายยงยุทธ ได้เข้าชี้แจง กกต.(เมื่อ 8 ม.ค.) พร้อมเปิดแถลง โดยอ้างว่าการนำกำนันเชียงรายมาพบตนที่กรุงเทพฯ มีกระบวนการจัดฉากเพื่อโยงไปสู่การยุบพรรคพลังประชาชน เป็นการล่อซื้อตนให้ติดกับดักดังกล่าว อย่างไรก็ตาม นายยงยุทธ ยอมรับว่า ตนได้พบกำนันทั้ง 10 คนดังกล่าวจริง!

จากนั้นนายยงยุทธก็ออกอาการประวิงเวลาการพิจารณาคดีนี้ของ กกต. ด้วยการร้องให้ กกต.ตั้งอนุกรรมการสอบชุดใหม่ โดยอ้างว่า อนุกรรมการชุดแรกของทางตำรวจสันติบาลไม่เป็นกลาง เพราะ พล.ต.ต.ชัยยะ ศิริอัมพันธ์กุล รองผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล(ผบช.ส.) สนิทกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่ง กกต.ก็รับลูก ด้วยการตั้งอนุกรรมการสอบชุดใหม่ มีนายสุวิทย์ ธีรพงษ์ อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเป็นประธาน โดยรับมอบสำนวนสอบและพยานหลักฐานต่างๆ จากอนุกรรมการชุดแรกเมื่อวันที่ 11 ม.ค.

นอกจากร้องให้ตั้งอนุกรรมการสอบชุดใหม่ได้สำเร็จแล้ว นายยงยุทธยังได้ขอดูวีซีดีหลักฐานบันทึกภาพการเดินทางของกำนันเชียงรายทั้ง 10 คนมาพบตนที่กรุงเทพฯ เพื่อดูว่ามีการตัดต่อหรือไม่ โดยนายยงยุทธได้นำบุคคลที่อ้างว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการตัดต่อมาดูวีซีดีดังกล่าวด้วย ซึ่ง กกต.ก็อนุญาต แล้วก็เป็นดังคาด เพราะหลังดูวีซีดีแล้ว นายยงยุทธก็อ้างว่า วีซีดีดังกล่าวมีการตัดต่อ!?!

นอกจากความพยายามดิสเครดิตหลักฐานของตำรวจสันติบาลที่ยืนยันการทุจริตเลือกตั้งที่เชียงรายแล้ว แกนนำพรรคพลังประชาชนหลายคน ยังทำเหมือนต้องการปิดปากผู้เกี่ยวข้องในคดีนี้ เช่น ยื่นหนังสือจี้ให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สั่งย้าย พล.ต.ต.ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล รอง ผบช.ส. ในฐานะอนุกรรมการสอบทุจริตเชียงรายชุดแรกให้กลับต้นสังกัด และให้สั่งย้าย พล.ต.ต.ทรงธรรม อัลภาชน์ ผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.เชียงราย ออกนอกพื้นที่เป็นการด่วนด้วย โดยอ้างว่า มีการข่มขู่พยานในคดีนี้ให้กล่าวหานายยงยุทธ ไม่เท่านั้นยังจี้ให้กองทัพบกสั่งย้ายรองผู้อำนวยการ กอ.รมน.ใน จ.เชียงราย ออกนอกพื้นที่ด้วย โดยอ้างว่า มีพฤติกรรมข่มขู่พยานเช่นกัน

แม้แกนนำพรรคพลังประชาชนจะอ้างว่าพยานฝ่ายนายยงยุทธถูกข่มขู่ แต่สังคมกลับได้เห็นพยานอีกฝ่ายถูกข่มขู่มากกว่า นั่นคือ นายชัยวัฒน์ ฉางข้าวคำ กำนันตำบลจันจว้า ซึ่งเป็นพยานปากเอกที่ยืนยันต่ออนุกรรมการชุดตำรวจสันติบาลว่า นายยงยุทธซื้อเสียงผ่านกำนันจริง ซึ่งไม่เพียงพยานปากเอกจะถูกคุกคามเท่านั้น แต่ปรากฏว่า อยู่ๆ ดร.วิจิตร ยอดสุวรรณ อดีตผู้สมัคร ส.ส.เชียงราย พรรคชาติไทย ซึ่งเป็นผู้ร้องต่อ กกต.ว่านายยงยุทธทุจริตซื้อเสียง ก็ออกมาถอนคำร้องของตน ซึ่งมีข่าว 2 กระแสถึงสาเหตุที่ ดร.วิจิตรต้องถอนคำร้องดังกล่าว 1.เพราะ ดร.วิจิตรและครอบครัวถูกข่มขู่คุกคามอย่างหนักจากผู้ที่ไม่ต้องการให้นายยงยุทธโดนใบแดง หรือ 2.เพราะพรรคชาติไทยต้องการเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชน ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคจึงควรถอนคำร้องดังกล่าวเสีย แต่โชคดีที่การถอนคำร้องดังกล่าว ไม่ส่งผลให้คดีทุจริตเชียงรายต้องเป็นมวยล้ม เพราะคดีเดินมาไกลเกินกว่าจะหยุดได้แล้ว เนื่องจาก กกต.รับเรื่องร้องคัดค้านนายยงยุทธ กระทั่งตั้งอนุกรรมการสอบ จนรู้ผลสอบของอนุฯ ชุดแรกแล้ว และอนุฯ ชุด 2 กำลังสอบเพิ่มเติม

ล่าสุด(เมื่อ 14 ก.พ.) มีรายงานว่า อนุกรรมการสอบกรณีทุจริตเชียงรายที่มีนายสุวิทย์ ธีรพงษ์ เป็นประธาน ได้สรุปผลสอบเสนอ กกต.เพื่อพิจารณาแล้ว โดยสรุปว่านายยงยุทธกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งจริง พร้อมเสนอ กกต.เพื่อให้ใบแดงนายยงยุทธ เนื่องจากกำนันซึ่งเป็นพยานในคดีนี้ส่วนใหญ่ยืนยันว่าได้รับเงินจากนายยงยุทธคนละ 20,000 บาทจริง

ด้านนายสุวิทย์ ธีรพงษ์ แม้จะไม่ยอมให้สัมภาษณ์ว่าอนุกรรมการได้มีมติเสนอ กกต.ให้ใบแดงนายยงยุทธจริงหรือไม่ แต่ท่วงทำนองคำพูดที่ออกมาก็ทำให้ผู้สื่อข่าวคาดเดาได้ว่าน่าจะไปในแนวเดียวกับข่าวที่หลุดออกมา โดยบอกว่า กำนันส่วนใหญ่ให้การเหมือนกับที่เคยให้การกับอนุกรรมการสอบชุดแรก(ที่ยืนยันว่า ได้เดินทางมาพบนายยงยุทธที่กรุงเทพฯ และได้รับเงินคนละ 20,000 บาท) พร้อมยืนยันว่า อนุกรรมการได้สอบสวนกรณีทุจริตเชียงรายโดยไม่ได้คำนึงว่า ผลข้างหน้าจะเป็นอย่างไร เพราะทำไปตามข้อเท็จจริง พยานหลักฐาน และถ้อยคำของกฎหมาย

ขณะที่นายยงยุทธ ติยะไพรัช ที่วันนี้ไม่ได้เป็นแค่ ส.ส.สัดส่วนของพรรคพลังประชาชน แต่เป็นถึงประธานสภาฯ ปรากฏว่า ทันทีที่มีข่าวว่าอนุฯ กกต.มีมติให้ใบแดงตน ก็รีบออกแถลงการณ์ตอบโต้ โดยยกคำเดิมมาอ้างว่า เรื่องนี้มีการจัดฉากตั้งแต่ต้นเพื่อกล่าวหาตนและล้มล้างพรรคพลังประชาชน พร้อมเชื่อว่า ข่าวที่ออกมาเป็นเพียงข่าวโคมลอย เพราะเป็นรายงานข่าวที่ไม่มีบุคคลอ้างอิง

ด้านนายสมัคร สุนทรเวช นายกฯ และหัวหน้าพรรคประชาชน ก็รีบออกมาช่วยนายยงยุทธ ด้วยการอ้างคำเดิมๆ ว่า เป็นฝีมือของ“มือที่มองไม่เห็น”ที่ยังคงไม่เลิกรังควานพรรคพลังประชาชน

“ผมบอกจริงๆ ว่า เป็นหน้าที่ของผมจะต้องดูแล ไอ้พวกเล่นไม่จบน่ะ ยังมีนะ หัวหน้าหน่วยงานส่งคนออกไป จะไปตามไปขู่ไปเข็ญ ยังทำอยู่ มือที่มองไม่เห็นยังดำเนินการอยู่ แต่ต่อไปนี้เป็นหน้าที่ของผมเอง ไม่เลิกๆ มีรัฐบาลแล้วจนถึงวันนี้ยังไม่เลิก ไม่เลิกเรื่องไหน เรื่องรังควานเรื่องการเลือกตั้ง ยังดำเนินการอยู่ เอาละใครเป็นหัวโจกดำเนินการ คุณก็ระมัดระวังตัวไว้ให้ดีก็แล้วกัน ต่อไปนี้ถึงต้องใช้มาตรการว่าคุณทำทำไม คุณต้องการจะทำลายล้างพรรคการเมืองนี้ ใครสั่ง จะต้องได้ตัวแน่นอน ไม่มีปัญหาล่ะครับต่อไปนี้ ที่พูดจาไม่ได้ทำอะไรให้ขุ่นมัว แต่ถ้าไม่พูดให้รู้เสียอย่างนี้ ไม่เลิก ยังไม่เลิก ยังเอากันอยู่ ยังพยายามอยู่ ยังสั่งกันอยู่ ผมไม่อยากจะพูดแล้วไอ้มือที่มองไม่เห็นเนี่ย แต่ต้องพูดให้รู้ซะ เพราะยังดำเนินการอยู่ คนในต่างจังหวัดยังรายงานเข้ามาอยู่ว่าความสกปรกยังแผ่ไปข่มขู่อยู่ ไม่น่าเชื่อ ทั้งๆ ที่มีรัฐบาลแล้วนะ”

แม้นายสมัครจะอ้าง “มือที่มองไม่เห็น”มาเป็นเครื่องมือสร้างภาพว่าพรรคพลังประชาชนถูกรังแก แต่นายสมัครก็ไม่ยอมเปิดเผยเสียทีว่า ใครคือมือที่มองไม่เห็น ทั้งที่หลายฝ่ายพยายามจี้ให้หัวหน้าพรรคพลังประชาชนพูดให้ชัด ไม่ใช่สักแต่พูด!

ด้านประธาน กกต.นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ยืนยัน ไม่มีมือที่มองไม่เห็นมาแทรกแซงการทำงานของ กกต. พร้อมยืนยัน กกต.ไม่อยู่ภายใต้การบังคับหรืออิทธิพลจากใครหรือฝ่ายใดทั้งสิ้น

ทั้งนี้ แม้ กกต.จะได้ประชุมพิจารณาผลสอบกรณีทุจริตเชียงรายของอนุกรรมการชุดนายสุวิทย์ ธีรพงษ์ เมื่อวานนี้(19 ก.พ.) แต่ปรากฏว่า กกต.ยังไม่สามารถลงมติได้ว่าจะให้ใบแดงนายยงยุทธหรือไม่ แถม กกต.ก็ไม่ยอมเปิดเผยว่าผลสอบของอนุกรรมการสรุปว่าอย่างไร สรุปว่าให้ใบแดงเหมือนกับที่เป็นข่าวก่อนหน้านี้หรือไม่ โดย กกต.อ้างว่า เป็นความลับทางราชการ ซึ่งที่ประชุมได้ให้ กกต.แต่ละคนนำสำนวนสอบที่อ้างว่ามีจำนวนมากกลับไปศึกษาก่อน โดยให้เวลา 7 วัน แล้วค่อยมาประชุมร่วมกันอีกครั้งวันที่ 26 ก.พ.

ไม่แค่นั้น กกต.ยังอนุญาตตามที่นายยงยุทธขอให้สอบพยานฝ่ายตนเพิ่มอีก 1 ปาก เป็นตำรวจยศ พ.ต.อ. โดย กกต.ให้เหตุผลที่อนุญาตให้มีการสอบพยานเพิ่ม ทั้งที่อนุกรรมการชุด 2 สรุปผลสอบออกมาแล้วว่า เป็นเพราะ กกต.ต้องใช้เวลาศึกษาสำนวนผลสอบของอนุกรรมการอีก 7 วันอยู่แล้ว ระหว่างนี้จึงให้อนุกรรมการสอบพยานเพิ่มตามที่นายยงยุทธร้องขอ แล้วให้นำผลสอบมาเสนอที่ประชุม กกต.วันที่ 26 ก.พ.นี้(น่าสงสัยว่า วันที่ 26 ก.พ. กกต.จะขอเวลากลับไปศึกษาผลสอบพยานนายยงยุทธยศ พ.ต.อ.ดังกล่าวอีกหรือไม่ และนายยงยุทธจะขอให้สอบพยานเพิ่มเติมอีกหรือไม่)

ลองไปดูปฏิกิริยาของฝ่ายต่างๆ กันบ้างว่าจะมองผลสอบของอนุกรรมการฯ กรณีทุจริตเชียงรายและพฤติกรรมของนายยงยุทธที่ยืนยันว่าเรื่องนี้มีการจัดฉากกล่าวหาตน อย่างไร?

นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชั่น มองคำอ้างดังกล่าวของนายยงยุทธว่า เป็นแค่คำแก้ตัวเพื่อปกปิดหรือกลบเกลื่อนความผิด เพราะถ้าเป็นคนที่บริสุทธิ์ คงไม่ร้องแรกแหกกระเชออย่างนี้ และว่า คดีนี้ในทางกฎหมายถือว่านายยงยุทธยอมรับผิดแล้ว ตั้งแต่ที่นายยงยุทธบอกว่าตนถูกล่อซื้อ และยอมรับว่าได้พบกำนันทั้ง 10 คนจริง

ทั้งนี้ นายวีระยังแสดงความประหลาดใจ(ระหว่างให้สัมภาษณ์วิทยุผู้จัดการเมื่อ 18 ก.พ.ก่อนที่ กกต.จะประชุมวันที่ 19 ก.พ.)ด้วยว่า ทำไมมีข่าวออกมา(เมื่อวันที่ 14 ก.พ.)ว่าอนุกรรมการฯ ชุดนายสุวิทย์เพิ่งสรุปผลสอบว่ามีมติให้ใบแดงนายยงยุทธ ทั้งที่ตนทราบมาว่า อนุกรรมการสรุปผลสอบและยื่นให้ กกต.ไปแล้ว และ กกต.ก็ได้ประชุมมีมติให้ใบแดงนายยงยุทธแล้วด้วยซ้ำไป แต่ทำไมกลับมีข่าวออกมาจาก กกต.ในวันที่ 18 ก.พ.ว่า อนุกรรมการจะส่งผลสอบให้ กกต.ในวันดังกล่าว และ กกต.จะประชุมพิจารณาเรื่องนี้ในวันที่ 19 ก.พ. ส่วนตัวแล้ว จึงแปลกใจมากว่า ทำไมเรื่องนี้เหมือนถูกดึงกลับมา ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นใน กกต.หรือไม่?

“เท่าที่ผมทราบเนี่ย มัน(ผลสอบของอนุกรรมการฯ)เข้า กกต.ใหญ่(ตั้งแต่ก่อนหน้าผลสอบของอนุกรรมการจะรั่วออกมา)แล้วด้วย แล้ว กกต.เสียงส่วนใหญ่ก็มีมติให้ใบแดง(นายยงยุทธ)แล้วด้วย แล้วตอนหลังมา ผมก็แปลกใจอยู่เหมือนกันว่า เอ๊ะ! แล้วทำไมข่าวกลับพยายามจะดึงบอกว่าอนุฯ ยังไม่ส่ง(ผลสอบให้ กกต.) อะไรอย่างนี้ ผมก็ยังแปลกใจอยู่เหมือนกันว่า มันมีอะไรเกิดขึ้นใน กกต.”

นายวีระ ยังชี้ด้วยว่า กรณีที่อนุกรรมการสอบทุจริตเชียงรายทั้ง 2 ชุดมีมติเหมือนกันว่านายยงยุทธกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง สมควรได้ใบแดง แต่หาก กกต.ไม่เห็นตามอนุฯ ทั้ง 2 ชุด แล้วบอกว่านายยงยุทธไม่ผิด กกต.ก็ต้องตอบสังคมให้ได้และมีเหตุผลหักล้างที่ชัดเจน ซึ่งหาก กกต.สวนมติอนุฯ กรรมการ ตนก็จะเปิดหลักฐานในคดีนี้ให้สาธารณชนดูเพื่อให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินว่านายยงยุทธทุจริตซื้อเสียงหรือไม่

“ถ้าคุณ(กกต.)ไม่เห็นชอบตามมติของอนุฯ ซึ่งคุณตั้งเองกับมือ แล้วคุณให้อำนาจเขาเต็มที่เลย คุณให้เวลาเขาเต็มที่ เสร็จแล้วพอเขาสรุปออกมา คุณกลับบอกว่า คุณไม่เห็นด้วย คุณจะไม่เห็นด้วยก็ได้ แต่คุณก็ต้องตอบให้ชัดว่าไม่เห็นด้วยกับประเด็นใด ไม่ใช่บอกว่า บอกไม่ได้ อย่างนี้มันค้างคาใจคนในสังคม ประเด็นมีอยู่แค่นี้เอง (ถาม-เชื่อมั้ยว่า กกต.จะกล้าให้ใบแดงคุณยงยุทธ?) ผมก็ยังเชื่ออยู่นะ เพราะจากพยานหลักฐานเนี่ย มันชัดเจน และผมเคยประกาศไว้ไงว่า ถ้า กกต.บอกว่ายงยุทธไม่ผิด มีมติว่ายงยุทธไม่ผิด ผมก็จะเอาหลักฐานที่ผมมีเหมือนกับ กกต.น่ะ ที่มีคนส่งให้ผมแล้ว ผมจะเอามาเปิดเผยให้สาธารณชนได้รับทราบ และให้ประชาชนตัดสินเอาเองว่า หลักฐานชัดขนาดนี้ แล้วจะบอกไม่ผิดได้อย่างไร ทั้งๆ ที่อนุฯ ก็บอกว่าผิด อนุฯ 2 ชุดบอกว่าผิด แต่ถ้า กกต.ใหญ่ 5 คนบอก ไม่ผิด ประชาชนก็ตัดสินเอาละกัน ผมเปิดแน่(หลักฐาน)”

ด้าน นายวรินทร์ เทียมจรัส 1 ใน 74 ส.ว.สรรหาและอดีต กกต.กทม.มองว่า การที่ กกต.ตั้งอนุกรรมการสอบกรณีทุจริตเชียงราย แสดงว่าเรื่องนี้มีมูล และถ้ายิ่งอนุกรรมการสอบทั้ง 2 ชุดมีมติเหมือนกันว่าควรให้ใบแดงนายยงยุทธ กกต.ก็ควรเชื่อผลสอบของอนุฯ ถ้า กกต.มีมติสวนทางกับอนุฯ ก็ต้องดูว่ามีมติโดยสุจริตหรือไม่ ถ้าไม่สุจริต ก็ถูกฟ้องอาญาได้

“ผมเชื่อว่า(คดีทุจริตเชียงราย)น่าจะมีมูลความผิด กกต.ถึงได้ตั้งกรรมการสอบสวนขึ้นมา แล้วเมื่อคณะกรรมการสอบสวนเขามีความเห็น(อย่างไร) ก็โอเคต้องเชื่อตามนั้น เพราะเขาเป็นเจ้าหน้าที่ที่ทำเรื่องนี้ (ถาม-ถ้าอนุฯ ทั้ง 2 ชุดเห็นว่าควรให้ใบแดงคุณยงยุทธ กกต.ยังมีความชอบธรรมมั้ยที่จะบอกว่า ไม่?) ถ้า กกต.เขาใช้อำนาจอย่างนั้น ก็เป็นเรื่องการใช้อำนาจในทางปกครอง ทางแก้ก็คือ ถ้าฟังว่าเขา(กกต.)ทำโดยสุจริต เขาก็ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย แต่ถ้าเขาทำโดยไม่สุจริต เขาก็จะถูกฟ้องได้เหมือนกัน ฟ้องศาลอาญานะ สมมติว่ากรรมการสอบแล้ว มีความเห็นว่า(นายยงยุทธ)ผิด แต่ กกต.บอกว่าไม่ผิด อนุกรรมการหรือผู้มีส่วนได้เสียทั้งหมดอาจจะไปฟ้องศาลก็ได้ เพราะ กกต.ได้รับการคุ้มครองเมื่อกระทำโดยสุจริตและเที่ยงธรรมเท่านั้น “เท่านั้นนะ”ตาม พ.ร.บ.การเลือกตั้ง”

นายวรินทร์ ยังอ่านเกมกรณีที่พรรคพลังประชาชนวางนายยงยุทธให้เป็นประธานสภา ทั้งที่รู้ว่าอาจมีปัญหาจากกรณีทุจริตเชียงรายว่า มีการวางหมากตั้งแต่ต้นแล้วว่า ต้องให้คนที่ไว้ใจได้และคุมเกมได้อย่างนายยงยุทธมาเป็นประธานสภา เพื่อทำหน้าที่ตั้งนายกฯ ตั้ง ครม. และตั้งประธานกรรมาธิการชุดต่างๆ เมื่อแล้วเสร็จ คนตั้งก็จะออกไปตามวิถี พูดง่ายๆ ก็คือ“ยอมตาย”นั่นเอง อย่างไรก็ตาม นายวรินทร์ ชี้ว่า เมื่อภารกิจนายยงยุทธเสร็จสิ้นแล้ว ต่อให้นายยงยุทธต้องพ้นจากตำแหน่งเพราะกรณีทุจริตซื้อเสียง ก็ไม่เป็นปัญหาต่อรัฐบาล เพราะอำนาจรัฐทั้งหมดอยู่ในมือของคนที่ถูกนายยงยุทธตั้งขึ้นมาแล้ว

ซึ่งนายวรินทร์ ย้ำว่า ในระบอบประชาธิปไตยถือว่า นี่คือสิ่งที่น่ากลัว เพราะเป็นการใช้เสียงข้างมากและใช้กลไกของความฉลาดเข้าไปยึดอำนาจรัฐทั้งหมด และปัญหาตอนนี้ก็คือ คนที่คิดว่าทำภารกิจเสร็จแล้วจะยอมตาย กลับไม่อยากตายแล้ว เพราะอำนาจเป็นสิ่งที่หอมหวาน เปรียบเหมือน “เด็กเคยกินท็อฟฟี่ มันหวาน ก็อยากกินต่อ ไม่อยากจะคายแล้ว” ฉันใดก็ฉันนั้น!!









กำลังโหลดความคิดเห็น