xs
xsm
sm
md
lg

รายงานพิเศษ : ย้อนรอย “ยงยุทธ” ทุจริตเชียงราย!!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


อมรรัตน์ ล้อถิรธร...รายงาน

หลังใช้เวลาเกือบ 2 เดือน ในที่สุด 5 เสือ กกต.ก็ได้ฤกษ์ชี้ขาดคดี “ยงยุทธทุจริตเชียงราย” แล้ว และผลก็เป็นดังที่สังคมคาด เพราะจากสำนวนพยานหลักฐานต่างๆ ในคดีนี้ที่ปรากฏทางสื่อมวลชน คงไม่มีใครคิดว่า ทั่นยงยุทธ เจ้าของฉายาฉาว “ยุทธตู้เย็น” จะได้ใบขาวหรือใบเหลืองเป็นแน่ ...ลองมาย้อนรอยสำนวนพยานหลักฐานและท่าทีของผู้เกี่ยวข้องในคดีนี้กันอีกครั้ง


คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายงานพิเศษ

กรณีทุจริตเลือกตั้งที่เชียงราย เป็นคดีขึ้นมาหลังผู้สมัคร ส.ส.เชียงราย เขต 3 พรรคชาติไทย ดร.วิจิตร ยอดสุวรรณ ร้องคัดค้านต่อ กกต.ไม่ให้ประกาศรับรองผลเลือกตั้งของ นายยงยุทธ ติยะไพรัช ว่าที่ ส.ส.สัดส่วน กลุ่ม 1 พรรคพลังประชาชน เนื่องจากมีพฤติกรรมซื้อเสียงเลือกตั้ง กระทั่ง กกต.ได้ให้เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ตรวจสอบเรื่องนี้ แต่สุดท้ายมีข่าวว่าเจ้าหน้าที่ทำไม่ไหว เพราะอิทธิพลในพื้นที่ค่อนข้างรุนแรง ส่งผลให้ กกต.ต้องขอให้ทางตำรวจสันติบาลช่วยมาสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีทุจริตเชียงราย

หลังการสอบสวนของอนุกรรมการที่มาจากตำรวจสันติบาลเสร็จสิ้น ได้สรุปสำนวนว่า นายยงยุทธ กระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งด้วยการซื้อเสียงผ่านกำนันเชียงราย 10 คน โดยมีพยานหลักฐานเป็นคำให้การของกำนันดังกล่าว พร้อมวีซีดีบันทึกภาพการเดินทางของกำนันทั้ง 10 ที่เดินทางมาพบ นายยงยุทธ ที่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 28 ต.ค.2550

ทั้งนี้ สำนวนสอบที่ตำรวจสันติบาลเสนอให้ กกต.พิจารณา มีการระบุรายละเอียดของสิ่งที่ตรวจสอบได้ ตั้งแต่ นายชัยวัฒน์ ฉางข้าวคำ กำนัน ต.จันจว้า อ.แม่จัน จ.เชียงราย ได้รับการติดต่อจาก ด.ต.เทพรัตน์ เขื่อนคุณา ซึ่งเป็นคนสนิทของ นายยงยุทธ ให้ประสานกำนันทุกตำบลของ อ.แม่จัน เพื่อเดินทางไปพบนายยงยุทธที่กรุงเทพฯ จากนั้น นายชัยวัฒน์ ได้ติดต่อกำนัน 9 คน (รวมตัวเองเป็น 10) แล้วนายชัยวัฒน์ ก็เป็นคนไปซื้อตั๋วเครื่องบินที่ หจก.นอร์ทเทิร์น ไทยทราเวล คอนเนคชั่น โดยนายชัยวัฒน์ได้สำรองจ่ายค่าเครื่องบินไปก่อน 38,300 บาท แล้วจะได้เงินคืนจากนายยงยุทธที่กรุงเทพฯ

สำนวนสอบของตำรวจสันติบาล ระบุต่อไปว่า ในวันเดินทางเข้ากรุงเทพฯ (28 ต.ค.) นอกจากกำนันทั้ง 10 คนแล้ว ยังมี นายบรรจง ยงยืน นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลจันจว้า ซึ่งเป็นหัวคะแนนและคนสนิทของนายยงยุทธเดินทางมาพร้อมกันด้วย เมื่อถึงสนามบินสุวรรณภูมิ ในช่วงบ่าย นายบรรจง ได้เช่ารถตู้ (ทะเบียน อว-39 กรุงเทพมหานคร) พากำนันทั้งหมดไปยังที่ทำการพรรคพลังประชาชน เพื่อพบ นายยงยุทธ แต่ไปรอจนเย็น ก็ยังไม่ได้พบกัน เพราะ นายยงยุทธ ยังทำธุระอยู่ นายบรรจง จึงได้พากำนันทั้งหมดขึ้นรถตู้ (ทะเบียน ออ-1660 กรุงเทพมหานคร) ซึ่งเป็นรถของกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ที่นายยงยุทธเคยเป็นรัฐมนตรี) โดย นายบรรจง ได้พากำนันทั้ง 10 ไปพักที่โรงแรมเอสซีปาร์ค (โรงแรมที่คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ถือหุ้นใหญ่)

หลังจากนั้นไม่นาน นายยงยุทธ ก็ได้ไปพบกำนันทั้ง 10 ที่โรงแรมดังกล่าว นอกจากได้ร่วมรับประทานอาหารกันแล้ว นายยงยุทธ ยังได้ขอร้องให้กำนันช่วยเหลือผู้สมัครพรรคพลังประชาชนในระบบแบ่งเขต คือ น.ส.ละออง ติยะไพรัช น้องสาวของตน และ นายอิทธิเดช แก้วหลวง รวมทั้งให้ช่วยลงคะแนนให้พรรคพลังประชาชนในระบบสัดส่วน

แต่ 1 ในกำนัน คือ นายอดิศร เรือนคำ กำนันตำบลศรีค้ำ ในฐานะประธานชมรมกำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน อ.แม่จัน บอกว่า จะช่วยสนับสนุนพรรคพลังประชาชนในระบบสัดส่วน แต่ระบบแบ่งเขตกลุ่มกำนันจะช่วยเหลือเฉพาะ น.ส.ละออง ติยะไพรัช เท่านั้น ไม่อยากสนับสนุน นายอิทธิเดช แก้วหลวง เพราะ นายอิทธิเดช ไม่ใช่คนในพื้นที่ แต่เป็นคน อ.แม่สาย

จากนั้น นายชัยวัฒน์ ฉางข้าวคำ กำนัน ต.จันจว้า ได้สอบถามนายยงยุทธเกี่ยวกับเงินค่ารับเหมาก่อสร้างถนนสายทรายมูล-แท่นทอง ซึ่ง นายชูชาติ จันทวลย์ ที่ปรึกษาของนายยงยุทธติดค้างอยู่จำนวน 250,000 บาท ซึ่ง นายยงยุทธ ตอบว่า ให้ช่วยเหลือเรื่องการเลือกตั้งของตนและพรรคพลังประชาชนเสร็จสิ้นก่อน แล้วจะให้ นายชูชาติ นำเงินมาใช้คืนให้ จากนั้นกำนันคนอื่นๆ ก็ได้ทวงถาม นายยงยุทธ เกี่ยวกับเงินค่ารับเหมาที่นายชูชาติค้างอยู่เช่นกัน ซึ่งนายยงยุทธก็ให้คำตอบเหมือนเดิม คือให้ช่วยเหลือเรื่องเลือกตั้งให้เสร็จก่อน หลังพูดคุยกันประมาณครึ่งชั่วโมง นายยงยุทธก็เดินออกจากห้องไป โดยนายบรรจงเดินตามไปส่ง

ครู่ต่อมา นายบรรจง เดินกลับมา แล้วได้มอบซองบรรจุเงินสดซองละ 20,000 บาท ให้แก่นายชัยวัฒน์ พร้อมกับพูดว่า “นายให้เอาเงินมาให้พรรคพวกคนละซอง” นายชัยวัฒน์ จึงได้แจกให้แก่กำนันทุกคนๆ ละซอง นอกจากนี้ นายบรรจง ยังได้มอบเงินสดจำนวน 40,000 บาทให้แก่นายชัยวัฒน์เป็นค่าตั๋วเครื่องบินที่นายชัยวัฒน์ได้สำรองจ่ายไปก่อนด้วย

หลัง กกต.พิจารณาสำนวนสอบดังกล่าวของอนุกรรมการที่มาจากตำรวจสันติบาลแล้ว ได้แจ้งข้อกล่าวหา นายยงยุทธ ว่า ทุจริตเลือกตั้ง พร้อมให้โอกาสเจ้าตัวได้ชี้แจง ก่อนพิจารณาว่าจะให้แดงหรือไม่ และถ้าให้ใบแดงแล้ว ความผิดจะต้องถึงขั้นเสนอให้ยุบพรรคพลังประชาชนหรือไม่ เพราะนายยงยุทธมีตำแหน่งเป็นถึงรองหัวหน้าพรรค ซึ่งถือเป็น 1 ในกรรมการบริหารพรรค

ด้าน นายยงยุทธ ได้เข้าชี้แจง กกต.(เมื่อ 8 ม.ค.) พร้อมเปิดแถลง โดยอ้างว่าการนำกำนันเชียงรายมาพบตนที่กรุงเทพฯ มีกระบวนการจัดฉากเพื่อโยงไปสู่การยุบพรรคพลังประชาชน เป็นการล่อซื้อตนให้ติดกับดักดังกล่าว อย่างไรก็ตาม นายยงยุทธ ยอมรับว่า ตนได้พบกำนันทั้ง 10 คนดังกล่าวจริง!

จากนั้น นายยงยุทธ ก็ออกอาการประวิงเวลาการพิจารณาคดีนี้ของ กกต.ด้วยการร้องให้ กกต.ตั้งอนุกรรมการสอบชุดใหม่ โดยอ้างว่า อนุกรรมการชุดแรกของทางตำรวจสันติบาลไม่เป็นกลาง เพราะ พล.ต.ต.ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล รองผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล (ผบช.ส.) สนิทกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่ง กกต.ก็รับลูก ด้วยการตั้งอนุกรรมการสอบชุดใหม่ มี นายสุวิทย์ ธีรพงษ์ อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเป็นประธาน โดยรับมอบสำนวนสอบและพยานหลักฐานต่างๆ จากอนุกรรมการชุดแรกเมื่อวันที่ 11 ม.ค.

นอกจากร้องให้ตั้งอนุกรรมการสอบชุดใหม่ได้สำเร็จแล้ว นายยงยุทธ ยังได้ขอดูวีซีดีหลักฐานบันทึกภาพการเดินทางของกำนันเชียงรายทั้ง 10 คน มาพบตนที่กรุงเทพฯ เพื่อดูว่ามีการตัดต่อหรือไม่ โดย นายยงยุทธ ได้นำบุคคลที่อ้างว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการตัดต่อมาดูวีซีดีดังกล่าวด้วย ซึ่ง กกต.ก็อนุญาต แล้วก็เป็นดังคาด เพราะหลังดูวีซีดีแล้ว นายยงยุทธ ก็อ้างว่า วีซีดีดังกล่าวมีการตัดต่อ!?!

นอกจากความพยายามดิสเครดิตหลักฐานของตำรวจสันติบาลที่ยืนยันการทุจริตเลือกตั้งที่เชียงรายแล้ว แกนนำพรรคพลังประชาชนหลายคน ยังทำเหมือนต้องการปิดปากผู้เกี่ยวข้องในคดีนี้ เช่น ยื่นหนังสือจี้ให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สั่งย้าย พล.ต.ต.ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล รอง ผบช.ส.ในฐานะอนุกรรมการสอบทุจริตเชียงรายชุดแรกให้กลับต้นสังกัด และให้สั่งย้าย พล.ต.ต.ทรงธรรม อัลภาชน์ ผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.เชียงราย ออกนอกพื้นที่เป็นการด่วนด้วย โดยอ้างว่า มีการข่มขู่พยานในคดีนี้ให้กล่าวหานายยงยุทธ ไม่เท่านั้นยังจี้ให้กองทัพบกสั่งย้ายรองผู้อำนวยการ กอ.รมน.ใน จ.เชียงราย ออกนอกพื้นที่ด้วย โดยอ้างว่า มีพฤติกรรมข่มขู่พยานเช่นกัน

แม้แกนนำพรรคพลังประชาชนจะอ้างว่าพยานฝ่ายนายยงยุทธถูกข่มขู่ แต่สังคมกลับได้เห็นพยานอีกฝ่ายถูกข่มขู่มากกว่า นั่นคือ นายชัยวัฒน์ ฉางข้าวคำ กำนันตำบลจันจว้า ซึ่งเป็นพยานปากเอกที่ยืนยันต่ออนุกรรมการชุดตำรวจสันติบาลว่า นายยงยุทธ ซื้อเสียงผ่านกำนันจริง ซึ่งไม่เพียงพยานปากเอกจะถูกคุกคามเท่านั้น แต่ปรากฏว่า อยู่ๆ ดร.วิจิตร ยอดสุวรรณ อดีตผู้สมัคร ส.ส.เชียงราย พรรคชาติไทย ซึ่งเป็นผู้ร้องต่อ กกต.ว่า นายยงยุทธทุจริตซื้อเสียง ก็ออกมาถอนคำร้องของตน ซึ่งมีข่าว 2 กระแสถึงสาเหตุที่ ดร.วิจิตร ต้องถอนคำร้องดังกล่าว 1.เพราะ ดร.วิจิตร และครอบครัวถูกข่มขู่คุกคามอย่างหนักจากผู้ที่ไม่ต้องการให้นายยงยุทธโดนใบแดง หรือ 2.เพราะพรรคชาติไทยต้องการเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชน ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคจึงควรถอนคำร้องดังกล่าวเสีย แต่โชคดีที่การถอนคำร้องดังกล่าว ไม่ส่งผลให้คดีทุจริตเชียงรายต้องเป็นมวยล้ม เพราะคดีเดินมาไกลเกินกว่าจะหยุดได้แล้ว เนื่องจาก กกต.รับเรื่องร้องคัดค้านนายยงยุทธ กระทั่งตั้งอนุกรรมการสอบ จนรู้ผลสอบของอนุฯ ชุดแรกแล้ว และอนุฯ ชุด 2 กำลังสอบเพิ่มเติม

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 14 ก.พ.มีรายงานว่า อนุกรรมการสอบกรณีทุจริตเชียงรายที่มีนายสุวิทย์ ธีรพงษ์ เป็นประธาน ได้สรุปผลสอบเสนอ กกต.เพื่อพิจารณาแล้ว โดยสรุปว่านายยงยุทธกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งจริง พร้อมเสนอ กกต.เพื่อให้ใบแดงนายยงยุทธ เนื่องจากกำนันซึ่งเป็นพยานในคดีนี้ส่วนใหญ่ยืนยันว่า ได้รับเงินจากนายยงยุทธคนละ 20,000 บาทจริง!

ด้าน นายสุวิทย์ ธีรพงษ์ แม้จะไม่ยอมให้สัมภาษณ์ว่าอนุกรรมการได้มีมติเสนอ กกต.ให้ใบแดง นายยงยุทธ จริงหรือไม่ แต่ท่วงทำนองคำพูดที่ออกมาก็ทำให้ผู้สื่อข่าวคาดเดาได้ว่าน่าจะไปในแนวเดียวกับข่าวที่หลุดออกมา โดยบอกว่า กำนันส่วนใหญ่ให้การเหมือนกับที่เคยให้การกับอนุกรรมการสอบชุดแรก (ที่ยืนยันว่า ได้เดินทางมาพบนายยงยุทธที่กรุงเทพฯ และได้รับเงินคนละ 20,000 บาท) พร้อมยืนยันว่า อนุกรรมการได้สอบสวนกรณีทุจริตเชียงรายโดยไม่ได้คำนึงว่า ผลข้างหน้าจะเป็นอย่างไร เพราะทำไปตามข้อเท็จจริง พยานหลักฐาน และถ้อยคำของกฎหมาย

ขณะที่ นายยงยุทธ ติยะไพรัช ประธานสภา และ ส.ส.สัดส่วนกลุ่ม 1 พรรคพลังประชาชน ไม่พอใจข่าวอนุฯ กกต.มีมติให้ใบแดงตน จึงออกแถลงการณ์ตอบโต้ข่าวดังกล่าว โดยยกคำเดิมมาอ้างว่า เรื่องนี้มีการจัดฉากตั้งแต่ต้นเพื่อกล่าวหาตนและล้มล้างพรรคพลังประชาชน พร้อมเชื่อว่า ข่าวที่ออกมาเป็นเพียงข่าวโคมลอย เพราะเป็นรายงานข่าวที่ไม่มีบุคคลอ้างอิง

ด้าน กกต.ได้ประชุมพิจารณาผลสอบกรณีทุจริตเชียงรายของอนุกรรมการชุด นายสุวิทย์ ธีรพงษ์ เมื่อวันที่ 19 ก.พ.แต่ยังไม่สามารถลงมติได้ว่าจะให้ใบแดงนายยงยุทธหรือไม่ โดยบอกว่าสำนวนสอบมีจำนวนมาก จึงขอเวลา กกต.แต่ละคนนำสำนวนไปศึกษาก่อนเป็นเวลา 7 วัน แล้วจะกลับมาประชุมร่วมกันอีกครั้งในวันที่ 26 ก.พ.

ที่ประชุม กกต.วันดังกล่าว (19 ก.พ.) ยังอนุญาตตามที่นายยงยุทธขอให้สอบพยานฝ่ายตนเพิ่มอีก 1 ปาก เป็นตำรวจยศ พ.ต.อ.โดย กกต.ให้เหตุผลที่อนุญาตให้มีการสอบพยานเพิ่ม ทั้งที่อนุกรรมการชุด 2 สรุปผลสอบออกมาแล้วว่า เป็นเพราะ กกต.ต้องใช้เวลาศึกษาสำนวนผลสอบของอนุกรรมการอีก 7 วันอยู่แล้ว ระหว่างนี้จึงให้อนุกรรมการสอบพยานเพิ่มตามที่นายยงยุทธร้องขอ แล้วให้นำผลสอบที่สอบเพิ่มมาเสนอที่ประชุม กกต.วันที่ 26 ก.พ.เช่นกัน

ล่าสุด วันนี้(26 ก.พ.) หลัง กกต.ทั้ง 5 ซึ่งได้ไปศึกษาผลสอบของอนุกรรมการกรณีทุจริตเชียงรายมาเป็นเวลา 7 วันแล้ว และได้ประชุมพิจารณาผลสอบพยานฝ่ายนายยงยุทธเพิ่มเติมจากอนุกรรมการแล้ว ได้มีมติ 3 : 1 เห็นควรเสนอศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง (ใบแดง)นายยงยุทธ เนื่องจากพิจารณาสำนวนพยานหลักฐานต่างๆ แล้วเห็นว่า นายยงยุทธ ทุจริตเลือกตั้งด้วยการซื้อเสียงผ่านกำนันเชียงรายจริง(กกต.เสียงข้างน้อยคือ นายสมชัย จึงประเสริฐ ส่วนนางสดศรี สัตยธรรม งดออกเสียง) โดย กกต.จะส่งสำนวนพร้อมความเห็นไปยังศาลฎีกาฯ ภายใน 2 สัปดาห์

และเมื่อใดที่ศาลฎีกาฯ มีคำสั่งรับคำร้องคดีนี้จาก กกต.นั่นหมายความว่า นายยงยุทธ จะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ทันทีทั้งในตำแหน่ง ส.ส.และประธานสภา-ประธานรัฐสภา จนกว่าศาลฎีกาฯ จะมีคำตัดสินว่า นายยงยุทธ ทุจริตซื้อเสียง สมควรโดนใบแดงตามที่ กกต.เสนอหรือไม่? และหากศาลฎีกาฯ ตัดสินยืนตามข้อเสนอของ กกต.คือ เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งนายยงยุทธแล้ว นอกจากจะส่งผลให้นายยงยุทธถูกตัดสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลา 5 ปี หรือต้องเว้นวรรคการเมืองเป็นเวลา 5 ปีแล้ว ยังต้องลุ้นต่อถึงอนาคตของพรรคพลังประชาชนด้วย เพราะทันทีที่ศาลฎีกาฯ ให้ใบแดงนายยงยุทธ กกต.ก็จะตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนว่าการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งของนายยงยุทธ ที่กระทำในขณะดำรงตำแหน่งรองหัวหน้าพรรค ซึ่งเป็น 1 กรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน จะส่งผลให้ กกต.ต้องเสนอให้ตุลาการรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคพลังประชาชนหรือไม่?(เป็นไปตามมาตรา 103 ของ พ.ร.บ.ประกอบ รธน.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว.ที่ระบุว่า "หากพรรครู้เห็นการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรค ให้ถือว่า พรรคกระทำการนั้นเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ ที่ถือว่าไม่เป็นประชาธิปไตย ถือเป็นเหตุให้นายทะเบียน(กกต.)สามารถยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้สั่งยุบพรรคได้ และให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคเป็นเวลา 5 ปี นับแต่วันที่มีคำสั่ง)

ก่อนจะถึงเวลานั้น เอาเป็นว่า นาทีนี้ ท่านประธาน (สภา) ที่เคารพ เริ่ม “นับถอยหลัง” เวลาที่ท่านจะได้อยู่ในสภาอันทรงเกียรติแห่งนี้ก่อนดีมั้ย?


คลิก! เพื่อชมรายการ NEWS HOUR สนทนา “ใบแดงยุทธตู้เย็น” พร้อมภาพวีซีดีหลักฐานซื้อเสียง  (56k) | (256K)





กำลังโหลดความคิดเห็น